“เพคะบ่าวจะไปเดี๋ยวนี้” ทิงเยว่วางห่อสัมภาระในมือ ก่อนหมุนตัววิ่งออกไปจากตำหนักกวานจวี
เสียงฝีเท้าค่อยๆ ไกลออกไป เหยาโม่หว่านเปิดเปลือกตาขึ้นช้า ๆ มองไปทิศทางที่เงาร่างของทิงเยว่เลือนลับไปด้วยสีหน้าครุ่นคำนึงวังหลังเป็สถานที่กลืนกินชีวิตคน ไม่เหลือแม้แต่กระดูกให้คายออกมา หาก้าหยั่งเท้าหยัดยืนได้อย่างมั่นคงอาศัยแค่ความโปรดปรานคงไม่เพียงพอ จำเป็ต้องมีผู้ช่วยที่เก่งกล้า แม้สิ่งที่ตนเองใช้ให้ทิงเยว่ไปทำจะเป็เื่เล็กน้อยทว่าเป็การมองตะเกียบเห็นป่าไผ่ [1] ต่อจากนั้นค่อยตัดสินว่าทิงเยว่จะเป็ดั่งมัจฉาได้น้ำที่กลมกลืนไปกับหมู่มวลนางกำนัลและขันทีในวังหลังในภายภาคหน้าได้หรือไม่
อาจเป็เพราะเหยาโม่หว่านเหนื่อยล้ามากจริงๆ ระหว่างขบคิดเพลิน ๆ จึงเผลอหลับไปโดยไม่รู้ตัว มารู้สึกตัวอีกครั้งตอนที่ทิงเยว่หยิบผ้าห่มมาคลุมบนตัวนาง
“กลับมานานแค่ไหนแล้ว?”เมื่อเห็นทิงเยว่ เหยาโม่หว่านค่อยพรูลมหายใจออกมาแรง ๆ อย่างเบาใจ ลุกขึ้นหมุนตัวเดินไปที่โต๊ะด้านข้างรินน้ำชามาดื่ม
“เพิ่งเข้ามาเพคะเห็นพระนางกำลังหลับอยู่ จึงไม่กล้ารบกวน” ทิงเยว่ตอบอย่างระมัดระวัง ขณะอยู่ในจวนอัครเสนาบดีนางไม่เคยรู้มาก่อนว่าคุณหนูสามของตนจะมีพลังจิตแข็งกล้าสามารถสร้างความกดดันแม้มิได้บันดาลโทสะดังนั้นสีหน้าราบเรียบปราศจากคลื่นอารมณ์ของเหยาโม่หว่านในยามนี้ จึงทำให้นางรู้สึกตึงเครียดอยู่เล็กน้อย
“เื่ที่ให้ไปสืบถามได้ความอย่างไรบ้าง?”เหยาโม่หว่านถือถ้วยชาไว้มือข้างหนึ่ง อีกมือใช้ฝาถ้วยปาดใบชาสองสามใบที่ลอยอยู่้าออก
“ทูลพระสนมยามที่บ่าวไปถึงอุทยานบุปผา เห็นหมอหลวงท่านหนึ่งใช้เข็มเงินแทงไปที่หนูชางสู่ตัวนั้นไม่หยุดเลยเพคะปากก็พึมพำนับจำนวนครั้ง บ่าวไม่กล้าเข้าไปรบกวน จึงรอจนกระทั่งเห็นเขาแทงครบห้าสิบทีและเก็บเข็มลงแล้วค่อยเข้าไปหาแต่หมอหลวงผู้นั้นระมัดระวังวาจาอย่างยิ่ง ถามอะไรไม่ได้เลย สุดท้ายมีนางกำนัลเดินผ่านมาบ่าวจึงให้ค่าน้ำร้อนน้ำชาไปนิดหน่อย ถึงทราบความว่าหนูชางสู่ตัวนั้นเป็สัตว์ที่คุณหนูใหญ่เอ่อ...หวงโฮ่วทรงเลี้ยงเมื่อก่อนเพคะ หลังจากพระนางสิ้นพระชนม์ ฝ่าามีพระประสงค์ให้เลี้ยงไว้แต่หนูตัวนั้นเป็โรคร้าย ไม่เพียงแต่ต้องจับมาแขวนผึ่งลมไว้กลางศาลา ทุกวันยังต้องใช้เข็มแทงมันถึงห้าสิบครั้งจึงจะรักษาชีวิตไว้ได้”ทิงเยว่รายงานสิ่งที่ได้ยินมาทั้งหมดให้เ้านายฟัง
“เพล้ง!”ถ้วยชาที่เดิมอยู่บนโต๊ะตกลงมาแตกเป็เสี่ยง ๆ เหยาโม่หว่านยังคงนั่งนิ่งไม่ขยับ แววตาคลุมเครือไม่ชัดแจ้งว่าอยู่ในอารมณ์ไหนทว่าหัวใจกลับกลายเป็ทะเลเพลิง เย่หงอี้ แม้แต่หนูชางสู่แค่ตัวเดียวเ้ายังไม่ละเว้น!
“พระสนม...ทรงเป็อันใดหรือไม่?”ทิงเยว่ตระหนักได้ว่าเหยาโม่หว่านคงรู้สึกปวดใจเื่หนูชางสู่ตัวนั้น จึงถามอย่างวิตกกังวลแต่ขณะที่เหยาโม่หว่านยังไม่ทันเอ่ยปาก เหยาซู่หลวนที่มาพร้อมกับอารมณ์เกรี้ยวกราดก็ก้าวเข้าสู่ตำหนักกวานจวีเรียบร้อย
“เหยาโม่หว่านไสหัวออกมาพบข้าเดี๋ยวนี้เลยนะ สวะชั้นต่ำที่กำเนิดจากอนุอย่างเ้ากล้าดีอย่างไรมาใช้เสน่ห์ยั่วยวนฝ่าา”พอเห็นเหยาซู่หลวนบุกเข้ามาด้วยท่าทางดุร้ายราวกับแม่เสือ ทิงเยว่ก็รีบเข้ามาขวางหน้าไว้ทันที
“คะ...คุณหนูรองจะทำอันใด?”ยังไม่ทันกล่าวจบ เสียงวิ้งก็ดังกึกก้องในรูหู ตามมาด้วยความปวดแสบปวดร้อนบนใบหน้าชั่วขณะนั้นทิงเยว่รู้สึกเหมือนฟ้าพลิกแผ่นดินตลบ ทุกสิ่งรอบตัวหมุนติ้วไปหมด
“อย่างเ้านับเป็ตัวอะไรบังอาจมาขวางทางเปิ่นกงเชียวหรือ ไสหัวไปซะ!” สายตาดุดันราวกับสัตว์ป่าสาดประกายแรงกล้าแต่ขณะที่เหยาซู่หลวนคิดจะลงมือซ้ำ เหยาโม่หว่านก็ลุกขึ้น เดินเข้ามาหาทิงเยว่ด้วยท่วงท่าชดช้อยไม่เห็นความอนาทรร้อนใจสักนิด
“ทิงเยว่หว่านเอ๋อร์เบื่อจังเลย ช่วยไปซื้อลูกแมวกลับมาให้หว่านเอ๋อร์เล่นสักตัวได้หรือไม่?”เหยาโม่หว่านเขย่าแขนเสื้อของสาวใช้คนสนิทอย่างออดอ้อน ท่าทางไร้เดียงสาเยี่ยงนั้นทำให้ทิงเยว่อึ้งงันไปชั่วขณะ
“พระสนม...”ทิงเยว่มองเหยาโม่หว่านด้วยสายตาลังเล เ้านายของตนเพลานี้ช่างดูโง่งม ขลาดเขลาไร้เดียงสาเหมือนเมื่อก่อนไม่มีผิดเพี้ยน
“ไปเหอะน่า!หากเ้าหาไม่ได้ ก็ไปบอกหลิวสิ่งให้ไปด้วยกัน พี่หญิงรองมาอยู่เป็เพื่อนข้าแล้ว ไม่ต้องเป็ห่วงไม่มีอะไรหรอก...” เหยาโม่หว่านยิ้มพราย พลางผลักทิงเยว่ออกไปจากตำหนักกวานจวี แม้ทิงเยว่จะรู้สึกงุนงงแต่ย่อมตระหนักได้ว่าเ้านาย้าแยกตนเองออกไป
“เหยาโม่หว่านเ้ากลับมาหาข้าเดี๋ยวนี้”
ทันทีที่ทิงเยว่เดินออกไปเหยาซู่หลวนก็ถลึงตาดุดัน กดเสียงต่ำตะคอกใส่เหยาโม่หว่าน ก่อนให้คนลากนางเข้ามาอยู่ตรงหน้าของตนเองราวกับหิ้วลูกเจี๊ยบตัวหนึ่ง
...
เชิงอรรถ
[1]อุปมาว่า การพินิจจากเื่เล็กน้อยแต่สามารถมองเห็นภาพรวมทั้งหมด