หลิวชิวเซียงรู้สึกว่าเื่ราวเช่นนี้ไม่เหมาะที่จะฟังต่อ
ขณะที่กำลังจะบอกให้หลิวเต้าเซียงแอบย่องออกมา ก็ได้ยินเสียงเยือกเย็นของหลิววั่งกุ้ยดังขึ้น
“เ้าเอามาจากไหน? พูด!”
เมื่อได้ยินดังนั้น ขอบตาของชุ่ยหลิวก็แดงก่ำ หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาร้องไห้กระซิกๆ “เหตุใดข้าจึงสวมใส่ของดีไม่ได้เลยหรือ? ข้ารู้ว่าในใจของท่านไม่ได้มีข้า ก็แค่อยากทำเล่นๆ กับข้าเพียงเท่านั้น ฮือๆ เหตุใดข้าจึงมีชีวิตที่ขมขื่นเช่นนี้ ในเมื่อคุณชายไม่เชื่อข้า ก็เอาผ้าขาวให้ข้าด้วยเถิด ข้าจะได้จากไปอย่างบริสุทธิ์”
หลิววั่งกุ้ยไม่อาจทนดูดอกแพร์ตากฝนกับความบอบบางที่สู้ลมฝนไม่ได้
“เอาเถิด อย่าร้องไปเลย ข้าปวดใจยิ่งนัก ข้าเพียงแต่ชื่นชอบเ้าเหลือเกิน จึงกลัวว่าคนรอบข้างจะคิดไม่ดีกับเ้า”
คำพูดนี้ชุ่ยหลิวชื่นชอบฟังเป็ที่สุด เมื่อเห็นสายตาของหลิววั่งกุ้ยไม่ได้เสแสร้ง จึงโผเข้าหาอ้อมกอดของเขา
สองพี่น้องหลิวเต้าเซียงที่อยู่อีกฟากได้ยินเสียงซี้ดซ้าด
นางเดาว่าทั้งสองคงจะโอบกอดพลอดรักกันแล้ว ส่วนเื่ที่หลิวเหรินกุ้ยมอบปิ่นปักผมทองให้แก่ชุ่ยหลิว เดาว่าก็คงถูกปล่อยไว้อย่างนั้น
นางนับถือความใจกล้าของชุ่ยหลิวจริงๆ
ชุ่ยหลิวไม่รู้ตัวว่าหลิวเต้าเซียงได้ตีตรานางว่าเป็ ‘ผู้หญิงแพศยา’ และ ‘มารยาหญิงร้อยเล่มเกวียน’ ให้นางเรียบร้อย
“น้องรอง อาสี่เหมือนจะชอบชุ่ยหลิวเข้าจริงๆ”
หลิวเต้าเซียงและหลิวชิวเซียงแอบย่องออกมาจากประตูหลังนานแล้ว อันที่จริงนางก็วาดหวังรอดูความสนุกสนาน
ไม่ได้ นางต้องรีบคิดหาทางออกเื่แยกบ้าน
หากแยกบ้านสำเร็จ ทางฝั่งหลิวฉีซื่อจะทะเลาะกันอย่างไรก็ปล่อยไป
“ท่านพี่ เื่นี้กลืนลงท้องไป ทำเป็ว่าเราไม่เคยรู้เห็นมาก่อน”
นางบอกหลิวชิวเซียงว่า ถึงแม้เื่นี้จะถูกเปิดโปงก็ไม่ได้มีประโยชน์ต่อครอบครัวนางแม้แต่น้อย
หลิวชิวเซียงถามด้วยความไม่อยากเชื่อ “นี่จะนำมาซึ่งความเกลียดชังระหว่างลุงรองกับอาสี่จริงหรือ?”
หลิวเต้าเซียงพยักหน้า “ท่านพี่ นี่เป็เื่น่าอาย ลุงรองกับอาสี่จะพอใจหรือ?”
หลิวชิวเซียงก้มศีรษะและพูดอะไรไม่ออก
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ นางก็คิดได้ “เฮ้อ ในเมื่อเป็เช่นนี้ก็ต้องรีบแยกบ้าน”
หากแยกไปแล้ว ความโกลาหลระหว่างหลิวเหรินกุ้ย หลิววั่งกุ้ยและชุ่ยหลิวก็ไม่ใช่เื่ที่เกี่ยวกับครอบครัวของนางอีกต่อไป
แม้ว่าจะส่งผลต่อชื่อเสียงเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ใหญ่โตมาก เพราะถึงอย่างไรก็แยกครอบครัวกันอยู่ดี
ไม่ว่าหลิวชิวเซียงจะกังวลแค่ไหน แต่สุดท้ายชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป
วันนี้คือวันที่ยี่สิบเก้า ท่ามกลางความคาดหวังของหลิวฉีซื่อ ครอบครัวของหลิวสี่กุ้ยก็กลับมาบ้านในที่สุด
คนเดียวที่หลิวเต้าเซียงรู้สึกไม่คุ้นเคยคือหลิวหลี่ซื่อ รูปร่างหน้าตาไม่เลว คิ้วโค้งเหมือนจันทร์เสี้ยว ใบหน้าเรียวแหลม สวมชุดกระโปรงยาวลูกไม้ลายดอกเก๊กฮวยสีแดงพุทราและประดับด้วยขนกระต่าย กระโปรงกลีบสีครามออกเทา การพูดจาและน้ำเสียงละเอียดอ่อน
เมื่อเห็นหลิวเต้าเซียงและคนอื่นๆ ที่เป็รุ่นาุโน้อยกว่า ก็หยิบลูกอมที่พกติดตัวในกระเป๋าเงินออกมาให้พวกนางกิน
นิ้วมือเรียวยาวกำลูกอมขิงไว้ บนร่างมีกลิ่นหอมของดอกไม้อ่อนๆ
หลิวเต้าเซียงมีความประทับใจแรกพบกับป้าใหญ่ผู้นี้ นางไม่ได้หยาบกระด้างเช่นหลิวซุนซื่อกับหลิวฉีซื่อ อย่างน้อยภาพแรกที่คนเห็นก็รู้สึกสบายใจกว่า
จากนั้นก็กล่าวทักทายกันทั้งครอบครัว กระทั่งครอบครัวฝั่งหลิวซานกุ้ยก็ได้รับของว่างที่ไม่ได้จัดว่าดีมากมาหนึ่งกล่อง
แต่ในตำบลเหลียนซาน ของว่างนี้นับว่าดีมากแล้ว
อาหารค่ำในวันนี้ ทั้งครอบครัวแบ่งเป็สองโต๊ะ บรรดาพี่น้องตระกูลหลิวและหลานชายทั้งหลายนั่งรวมโต๊ะกับหลิวต้าฟู่
ส่วนอีกโต๊ะหนึ่งเป็หญิงสาวในตระกูลหลิวนั่งรวมกัน
โต๊ะที่หลิวเต้าเซียงนั่งกินข้าว นอกจากหลิวซุนซื่อที่หลิวฉีซื่อยังคงไม่ชอบหน้า และเอาแต่เชิดชูหลิวหลี่ซื่อแล้ว ก็ไม่มีสิ่งใดลดทอนความอยากอาหารของหลิวเต้าเซียงได้
สำหรับหลิวสี่กุ้ยและหลิวเหรินกุ้ยก็เอาแต่ปรายตามองใส่กัน ไม่รู้ว่าทั้งสองมีแผนอะไร
สำหรับการมาถึงของครอบครัวหลิวสี่กุ้ย หลิวต้าฟู่เองก็มีความสุขไม่น้อย
เขาคอยถามไถ่ว่าอยู่ในจวนตระกูลหวงเป็เช่นไรบ้าง แล้วก็บอกว่าหลิวสี่กุ้ยนั้นผอมลงไปไม่น้อย
หลิวต้าฟู่ไม่ค่อยสบายใจ บุตรชายคนโตที่ไม่ได้เจอหน้ากันมาหนึ่งปีดูแก่ขึ้นเมื่อเทียบกับในความทรงจำของเขา
เขาไม่อาจปฏิเสธข้อเท็จจริงนี้ได้เช่นกัน ว่าตัวเขาเองก็แก่ชราลงทุกวัน
หลังอาหารค่ำ ครอบครัวของหลิวเต้าเซียงนั่งอยู่เป็เพื่อนกันก่อน เมื่อเห็นหลิวฉีซื่อหาวหลายครั้ง หลิวซานกุ้ยจึงขอตัวพาทั้งครอบครัวกลับเข้าห้องปีกตะวันตก
หลิวหลี่ซื่อนั้นมีต้นกำเนิดที่แตกต่างจากคนอื่น หลิวฉีซื่อจึงมองนางสูงส่งกว่าคนอื่นๆ
“ท่านแม่ ดึกมากแล้ว ให้สะใภ้พาท่านแม่ไปพักผ่อนดีกว่า”
หลิวฉีซื่อพึงพอใจกับท่าทีเคารพของนางเป็อย่างมาก เพราะทำให้นางนึกถึงการปฏิบัติต่อฮูหยินหวงในตอนที่ตนเองยังอยู่ในจวนตระกูลหวง
นางเลียนแบบท่าทางของฮูหยินหวงแล้วพยักหน้ารับ จากนั้นกวาดตามองหลิวซุนซื่อ เมื่อเห็นนางก้มศีรษะและกินของว่างจนหมด หลิวฉีซื่อยิ่งรู้สึกว่าหลิวซุนซื่อนั้นเป็ที่ทิ่มแทงสายตายิ่งนัก จึงยิ่งรู้สึกชิงชัง
แต่นางรู้ว่าหลิวซุนซื่อเป็พวกหน้าหนา ชอบตอแยไม่เลิก ถึง่เทศกาลแล้วจึงไม่อยากมีปัญหา
จากนั้นจึงให้หลิวหลี่ซื่อช่วยพยุงตนเองเข้าไปในห้อง
หลิวเสี่ยวหลันกําลังฟังผู้ใหญ่พูดอย่างน่าเบื่อ เมื่อเห็นว่ามารดาของตนง่วงแล้ว นางจึงยื่นแขนซ้ายพร้อมกระดกปลายนิ้วก้อยขึ้นมา ให้อิงเอ๋อร์พยุงนางกลับไปพักที่ห้อง
ท่าทางของลูกผู้ดีนั้นเลียนแบบได้ทุกกระเบียดนิ้วอย่างแท้จริง
หลิวจูเอ๋อร์โมโหจนวางน้ำชาลงบนโต๊ะ แรงกระแทกนั้นทำให้น้ำชาที่ยังร้อนกรุ่นอยู่กระเซ็นออกจากถ้วย ประจวบเหมาะกับหลิวซุนซื่อเอื้อมมือไปหยิบเมล็ดทานตะวันบนโต๊ะพอดี คาดไม่ถึงว่าน้ำชาจะกระเซ็นไปโดนหลังมือของนาง
หลิวซุนซื่อที่ถูกน้ำร้อนลวกจนแสบมือตวาดบุตรสาวตนเองเสียงดัง และไม่คิดว่าหลิวจูเอ๋อร์จะมองนางด้วยใบหน้าน้อยเนื้อต่ำใจ
“จูเอ๋อร์ ลูกรักของแม่ เป็อะไรไป?” หลิวซุนซื่อไม่สนใจความเจ็บที่หลังมือ แล้วรีบถามบุตรสาวที่รัก
สายตาของหลิวจูเอ๋อร์เลื่อนมองไปทางประตูห้องตะวันตก หลิวฉีซื่อมองตาม จึงรู้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น
หลิวซุนซื่อส่งเสียงดูแคลนแล้วปัดมือเล็กน้อย จากนั้นเอ่ยปลอบโยนด้วยเสียงเบา “จูเอ๋อร์ อย่าได้ร้อนใจไป ท่านพ่อย่อมมีหนทางอยู่แล้ว”
นางพูดอย่างไม่มีที่มา
แต่หลิวจูเอ๋อร์ที่ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ กลับไม่อาละวาดต่อและยิ้มอย่างได้ใจ
“พี่จูเอ๋อร์ ป้ารอง ข้าว่าพ่อข้ากับลุงรองแล้วก็อาสี่กำลังพูดคุยกันอย่างครึกครื้น หรือไม่ พวกเราไปพักผ่อนกันก่อนเถิด”
หลิวเฉี่ยวเอ๋อร์ได้รับการบอกใบ้จากหลิวจื้อเซิ่ง จึงหาจังหวะเชื้อเชิญสองแม่ลูกหลิวซุนซื่อ เมื่อเห็นหลิวหลี่ซื่อออกมาจากห้องตะวันตก ทั้งสี่คนก็พากันกลับห้องปีกตะวันออก
ในห้องโถงมีเพียงหลิวต้าฟู่ที่กำลังสูบยาสูบคนเดียว ไม่นานนักหลิวฉีซื่อก็เดินออกมาจากในห้อง
“สี่กุ้ยล่ะ?”
“กลับไปพักผ่อนพร้อมกับเหรินกุ้ยแล้ว” หลิวต้าฟู่ตอบอย่างสบายๆ
หลิวฉีซื่อเอื้อมมือออกไปแปรงผม ใบหน้านั้นไม่พอใจและพึมพำ “เหตุใดจึงกลับห้องไปแล้ว?”
“มีอะไรหรือ?” หลิวต้าฟู่มองนางอย่างสับสน
“อืม ข้าจะไปหาเขา” หลิวฉีซื่อก้าวเท้าเดินออกไปทางประตูห้องโถง
หลิวต้าฟู่ฟังแล้วรำคาญใจยิ่งนัก “นี่กี่โมงกี่ยามแล้ว จะไม่ให้คนเขาได้พักผ่อนเลยหรือ”
เขาต่อว่าภรรยาว่าไม่รู้จักกาลเทศะ
ก่อนหน้านี้ตอนที่ลูกๆ อยู่ด้วยกัน เหตุใดจึงไม่คุย?
ขณะที่ทั้งสองกำลังแข็งตึงใส่กัน หลิวสี่กุ้ยก็เดินกลับเข้ามาใหม่
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ดูความจำข้าสิ บ้านนายท่านได้ยินว่าข้ากลับมาเทศกาลปีใหม่ที่บ้าน จึงให้ขนมปลานึ่งมาด้วย รุ่งสางวันนี้เพิ่งจะให้คนทำ จะได้ให้ทั้งสองได้กินของสดอร่อย”
ขนมปลานั้นมองดูแล้วมีประกาย น่าจะหอมกรอบอร่อยน่าดู
หลิวสี่กุ้ยเป็คนที่ไม่ยอมทำอะไรโดยสูญเปล่า ทุกครั้งที่เขานำของออกมา ย่อมต้องมีเื่ขอร้องทั้งบิดามารดา
หลิวฉีซื่อหยิบขนมปลาบนจานมาด้วยสีหน้าระรื่น แล้วเอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ต้องเป็ฮูหยินใหญ่ที่นึกถึงสายสัมพันธ์อันดีที่ผ่านมา จึงตั้งใจทำของโปรดของข้ามาให้”
กล้ามเนื้อบนใบหน้าของหลิวสี่กุ้ยกระตุกเล็กน้อย ขนมปลานี้เพิ่งจะทำในจวนตระกูลหวงปีนี้ ได้ยินว่าเผยแพร่มาจากทางภาคตะวันออก
เขารู้ว่ามารดาของตนเป็คนรักหน้าตา จึงไม่ได้บอกความจริงกับนาง
“ใช่แล้ว นายท่านต้องเห็นว่าท่านแม่ชื่นชอบ จึงตั้งใจสั่งให้คนทำไว้แต่เช้า รอเมื่อข้าออกเดินทาง จึงนำของมาให้”
หลิวฉีซื่อถือจานอย่างระมัดระวังและอิ่มเอมใจ
หลิวต้าฟู่รู้สึกเพียงว่าภาพตรงหน้านี้ช่างน่าหน่ายใจนัก เขาจึงยกเท้าขวา แล้วถือปล้องยาสูบทองแดงเก้าไฟมาเคาะกับพื้นรองเท้าอย่างแรง
เป็พื้นรองเท้าที่สึกหรอจนบาง ดูออกได้ว่าเขาสวมใส่มานานหลายปีแล้ว
ริมฝีปากของหลิวสี่กุ้ยเผยอออกเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ถามเื่ที่คลางแคลงใจออกมา
“เ้ามีธุระกับลูกไม่ใช่หรือ? มีอะไรก็รีบคุย ลูกๆ เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว รีบให้เขากลับไปพักผ่อน”
“ท่านพ่อ แม้ว่าจะเหนื่อย แต่ขอเพียงได้กลับมาเยี่ยนท่านพ่อท่านแม่อย่างราบรื่นปลอดภัยก็ดีแล้ว ลูกเหน็ดเหนื่อยแค่นี้ไม่เป็อย่างไรหรอก”
หลิวสี่กุ้ยเป็คนช่างพูด ส่วนหลิวต้าฟู่เองก็ชื่นชอบคำพูดของเขา
“เอาเถิด ยายเฒ่า เ้ามีอะไรก็รีบพูด”
หลิวฉีซื่อได้สติจึงเลื่อนสายตาจากขนมปลาไปที่ใบหน้าของหลิวต้าฟู่ แล้วเบนออกอย่างรวดเร็ว
“สี่กุ้ย เื่นั้นเป็เช่นไรบ้าง?”
หลิวสี่กุ้ยรู้ว่านางถามเื่อะไร จึงเอ่ย “แต่ท่านแม่ ใจกล้าเหลือเกิน หารู้ไม่ว่าตอนที่ข้าเปิดจดหมายมา หัวใจแทบจะตกลงมาอยู่ที่ตาตุ่ม”
หลิวต้าฟู่ที่อยู่ด้านข้างได้ยินดังนั้นถึงกับมึนงง ก่อนจะเอ่ยถามอย่างร้อนรน “มีอะไร แม่เ้าเขียนจดหมายให้เ้าหรือ? มีเื่อันใด? ที่บ้านเราก็ไม่ได้เกิดเื่อะไรขึ้นนี่นา!”
หลิวฉีซื่อเป็คนที่ชอบตัดสินใจทำอะไรด้วยตัวเอง เวลามีเื่อันใดก็ไม่ได้บอกกับหลิวต้าฟู่ทุกเื่เสมอไป
หลิวสี่กุ้ยเห็นใบหน้าที่งงงวยของหลิวต้าฟู่ จึงเข้าใจว่ามารดายังไม่ได้บอกกล่าวเื่นี้กับเขาเป็แน่
“ท่านแม่ ท่านยังไม่ได้บอกกับท่านพ่อหรือว่าจะซื้อบ้าน?”
หลิวฉีซื่อยิ้มและกวักมือเรียกหลิวสี่กุ้ยให้มานั่งที่ม้านั่งข้างๆ นาง
“จะไม่บอกเขาได้อย่างไรกัน เพียงแต่เื่ที่แนบกระดาษเงินไปในจดหมาย ข้าไม่ได้บอกกับผู้ใด”
นางวิเคราะห์เ้าหน้าที่ที่สถานีรถม้าในตำบล คงเห็นว่านางเป็เพียงหญิงชราชนบท จึงไม่ได้เฉลียวใจและคาดเดาอะไรไปเรื่อย
หลิวสี่กุ้ยใกับความกล้าหาญของนางจนเหงื่อแตก รีบตอบด้วยความตื่นเต้น “ท่านแม่ ท่านไม่รู้ว่า ตอนที่ข้าเห็นจดหมาย แล้วพบว่าด้านในมีกระดาษเงิน ตอนนั้นข้าใแทบแย่ ท่านช่างใจกล้าเกินไปแล้ว กล้าแนบกระดาษเงินมาในจดหมาย หากว่ามันหายขึ้นมาจะทำอย่างไร?”
หลิวฉีซื่อโบกมืออย่างมีความสุขและตอบว่า “จดหมายฉบับนี้ไม่มีทางหายหรอกน่า!”
ปรากฏว่าในคืนนั้นนางได้บอกกล่าวเื่ทั้งหมดกับหลิวต้าฟู่ไปเรียบร้อย และนึกถึงคำพูดของบุตรชายคนโต ตอนนั้นที่นางกลับมาจากจังหวัด ได้ยินบุตรชายคนโตบ่นว่าด้านนอกจวนมีบ้านหลังหนึ่งที่เ้าของกำลังจะย้ายออก และกำลังอยากขายบ้านที่มีอยู่ทั้งหมด
เพียงแต่ตอนนั้นไม่ได้มั่นใจนัก นางจึงรออยู่ที่จังหวัดราวครึ่งเดือน แต่ก็ไม่ได้ข่าวคราวว่าครอบครัวนั้นจะขายบ้านจริงหรือไม่
-----
