ชั่วขณะนี้เองเหยาซู่หลวนที่คุกเข่าอยู่พลันเบิกตากว้าง ดวงเนตรแดงก่ำราวกับจะพ่นไฟออกมา รู้สึกเหมือนถูกสายฟ้าฟาดลงมากลางกระหม่อมเืลมในกายดั่งถูกแช่แข็ง ฝ่าาถึงกับแต่งตั้งนังเด็กโง่งมผู้นั้นเป็เฟย (พระราชชายา) เพราะเหตุใด!โต้วเซียงหลันที่อยู่ด้านข้างก็แทบจะอดกลั้นไม่ไหว เพียงแต่อยู่ต่อหน้าอันปิ่งซานจึงยังไม่สะดวกแผลงฤทธิ์เดชออกไปเท่านั้น
“ขอแสดงความยินดีกับหวงกุ้ยเฟยและยินดีกับท่านอัครเสนาบดีเหยา ผู้น้อยคงต้องทำหน้าหนามาขอรางวัลจากท่านอัครเสนาบดีเสียแล้วเื่ที่น่ายินดีเช่นนี้ ผู้ใดเล่าจะไม่อยากมีส่วนร่วมเพื่อความเป็ความเป็สิริมงคล”อันปิ่งซานมองเหยาเจิ้นถิงด้วยสีหน้าอาบรอยยิ้ม
“ย่อมเป็เช่นนั้นๆ” เหยาเจิ้นถิงพยายามข่มกลั้นความตื่นตระหนกไว้ในใจ ปรายหางตาไปที่พ่อบ้านคนสนิท เหยาถูย่อมเข้าใจความหมายรีบหยิบตั๋วแลกเงินร้อยตำลึงจากแขนเสื้อส่งให้ถึงมือของขันทีเฒ่าด้วยท่าทางนอบน้อม
“ท่านอัครเสนาบดีช่างเป็ผู้มีน้ำใจกว้างขวางโดยแท้หมดธุระแล้ว ผู้น้อยต้องขอตัวก่อน” อันปิ่งซานเหลือบมองดูตัวเลขบนตั๋วแลกเงิน ก็ยิ้มอย่างอิ่มเอมใจก่อนหมุนตัวจากไป
ทันทีที่อันปิ่งซานก้าวพ้นประตูจวนอัครเสนาบดีเหยาซู่หลวนก็ชิงราชโองการจากมือของบิดาไปอ่านอย่างละเอียด ในราชโองการมีพระประสงค์แต่งตั้งเหยาโม่หว่านเป็พระสนมเหยาจริงๆ
“ฝ่าาทรงแต่งตั้งนังหญิงโง่ผู้นั้นเป็พระสนมได้อย่างไร?นี่มันเื่อะไรกันแน่?” โต้วเซียงหลันเดินเข้าหาบุตรสาว พลางร้องอุทานอย่างตื่นตระหนก
“เหยาถูเมื่อคืนเกินเื่อะไรขึ้น? หากไม่มีสิ่งใดผิดปรกติ ฝ่าาไม่มีทางแต่งตั้งนังปัญญาอ่อนผู้นั้นเป็แน่”ไฟริษยาของเหยาซู่หลวนพลันลุกโชน ตวัดสายตาไปที่เหยาถูอย่างเอาเื่
“บ่าวไม่ทราบจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ” เหยาถูแสดงสีหน้าดั่งผู้บริสุทธิ์
“ไฉ่อิ๋งกลับวัง!” เหยาซู่หลวนสะบัดมือขว้างพระราชโองการลงพื้นอย่างแรง ก่อนเดินลิ่วนำออกไปหน้าประตูจวนด้วยอารมณ์กราดเกรี้ยวเมื่อเห็นบุตรสาวจากไปแล้ว โต้วเซียงหลันก็หันมามองเหยาเจิ้นถิงด้วยสีหน้างุนงง
“ท่านพี่นี่มันหมายความว่าอย่างไร?”
“ก็หมายความว่าบุตรสาวของข้าเหยาเจิ้นถิงหาได้มีแค่เหยาซู่หลวนคนเดียวอย่างไรเล่า ฮึ!” เหยาเจิ้นถิงแค่นเสียงเยาะตวัดสายตามาที่โต้วเซียงหลันก่อนสาวเท้าก้าวใหญ่เข้าไปในห้องโถงอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้โต้วเซียงหลันยืนงงอยู่ที่เดิม
หลังจากฝนตกกลิ่นดินหอมสะอาดแผ่กำจายไปทั่วบริเวณเหยาโม่หว่านช้อนตาขึ้นมองอักษรสามตัว “กวานจวีกง” (ตำหนักปักษาพร้อง) มุมปากประดับรอยยิ้มที่คล้ายมีคล้ายไม่มีแสงแรกของดวงตะวันยามรุ่งสางฉายรัศมีทาบลงมาบนดวงหน้างามพิลาสปานล่มเมือง ช่วยขับเสริมความเฉิดฉันให้ดูอ่อนหวานประหนึ่งเทพธิดาในภาพเขียน
“ปักษาจวีจิวเพรียกพร้องท่องเกาะหาคู่กลางนที สาวเอยสาวงามผู้แสนดี จึงเป็ที่หมายปองของสุชน [1] คุณหนูสามดูเหมือนว่าฝ่าาจะทรงโปรดปรานท่านมากนะเ้าคะ” ทิงเยว่มองตำหนักกวานจวี ก็เกิดอารมณ์สุนทรีย์ขับเป็ลำนำออกมา
“ต่อไปเ้าต้องเรียกเปิ่นกงว่าพระสนมสถานที่แห่งนี้คือวังหลวง อย่าได้ทำผิดต่อระเบียบกฎเกณฑ์ของที่นี่เป็อันขาด” เหยาโม่หว่านปรามด้วยน้ำเสียงราบเรียบสีหน้ายังคงอ่อนเปลี้ยอย่างไม่อาจปิดบัง ถูกเคี่ยวกรำมาทั้งคืน สุดท้ายก็ประสบผลสำเร็จเพียงแต่นางไม่คิดว่าจะรวดเร็วและกะทันหันปานนี้ เมื่อคืนยามที่เย่หงอี้เอ่ยปากว่าจะพานางเข้าวังนางยังไม่รู้ว่าควรจะแสดงอารมณ์ไหนตอบรับกลับไป ท้ายที่สุดจึงใช้วิธีเขย่งปลายเท้าไปจุมพิตที่ริมฝีปากของเขาก่อนผงกศีรษะด้วยท่าทางเอียงอายและขลาดเขลา
“เพคะทิงเยว่น้อมรับบัญชา” พอเห็นเหยาโม่หว่านก้าวเข้าไปในตำหนัก ทิงเยว่ก็รีบตามเข้าไปอย่างตื่นเต้นดีใจแม้การตกแต่งของตำหนักกวานจวีจะมิได้หรูหราอลังการเท่าตำหนักฉางเล่อ (ตำหนักสุขนิรันดร์)แต่ยังคงความสูงศักดิ์สง่างาม ถึงทิงเยว่จะเคยเห็นของล้ำค่าสวย ๆ งาม ๆ จากในจวนอัครเสนาบดีมาไม่น้อยยังตาลายไปกับความงดงามละลานตา
“ทิงเยว่เ้าจำหนูชางสู่ [2] ที่เห็นตอนเดินผ่านอุทยานบุปผาได้หรือไม่?” เหยาโม่หว่านปรือตาลงไปนอนเอกเขนกอยู่บนเก้าอี้กุ้ยเฟยที่ปูด้วยขนจิ้งจอกหิมะ
“จำได้เพคะไม่รู้ว่าเป็หนูที่ผู้ใดเลี้ยงไว้ ไฉนถึงจับมันไปแขวนอยู่กลางศาลาเยี่ยงนั้น” ทิงเยว่รั้งสายตากลับก่อนวิ่งเข้ามาอยู่ข้างกายเหยาโม่หว่าน
“อุทยานบุปผาอยู่ไม่ไกลจากที่นี่นักเ้าจงไปดูว่ามันยังอยู่หรือไม่ ฉวยโอกาสแวะสอบถามให้รู้ความว่าเป็สัตว์เลี้ยงของตำหนักไหน”เหยาโม่หว่านหรี่ตาลง ออกคำสั่งพลางขบคิดบางอย่างอยู่ในใจ
...
เชิงอรรถ
[1]เป็บทขึ้นต้นของลำนำกวานจี ที่บรรจุอยู่ในคัมภีร์รวมบทกวีซือจิง
[2]หนูชางสู่ หมายถึงหนูแฮมสเตอร์