“ท่านยังไม่เข้าใจความหมายของพระนางอีกหรือเ้าคะตราบใดที่สองแม่ลูกนั่นกลับไปจวนอัครเสนาบดีของเรา ย่อมอยู่ในสายตาของฟูเหริน แล้วยังต้องกลัวว่าจะจัดการกับพวกเขาไม่ได้อีกหรือหากฟูเหรินไม่ยอมลดราวาศอก ก็ไม่รู้ว่านายท่านจะทำอะไรอีกบ้าง” อวี้จือกระซิบเกลี้ยกล่อมข้างหูโต้วเซียงหลันได้ยินเช่นนั้นค่อยรู้สึกโล่งใจ สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็มีลับลมคมใน สายตากวาดมองไปที่ซูมู่จื่อที่อยู่ข้างเหยาเจิ้นถิง
“เมื่อลี่กุ้ยเฟยมีพระประสงค์เช่นนี้ ข้าภรรยาก็หาใช่คนแล้งน้ำใจไร้เหตุผลอวี้จือ พรุ่งนี้เ้าไปกำชับบ่าวไพร่ให้ทำความสะอาดเรือนจิ้งเสวี่ย (เรือนสงบหิมะ)ให้สองแม่ลูกย้ายเข้าไปอยู่ที่นั่น” โต้วเซียงหลันเอ่ยวาจาอย่างนอบน้อม
ซู่มู่จื่อเอื้อมมือไปลูบดวงหน้าน้อยของเหยาอวี้พลางมองบุรุษข้างกายด้วยแววตาขลาดกลัว เหยาเจิ้นถิงตบหลังมือของนางเบา ๆ เป็การปลอบประโลมแต่ก็ไม่ปฏิเสธข้อเสนอ แม้ว่าใจไม่นึกอยากให้ซูมู่จื่อสองแม่ลูกย้ายกลับไปจวนอัครเสนาบดีแต่เหยาซู่หลวนเป็ถึงกุ้ยเฟย เมื่อนางเอ่ยปากมาแล้วตนเองย่อมไม่อาจปฏิเสธ
ยามเซิน(่เวลา 15.00-16.59 น.) ล่วงผ่าน ท้องฟ้าอึมครึมค่อยมืดลงอย่างช้า ๆ ฝนยังคงเทลงมาอย่างหนักไม่มีวี่แววว่าจะอ่อนกำลัง
“พระสนมฝนตกหนักขนาดนี้ พวกเรารออีกสักครู่จนฝนซาค่อยไปดีกว่ากระมัง เชื่อว่ายามนี้ฝ่าาคงบรรทมไปแล้วล่ะเพคะ”ไฉ่อิ๋งมองพายุฝนกระหน่ำด้านนอกแล้ว ก็หันมาเสนอความคิดเสียงเบา
“ไม่ได้ทิ้งฝ่าาอยู่ที่นั่นพระองค์เดียว เปิ่นกงไม่วางใจ” เหยาซู่หลวนมุ่นคิ้วขมวด หัวใจรู้สึกกระสับกระส่ายชอบกลขณะก้าวเท้าออกจากประตู สายฟ้าพลันแล่นแปลบผ่ากลางต้นสนในเรือนหลักจนโค่นลงมา ตรงรอยแยกยังมีกลุ่มควันโขมง
“ช่างเถิดรอก่อนก็ได้” ภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าทำให้เหยาซู่หลวนก้าวเท้าไม่ออก จำต้องกลับไปในห้องรับแขกอีกครั้งเพียงแต่การรอคอยครานี้กลับต้องลากยาวไปอีกหนึ่งคืน
เช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้นขณะที่พวกเหยาซู่หลวนกลับไปถึงจวนอัครเสนาบดี เหยาถูก็รีบออกมาต้อนรับอย่างกระตือรือร้น
“เหยาถูเมื่อคืนฝ่าาบรรทมดีหรือไม่ ตอนนี้ทรงตื่นบรรทมแล้วหรือยัง?” ทันทีที่ก้าวเท้าเข้ามาในจวนเหยาซู่หลวนก็เอ่ยถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ทูลกุ้ยเฟยฝ่าาเสด็จกลับวังไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เหยาถูค้อมกายอย่างนอบน้อม ตอบไปตามความจริง ทว่าเมื่อวาจาสิ้นสุดเหยาซู่หลวนพลันตื่นตระหนก หมุนตัวกลับไปมองพ่อบ้านทันที
“เ้าว่าอะไรนะเสด็จกลับวัง? พระองค์ทรงมีเื่ขัดเคืองพระทัยงั้นหรือ?” น้ำเสียงของเหยาซู่หลวนสั่นพร่าเล็กน้อยสายตาจดจ้องไปที่เหยาถูอย่างหงุดหงิด รู้อย่างนี้นางควรจะรีบกลับมาั้แ่่ที่ฝนตกแล้ว
“เปล่าพ่ะย่ะค่ะเพียงแต่...” เหยาถูทำท่าอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ สายตาเหลือบไปที่เหยาเจิ้นถิงด้วยจิตใต้สำนึก
“เ้ามองท่านพ่อทำไม?เปิ่นกงถามเ้าอยู่นะ” เหยาซู่หลวนเร่งเร้าด้วยน้ำเสียงกระวนกระวายใจ
“ทูลพระสนมฝ่าาหาได้มีเื่ขัดเคืองพระทัย เพียงแต่ทรงพาคุณหนูสามกลับวังไปพร้อมกันด้วยพ่ะย่ะค่ะ”เหยาถูกลั้นใจรายงานไปตามความจริง
“ว่าอย่างไรนะ!”เหยาซู่หลวนเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ โต้วเซียงหลันเอื้อมมือผลักเหยาเจิ้นถิงที่เอาแต่ยืนตะลึงออกไปก่อนสาวเท้าเข้ามาคว้าคอเสื้อของพ่อบ้านเหยา
“เพราะเหตุใดฝ่าาจึงพานังเด็กโง่เง่านั่นเข้าวังไปด้วย?รีบพูดมาเร็ว ๆ” ขณะที่โต้วเซียงหลันกำลังเค้นถามเหยาถู จู่ ๆ ก็มีเสียงเกือกม้าดังมาจากด้านนอกองครักษ์ประจำเมืองหลวงนั่งอยู่บนหลังอาชาสีแดงพุทราด้วยท่วงท่าองอาจสง่างาม มาพร้อมกับอันปิ่งซานมหาดเล็กคนสนิทของเย่หงอี้
“มีราชโองการ!เหยาเจิ้นถิงรับพระบัญชา” อันปิ่งซานถือราชโองการสีทองอร่าม พลิกกายลงมาจากหลังอาชาสาวเท้าก้าวใหญ่เข้ามาในจวนอัครเสนาบดีเหยา หลังจากหยุดยืนในตำแหน่งที่เหมาะสม ก็คลี่พระราชโองการออกด้วยมือทั้งสองเหยาเจิ้นถิงและคนอื่น ๆ ได้ยินเช่นนั้น ต่างพากันคุกเข่าเพื่อน้อมฟังพระบัญชา
“ด้วยโองการแห่งฟ้าหวงตี้ทรงมีพระบัญชา ลี่กุ้ยเฟยสุภาพเรียบร้อย เปี่ยมไปด้วยคุณธรรมดีงาม สติปัญญาฉลาดปราดเปรื่องทั้งปรนนิบัติรับใช้อยู่ในวังหลังมาช้านาน มีความดีความชอบ โปรดแต่งตั้งให้เป็หวงกุ้ยเฟยนับแต่นี้เป็ต้นไป...”เหยาซู่หลวนคุกเข่าก้มหน้าด้วยความตื่นเต้นยินดี แต่ทว่าทันทีที่ได้ยินคำว่า “หวงกุ้ยเฟย”สีหน้าพลันดำทะมึน ฝ่าาเคยบอกเป็นัยว่าจะแต่งตั้งนางเป็หวงโฮ่ว ไฉนถึงได้กลายเป็หวงกุ้ยเฟยไปได้?แล้วเหตุใดจึงต้องให้บิดาเป็ผู้รับราชโองการ?
เหยาเจิ้นถงฟังแล้วหัวใจเริ่มจมดิ่งแต่ขณะที่กำลังจะลุกขึ้นรับราชโองการ กลับถูกอันปิ่งซานรั้งไว้ก่อน
“ท่านอัครเสนาบดีจะรีบร้อนไปไยผู้น้อยยังอ่านไม่ทันจบเลย... ส่วนธิดาสามแห่งจวนอัครเสนาบดีรูปโฉมงดงาม สุภาพเรียบร้อยอบอุ่นอ่อนโยน เป็ดั่งน้ำทิพย์ชโลมหัวใจเจิ้น จึงขอแต่งตั้งเป็เฟย พระราชทานราชทินนาม''เหยา'' จบราชโองการ” หลังจากประกาศราชโองการเสร็จสิ้น ใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยย่นของอันปิ่งซานก็คลี่ยิ้มอย่างประจบสอพลอก้าวเข้ามาส่งราชโองการให้ถึงมือของเหยาเจิ้นถิง