“เ้าก็จะไปด้วยรึ?” ฉู่ซีฟงปรายตามองซูฉางอันที่กำลังเดินเข้าไปหาครู่หนึ่ง
“อืม” ซูฉางอันพยักหน้าจากนั้นก็ไปยืนอยู่ในระนาบเดียวกับฉู่ซีฟงที่หน้าสำนัก
เดือนเก้าของเมืองฉางอันกลุ่มหมอกหนาเข้าปกคลุมทั้งเมือง ท่ามกลางแสงหม่นที่ส่องเข้ามาในยามเช้าหมอกหนาบดบังร่างของหนึ่งนักรบหนุ่มและหนึ่งนักรบาุโเอาไว้ทำให้สามารถมองเห็นร่างของทั้งสองได้เพียงเลือนรางเท่านั้นทว่าดาบที่ถูกดึงออกมาจากฝักหนึ่งส่วน ซึ่งทั้งสองแบกติดหลังมาด้วยกลับสว่างไสวเหลือเกิน
ในตอนนั้นเอง จู่ๆ ลมหนาวก็พัดผ่านไปใบไม้ที่ไร้คนคอยกวาดของสำนักเทียนหลานต่างปลิวกระจายไปทั่ว
ตึกตักๆ!
จู่ๆเสียงกีบเท้าม้าอันแสนเร่งรีบก็ดังมาแต่ไกล
“หยุด!”
หลังผ่านไปชั่วครู่บุรุษผู้หนึ่งก็ะโขึ้นด้วยเสียงทุ้มต่ำก่อนกีบเท้าสีแดงที่ทั้งใหญ่โตและแข็งแรงจะถูกยกขึ้นสูงในวินาทีต่อมา ม้างามยกเท้าหน้าขึ้นอย่างทรงพลังและในตอนที่อาชาคล้ายจะล้มหงายลงบนพื้นดินชายที่นั่งอยู่บนหลังม้าส่งเสียงะโขึ้นเบาๆคล้ายร่างกายของเขาคนนี้ถูกผนึกติดอยู่บนหลังม้าไปเช่นนั้น จู่ๆก็มีแสงแห่งพลังสีเหลืองกระจายออกมาจากร่างกายท่อนล่างของเขาอย่างกะทันหัน ม้าที่กำลังยกเท้าหน้าขึ้นสูงถูกดึงจนหยุดลงกลางคันกีบเท้าม้าจึงกระแทกลงบนพื้นดินอย่างแรง ส่งผลให้พื้นหินอ่อนหน้าสำนักเทียนหลานซึ่งเป็ถนนหลวงเกิดรูโบ๋ขึ้นถึงสองแห่งด้วยกันคล้ายมีของที่หนักเป็พันจินอยู่บนหลังม้าอย่างไรอย่างนั้น
“เ้าคือฉู่ซีฟง?” บุรุษบนหลังม้าถามขึ้นเช่นนั้นเป็จังหวะเดียวกับที่กองกำลังในชุดเกราะสีดำจำนวนมากเดินตามมาถึงที่หน้าสำนักเทียนหลานด้วยการก้าวเดินอย่างพร้อมเพรียงและเชื่องช้า
ซูฉางอันขมวดคิ้วมุ่นแม้จะอยู่ห่างกันถึงสิบเมตร แต่เขาก็รับรู้ได้ถึงรังสีอำมหิตอันแสนรุนแรงที่กระจายออกมาจากร่างของคนเหล่านี้ได้อย่างชัดเจน
“ใช่” ฉู่ซีฟงปรายตามองผู้มาเยือนแวบหนึ่ง พลางกล่าวขึ้น
ซูฉางอันช้อนสายตาขึ้นไปมองสำรวจชายผู้มาใหม่เขามีอายุประมาณสี่สิบกว่าๆ อยู่ในชุดเกราะสีทองในมือถือดาบที่มีขนาดยาวเทียบได้กับส่วนสูงของคนหนึ่งคนเอาไว้ที่บริเวณไหล่ทั้งสองข้างมีเกราะป้องกันไหล่รูปพยัคฆ์ประดับประดาอยู่ที่ด้านหลังของเขา ผ้าคลุมสีแดงสดกำลังโบกสะบัดไปตามแรงลมหนวดครึ้มที่ขึ้นทั่วใบหน้าแทบจะปกคลุมริมฝีปากของเขาเอาไว้เสียมิดบุรุษตรงหน้ามีดวงตาถลนออกมาเล็กน้อย และในตอนนี้ มันกำลังถูกเบิกจ้องไปที่ซูฉางอันกับฉู่ซีฟงอย่างไม่ละสายตาคาดว่านี่คงจะเป็เทพนักรบ ตู้เหว่ยที่ได้รับมอบหมายให้เดินทางไปที่เมืองหลานหลิงในนามขององค์จักรพรรดิเป็แน่
“เขาก็จะไปด้วยรึ?” ตู้เหว่ยปรายตามองซูฉางอันที่ยืนอยู่ข้างกันเล็กน้อยแน่นอน ด้วยพลังที่มีทำให้เขามองออกั้แ่แวบแรกว่าซูฉางอันเป็นักรบที่มีพลังอยู่เพียงระดับหลอมจิตเท่านั้นจึงขมวดคิ้วขึ้นอย่างอดไม่ได้ เขารู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก เด็กคนนี้น่ะรึที่ทำให้ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของตนรู้สึกหวาดกลัวจนไม่กล้าแม้แต่จะเข้าไปประลองด้วยในงานหลอมดาวที่ผ่านมา?
“ใช่ เขาจะไปด้วย” ฉู่ซีฟงมองไปยังซูฉางอันแวบหนึ่งจากนั้นก็หันไปพยักหน้ากับตู้เหว่ยเบาๆเขาพูดด้วยท่าทางเรียบเฉยทว่าก็เด็ดเดี่ยวจนไม่อาจตั้งข้อกังขาในการตัดสินใจนี้ได้เลย
ท่าทางของฉู่ซีฟงทำให้ตู้เหว่ยอารมณ์เสียขึ้นมาทันทีเขาสบถเสียงในลำคออย่างเย็นะเื “พวกเ้าไม่มีม้ารึ?”
“พวกเขาก็ไม่มีเหมือนกัน ไม่ใช่รึ?” ซูฉางอันพูดแทรกขึ้นจากนั้นก็ชี้ไปที่ขบวนทหารซึ่งยืนเรียงรายอยู่ที่ด้านหลังตู้เหว่ย
ตู้เหว่ยชะงักนิ่งไปจากนั้นจึงมีสีหน้าเย็นะเืลง “ได้หวังว่าคุณชายซูผู้เป็จอมดาราแห่งงานหลอมดาวจะไม่เดินหลงกับขบวนนะ” หลังพูดจบเขาก็ใช้ด้านข้างของดาบในมือตีลงบนม้าคู่ใจอย่างแรงทำให้มันร้องคำรามขึ้นด้วยความเ็ป แล้ววิ่งออกไปทันที เพียงไม่กี่อึดใจม้างามก็วิ่งไปไกลเกือบร้อยเมตรแล้ว
ทันทีที่ม้าเริ่มออกวิ่งขบวนทหารทางด้านหลังก็ประกายแสงแห่งพลังออกมาจากร่างแล้ววิ่งตามตู้เหว่ยที่ทิ้งระยะห่างออกไปถึงร้อยเมตรไปอย่างรวดเร็วราวได้รับคำสั่งบางอย่างมาเช่นนั้น
ฉู่ซีฟงหันไปมองซูฉางอันแวบหนึ่ง “ตามทันไหม?”
เมื่อได้ยินดังนั้น ซูฉางอันก็เอียงคอพลางคิดอย่างจริงจังอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงพยักหน้า แล้วพูดขึ้นในที่สุด “ขอรับ”
เมื่อได้รับคำยืนยันจากซูฉางอันฉู่ซีฟงจึงรู้สึกวางใจได้ในที่สุด เขาเคลื่อนไหวร่างกาย กลายเป็ลำแสงสีม่วงแล้วพุ่งออกไปพร้อมกับเสียงหวีดหวิวเมื่อตัดผ่านสายลมทันที
นี่เป็ครั้งแรกที่ซูฉางอันได้ประจักษ์ในพลังที่แท้จริงของฉู่ซีฟงจึงอดรู้สึกชื่นชมไม่ได้
เขาเคลื่อนปลายเท้ามาอยู่ในท่าเตรียมก่อนจะออกแรงส่งที่เท้า จากนั้นก็กลายเป็ลำแสง แล้วพุ่งไปในทิศที่ฉู่ซีฟงพุ่งหายไปทันที
แน่นอนเขาเร็วไม่เท่ายอดอัจฉริยะที่มีชื่อเสียงมานานอย่างฉู่ซีฟงอยู่แล้วลำพังจะตามทหารพวกนั้นให้ทันก็ยังลำบากไม่ใช่น้อย จะว่าไปแล้วเื่นี้ก็ประหลาดไม่เบาเลย ตลอดทางที่ผ่านมาทหารพวกนั้นไม่ได้เร่งเดินทางแต่อย่างใด พวกเขามีท่าทางใจเย็นมาก แต่ก็กลับเดินทางได้อย่างรวดเร็วเหลือเกินแม้ซูฉางอันจะทุ่มสุดแรงแล้ว แต่ระยะห่างระหว่างตนกับขบวนทหารก็ยังมากขึ้นไปทุกที
“วิธีนี้ใช้ไม่ได้จริงๆ ด้วย” เขาพึมพำกับตัวเอง
ซูฉางอันออกคำสั่งทางความคิดจากนั้นปราณดาราในร่างก็เริ่มขับเคลื่อนขึ้นอย่างกะทันหันเพลิงศักดิ์สิทธิ์ถูกกระจายออกมาจากร่างกายก่อนพลังเ่าั้จะถูกรวบรวมเข้าด้วยกันจนกลายเป็เปลวเพลิงที่ลุกอยู่ที่เท้าทั้งสองข้างในที่สุด
ทันทีที่เปลวเพลิงลุกโชนขึ้นความเร็วของเขาก็เพิ่มมากขึ้นทันที
เขารู้สึกเบาตัวขึ้นอย่างกะทันหันก่อนรอยยิ้มจะประกายออกมาทางใบหน้า ซูฉางอันออกแรงส่งที่เท้าอีกครั้งครั้งนี้เขาเคลื่อนไหวเร็วมากขึ้นถึงสามเท่าเลยทีเดียว
แม้จะไม่ได้เร็วถึงขนาดตามฉู่ซีฟงทันแต่นั่นก็ทำให้เขามีความเร็วพอๆ กับขบวนทหาร ไม่ต้องกังวลว่าจะพลัดหลงหรือถูกทิ้งให้อยู่นอกขบวนอีกแล้ว
เมืองหลานหลิงมีขุนเขาห้อมล้อมอยู่มากมายแต่ก็ไม่ได้ไกลจากเมืองฉางอันมากสักเท่าไร ห่างกันเพียงไม่ถึงห้าร้อยลี้เท่านั้นแม้จะเป็เมืองขนาดเล็ก แต่เพราะเป็เมืองที่อยู่ใกล้เคียงกับเมืองฉางอัน ดังนั้นไม่ว่าจะเป็พ่อค้า หรือกลุ่มนักเดินทาง เมื่อเดินทางผ่านไปผ่านมาย่อมเข้ามาพักในเมืองนี้เสมอ ดังนั้นเมืองนี้จึงถือเป็เมืองที่รุ่งเรืองไม่น้อยแต่ใครจะไปคิดว่าเมื่อหลายวันก่อน เมืองที่อยู่ใกล้ตัวองค์จักรพรรดิจะถูกฆ่าล้างเมืองโดยโจรชั่วที่โผล่มาจากไหนก็ไม่ทราบเช่นนี้...
คนนับพันครัวเรือนภายในเมืองต้องมาตายอย่างน่าอนาถและถูกทิ้งเอาไว้ในเมืองโดยไร้เหลียวแลแม้จะผ่านมาหลายวัน จวบถึงบัดนี้ กลิ่นคาวเืก็ยังคละคลุ้งไปทั่วแม้จะอยู่ไกลหลายลี้ แต่ตู้เหว่ยก็ได้กลิ่นอย่างชัดเจน
พวกเขามาถึงเนินเขาข้างเมืองหลานหลิงแล้วเพียงเดินทางต่อไปอีกเล็กน้อยก็ถึงที่หมายแล้วเพราะตอนนี้เป็่ปลายฤดูใบไม้ร่วงพืชพรรณและทุ่งหญ้าที่เคยเขียวขจีและอุดมสมบูรณ์บนเขาจึงเปลี่ยนไปเป็สีเหลืองจนหมดสายลมที่พัดผ่านทำให้พวกมันไหวขึ้นเป็ระยะๆ ดูคล้ายมนุษย์ตากแห้งที่เพียงออกแรงบีบนิดเดียวก็สามารถหักออกจากกันได้อย่างง่ายดายเช่นนั้น
ตู้เหว่ยฟาดมุมด้านข้างของดาบลงบนม้าอีกครั้งจากนั้นจึงหันกลับไปมองด้านหลังนอกจากูเาที่เต็มไปด้วยพืชพรรณที่เปลี่ยนไปเป็สีเหลืองทั้งต้นแล้วก็ไม่มีสิ่งใดปรากฏให้เห็นอีกเลย นั่นทำให้เขาประกายรอยยิ้มบางๆขึ้นอย่างหยามเหยียด
ตอนนี้เพิ่งจะเป็เวลาเช้าของวันหมอกแห่งฤดูกาลยังไม่สลายหายไป ทิวทัศน์ตรงหน้าจึงยังจมอยู่ท่ามกลางหมอกหนาแต่ภาพของเมืองหลานหลิงก็ค่อยๆ ปรากฏต่อสายตาแล้ว
ตู้เหว่ยกำลังจะกระตุ้นให้อาชาที่เริ่มมีอาการเหนื่อยล้าเบื้องล่างเดินหน้าต่อไปอีกครั้งแต่จู่ๆ เขาก็พบว่าที่ซึ่งไม่ไกลออกไปมีร่างของใครบางคนยืนตระหง่านอยู่ั้แ่เมื่อใดก็ไม่อาจทราบได้คนผู้นั้นยืนหันหลังมาให้ราวกำลังทอดมองไปยังเมืองหลานหลิงเบื้องล่างแต่เพราะหมอกที่หนาทึบ เขาจึงมองเห็นร่างของคนตรงหน้าได้ไม่ชัดเจนนัก
ตู้เหว่ยดึงบังเหียนม้าตามคำสั่งของสัญชาตญาณและลดความเร็วในการเดินหน้าลงทันที
ยืนมองเมืองที่ถูกฆ่าจนไม่มีใครเหลือจากที่ไกลๆในยามเช้าเช่นนี้ด้วยตัวคนเดียวงั้นรึ...
ประสบการณ์ที่ได้รับจากการทำามาหลายปีบอกกับเขาว่าสถานการณ์ตรงหน้าไม่ปกติ
เขาจับดาบขนาดใหญ่ที่ใช้ในามานานหลายปีเอาไว้แน่นอาชาใต้หว่างขาก็ราวจะรับรู้ถึงความ้าของผู้เป็นายได้ในทันที มันค่อยๆก้าวเหยียบใบไม้แห้งบนพื้นดินทีละก้าวๆ อย่างแ่เบาและก้าวเข้าไปหาร่างเบื้องหน้าอย่างเชื่องช้า
ประมาณสิบนาทีต่อมา ตอนนี้เขาอยู่ห่างจากร่างนั้นเพียงไม่ถึงสิบเมตรเท่านั้นทว่าร่างนั้นก็ยังยืนหันหลังให้ดังเดิม
หากจะว่ากันตามจริงแล้วนี่นับเป็เื่ที่เยี่ยมมาก ด้วยระยะห่างเพียงเท่านี้ผนวกกับพลังและความแข็งแกร่งของเขา ผู้เป็เทพนักรบแห่งต้าเว่ยนี่เป็โอกาสทองในการลอบโจมตีที่สุดแล้ว
แต่ตู้เหว่ยไม่ได้รู้สึกดีใจเลยสักนิดเขารบรามานานหลายปี เคยเผชิญกับเหตุการณ์อันตรายมานับไม่ถ้วนยอดฝีมือที่แข็งแกร่งมากกว่าเขาหลายเท่าต่างก็ตายจากไปหมดแล้วแต่เขากลับยังรอดชีวิตมาได้ ที่เป็เช่นนี้ เพราะเหตุผลเพียงข้อเดียวเท่านั้น...เพราะเขารอบคอบ และระมัดระวังตัวนั่นเอง
วินาทีนั้นเขามีความคิดหลายอย่างอยู่ในสมอง ยกตัวอย่างเช่นหากคนตรงหน้าเกี่ยวข้องกับการฆ่าล้างเมืองในครั้งนี้จริงๆ ล่ะก็ เช่นนั้นเื่การหายตัวไปของโหวเยน้อยแห่งตระกูลกู่ก็ต้องเกี่ยวข้องกับเขาด้วยแน่
แม้ยอดนักปราบโจรโกซานหยุนจะเป็นักพรตแต่ก็มีพลังอยู่ในระดับคุมพิภพแล้วทั้งยังเดินทางมาพร้อมกับกู่โหวเยและนักรบที่มีพลังมากกว่าระดับอรุณรุ่งอีกหลายคนหากนักรบพวกนั้นถ่วงเวลาให้โกซานหยุนได้สักสิบอึดใจล่ะก็ด้วยพลังของนักพรตระดับสูงเขาต้องแสดงพลังที่แข็งแกร่งจนสามารถเอาชนะนักรบที่มีพลังต่ำกว่าระดับสั่งฟ้าได้อย่างแน่นอน
ดังนั้นคนตรงหน้าต้องมีพลังแข็งแกร่งกว่าระดับสั่งฟ้าแน่และคนที่มีพลังแข็งแกร่งมากถึงเพียงนี้ ไม่มีทางที่ใครจะเข้าไปใกล้ในระยะสิบเมตรได้โดยที่เขาไม่รู้ตัว...
ทว่าร่างตรงหน้าก็ไม่มีทีท่าว่าจะหันกลับมามองเลยสักนิดหากตู้เหว่ยไม่ได้ประเมินพลังของคนตรงหน้าสูงเกินไปล่ะก็เช่นนั้นก็มีความเป็ไปได้อีกเพียงอย่างเดียวเท่านั้น นั่นก็คือคนผู้นี้มั่นใจในตัวเองมากมากจนคิดว่าต่อให้ตู้เหว่ยจะโจมตีในระยะประชิดเช่นนี้ ตนก็สามารถต่อกรหรือหลบเลี่ยงไปได้อย่างแน่นอน
ความคิดนั้นทำให้ตู้เหว่ยเหงื่อซึมด้วยความกดดันเขาเคลื่อนไปข้างหน้าอีกเล็กน้อย เพียงไม่นานเขากับร่างนั้นก็อยู่ห่างกันเพียงไม่ถึงห้าเมตรเท่านั้น ตอนนี้เขามองเห็นได้อย่างเลือนรางแล้วว่าคนตรงหน้าแบกดาบเอาไว้ด้านหลังแถมยังแลดูคุ้นตาเป็เสียเหลือเกิน ราวกับเคยเห็นที่ไหนมาก่อนแต่ก็คิดไม่ออกเสียทีว่าเคยเจอที่ไหน
เขาข่มความสงสัยในหัวใจเอาไว้เขารู้ดีว่าการต่อสู้ระหว่างยอดฝีมือนั้น จะแพ้หรือชนะก็ขึ้นอยู่กับเวลาเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้นดังนั้นเขาจึงพยายามขับไล่ความคิดมากมายออกไปจากสมอง ทำใจให้โล่งเพื่อให้ตนพร้อมสำหรับการต่อสู้มากที่สุด
ตอนนี้เขากับร่างนั้นห่างกันเพียงไม่ถึงสองเมตรเท่านั้น ดาบขนาดใหญ่ง้างยกขึ้นสูงม้าคู่ใจก็สูดลมหายใจฟึดฟัดพร้อมสู้แล้วเช่นกัน
วินาทีนั้นเขารู้สึกราวเวลาถูกกรอให้ช้าลง คล้ายกับภาพตรงหน้าถูกหยุดเอาไว้อย่างไรอย่างนั้น
ลมหนาวพัดมาต้นหญ้าและใบไม้แห้งใต้เท้าพากันไหวเอนไปตามแรงลม ตู้เหว่ยตัดสินใจแน่วแน่เขารู้ดีว่านี่เป็โอกาสจู่โจมที่ดีที่สุดแล้ว
เขาคำรามเสียงในลำคอเตรียมจะเหวี่ยงดาบในมือลงไป
“ท่านเทพนักรบช่างชักช้าเสียจริงปล่อยให้ข้ารออยู่นานทีเดียว” จู่ๆร่างนั้นก็หมุนตัวกลับมาหาเป็จังหวะเดียวกับที่เสียงอันแสนเย็นะเืของใครบางคนดังกระทบโสตประสาท
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้