ฉู่เมิ่งเอ๋อร์ร้องไห้น้ำตานองหน้า ถึงกระนั้นก็ยังดูงดงามประหนึ่งดอกสาลี่ต้องหยาดฝน จ้าวซีเหอบรรจงเช็ดน้ำตาให้ ยิ้มบางพร้อมกับเอ่ยว่า “ดูท่าจะมีแต่เ้าที่เข้าใจซื่อจื่ออย่างข้า”
ฉู่เมิ่งเอ๋อร์ใช้นิ้วเรียวเล็กของตนเองเช็ดน้ำตาบนแก้ม ดึงชายกระโปรงให้เรียบร้อย ส่งยิ้มให้จ้าวซีเหอ “ซื่อจื่อ เมิ่งเอ๋อร์ยินยอมติดตามรับใช้ข้างกายท่านไปตลอดชีวิตเ้าค่ะ”
“ได้” จ้าวซีเหอถึงกับคิ้วกระตุก คิดว่าหากหนิงมู่ฉือยอมพูดกับเขาเช่นนี้บ้าง เขาก็ยินยอมที่จะสละทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อนาง
เขาปล่อยให้ฉู่เมิ่งเอ๋อร์สวมเสื้อผ้าให้เขาอย่างช้าๆ สวมเสื้อผ้าเสร็จ เขาส่งยิ้มให้นาง สายตาแอบสำรวจมองรอยจูบแดงๆ ตามเนื้อตัวนาง ก่อนจะเอ่ยออกมา “เ้าพักผ่อนอยู่ที่นี่ก่อนเถิด ข้าต้องกลับตำหนักสักครู่ เพื่อไปรวบรวมค่าไถ่ตัวเ้า”
ฉู่เมิ่งเอ๋อร์พยักหน้าอย่างว่าง่าย “ซื่อจื่อไปเถิดเ้าค่ะ ข้าจะรอท่านอยู่ที่นี่” ดวงตานางแดงเรื่อ กลัวว่าถ้าจ้าวซีเหอไปแล้วจะไม่กลับมาอีก
จ้าวซีเหอพยักหน้าก่อนจะหมุนตัวเดินออกจากห้อง เดินไปถึงบันไดก็เห็นฉีอันยืนหน้าแดงหูแดงรอเขาอยู่ตรงมุมบันได
เขายิ้มพลางเดินไปหยุดตรงหน้าอีกฝ่าย ส่งสายตาหยอกล้อไปให้ แล้วจงใจพูดเสียงดังต่อหน้าคนมากมายที่อยู่ในหอนางโลม “ฉีอัน เมื่อคืนเ้าได้ลองลิ้มชิมรสชาติความสุขของชีวิตแล้ว รสชาติเป็อย่างไรบ้าง”
ฉีอันหน้าแดงก่ำประหนึ่งลูกผิงกั่ว[1]ในฤดูใบไม้ผลิ รีบโบกมือเป็พัลวัน เป็การบอกว่าไม่ให้เขาพูดต่อ
สาวๆ ที่พูดล้อฉีอันเมื่อวานหันหน้ามามอง ครั้นเห็นฉีอันหน้าแดงราวกับกุ้งต้มสุก ต่างยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาปิดปากหัวเราะ
จ้าวซีเหอได้ยินเสียงหัวเราะของสาวๆ จึงเดินเข้าไปใกล้ฉีอันมากขึ้น เอ่ยด้วยน้ำเสียงเจื่อแววหยอกล้อ “เหตุใดเล่า ฉีอัน ไม่อยากบอกข้าหรือ”
ฉีอันอ้ำอึ้ง “ซื่อจื่อ ท่านเลิกพูดเถิดขอรับ พวกเรารีบกลับตำหนักเถิด นี่ก็ไม่เช้าแล้ว รีบกลับเถิดจะได้ไม่ถูกท่านอ๋องเอ็ดเอา”
จ้าวซีเหอพยักหน้า หมุนตัวเดินออกจากหอจุ้ยหง โดยมีฉีอันที่ยังคงหน้าแดงก่ำเดินตามอยู่ด้านหลัง
ฉีอันเดินอย่างเร่งรีบ เรียกเสียงหัวเราะจากคนในหอนางโลมได้เป็อย่างดี สาวๆ ของหอนางโลมเอาแต่พูดคุยกันถึงเื่ของฉีอัน ทำให้ฉีอันที่ได้ยินอดไม่ได้ที่จะโมโห
สาวๆ พูดคุยกันว่า “เฮ้อ คุณชายท่านนั้นบริสุทธิ์ไร้เดียงสาเหลือเกิน ก็แค่เื่สนุกเล็กๆ ในชีวิต ทำท่าเขินอายอย่างกับอะไรดี”
“ใช่ คุณชายท่านนี้ยังไม่เคยใช่หรือไม่ เมื่อคืนเป็ชุ่ยเอ๋อร์ที่ปรนนิบัติเขา พวกเราไปหานาง ไปฟังเื่สนุกกันดีกว่า”
ฉีอันโมโหยิ่ง หากก็ทำอันใดไม่ได้ ได้แต่รีบเร่งฝีเท้าเดินตามจ้าวซีเหอไปอย่างรวดเร็ว
จ้าวซีเหอหันหลังกลับมามอง พอเห็นท่าทางเช่นนี้ของฉีอันก็หัวเราะออกมา ฉีอันโมโหยิ่งกว่าเดิม เอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “ซื่อจื่อ ท่านทำเช่นนี้ ต่อไปข้าคงไม่มีหน้าไปพบผู้คนอีกเป็แน่”
เมื่อเขาได้ฟังลืมก็เื่ทุกข์ใจไปจนหมดสิ้น เอ่ยตอบกลับไป “หืม? ไม่มีหน้าไปพบผู้คน? ฉีอัน เื่นี้เป็เื่ที่บุรุษทุกคนต้องเคยผ่านกันทั้งสิ้น มีสิ่งใดน่าอายกัน”
ฉีอันไม่ได้กล่าวตอบ ทว่าหน้ายังคงแดงก่ำ ฮึดฮัดอย่างไม่พอใจอยู่ด้านหลังเขาเช่นเดิม
เขาหยุดหัวเราะแล้วกวักมือเรียกอีกฝ่าย “ฉีอัน เ้ามานี่ ข้ามีบางอย่างจะพูดกับเ้า”
ฉีอันเดินมาหยุดยืนด้านข้างเขา “ซื่อจื่อ ท่านมีเื่ใดจะสั่งหรือขอรับ”
เขาชะงักนิ่งไปชั่วครู่ มองหน้าฉีอันพร้อมกับเอ่ยด้วยสีหน้าเยือกเย็น น้ำเสียงจริงจัง “เ้าว่า หากข้าไถ่ตัวฉู่เมิ่งเอ๋อร์ออกมาเป็อย่างไร”
ฉีอันได้ฟังก็มองหน้าจ้าวซีเหออย่างใ เอ่ยด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก “ซื่อจื่อ! ไม่ได้นะขอรับ! หากท่านอ๋องรู้ว่าท่านไถ่ตัวหญิงในหอนางโลมกลับตำหนัก ต้องโมโหท่านมากเป็แน่!”
“ข้าก็เลยอยากให้เ้าช่วยข้าเก็บเื่นี้เป็ความลับอย่างไรเล่า เื่ไถ่ตัวฉู่เมิ่งเอ๋อร์เป็เื่ที่ข้าตัดสินใจเองคนเดียว” จ้าวซีเหอกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ก่อนจะเดินต่อไปยังทิศทางของตำหนักอ๋อง
เมื่อคืนจ้าวซีเหอดื่มจนเมามาย ตอนนี้จึงรู้สึกปวดศีรษะดั่งจะแตกออกเป็เสี่ยงๆ ทันทีที่เท้าก้าวเข้ามาในตำหนักอ๋อง เขาเห็นกลุ่มควันลอยออกมาจากห้องครัว ครั้นเดินไปถึงห้องครัว เห็นหนิงมู่ฉือกำลังยุ่งวุ่นวายกับการปรุงอาหาร เขายกมือเคาะประตูด้วยเสียงไม่ดังนัก
หนิงมู่ฉือได้ยินเสียงเคาะประตูก็หันหน้าไปมอง เห็นจ้าวซีเหอกำลังเดินเข้ามาด้วยสีหน้าอ่อนเพลีย นางได้กลิ่นสุราร้อยบุปผาและกลิ่นแป้งจากตัวเขา นางขมวดคิ้วเล็กน้อย ในใจรู้สึกหดหู่ หากใบหน้ากลับแย้มยิ้มเป็รอยยิ้มบางๆ “ซื่อจื่อ เมื่อคืนไปหอจุ้ยหงมาอีกแล้วหรือเ้าคะ แล้วก็คงดื่มสุราร้อยบุปผาเข้าไปด้วยใช่หรือไม่เ้าคะ”
จ้าวซีเหอยิ้มพลางกล่าวเหน็บ “จมูกเ้านี้ดีจริงๆ เช่นนั้นต้มน้ำแกงสร่างเมาให้ข้าหนึ่งถ้วยสิ ตอนนี้ข้าปวดหัวจะตายอยู่แล้ว”
หนิงมู่ฉือรับคำด้วยเสียงไม่ดังนัก ก่อนจะเดินไปที่เขียง ใช้มีดซอยขิงแล้วนำไปใส่ในหม้อต้ม นางค่อยๆ ต้มน้ำแกงสร่างเมาอย่างช้าๆ เมื่อเสร็จยกไปวางตรงหน้าจ้าวซีเหอ ตลอดั้แ่ต้นจนจบทั้งสองคนไม่ได้พูดคุยกันสักคำ
จ้าวซีเหอจ้องมองแผ่นหลังของหนิงมู่ฉืออย่างร้าวรานใจ เขาจึงหันหลังให้นาง ยกถ้วยน้ำแกงสร่างเมาขึ้นดื่ม ทว่าไม่ทันระวังจึงถูกน้ำแกงลวกลิ้นเข้า อารามใเขาพลันปล่อยมือจากถ้วย ถ้วยกระเบื้องเคลือบชั้นดีตกพื้นแตกกระจายเต็มไปหมด
หนิงมู่ฉือมองด้วยความเป็ห่วง ทว่านางพยายามกดความเป็ห่วงนี้ลงไป และค่อยๆ ใช้ผ้าเช็ดหน้าช่วยเช็ดไปตามตัวจ้าวซีเหอจนสะอาด
นางส่งยิ้มอ่อนให้เขา “ซื่อจื่อ ท่านไม่ระวังเลย ถึงแม้ข้าจะทำอร่อยมากเพียงใด ท่านก็ควรจับถ้วยให้ดีสิเ้าคะ”
จ้าวซีเหอมองรอยยิ้มของหนิงมู่ฉือนิ่ง ชะงักไปครู่ใหญ่ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงกรุ่นโกรธ “ช่างเถิด ข้าไม่ดื่มแล้ว น้ำแกงร้อนจัดเยี่ยงนี้ จะให้ข้าดื่มได้อย่างไร!”
สิ้นเสียง เขาพบว่าสีหน้าหนิงมู่ฉือพลันเปลี่ยนไป เขาอ้าปากค้างเล็กน้อย ไม่รู้จะพูดคำใดต่อดี ทำได้แค่ลูบแขนเสื้อแก้เก้อ แล้วเอ่ยเบาๆ ว่า “ก่อนหน้านี้ข้าช่วยชีวิตเ้าเอาไว้ ตอนนี้มีเื่หนึ่งอยากขอให้เ้าช่วย”
หนิงมู่ฉือเงยหน้ามองจ้าวซีเหอด้วยสีหน้าหม่นเศร้า ขณะเอ่ยด้วยเสียงไม่ดังนัก “ซื่อจื่อพูดมาเถิดเ้าค่ะ หากช่วยได้ฉือเอ๋อร์ต้องช่วยท่านแน่นอน”
[1] ลูกผิงกั่ว คือ ลูกแอปเปิ้ล