ตงฟางซวี่เดินไปข้างกายอวิ๋นซู กล่าวเสียงเบา “คุณหนูหก ผู้นี้คือเหลยเจิ้น หลานชายของแม่ทัพเวยหย่วน ไม่รู้ว่าเ้าเคยพบหรือไม่”
เขาทราบว่าอวิ๋นซูเพิ่งจะถูกจวนชางหรงโหวรับกลับมา เขาที่ละเอียดรอบคอบคิดว่านางคงจะไม่เคยพบเหลยเจิ้นมาก่อน
กล่าวคือ บุรุษผู้นี้เป็คนจากบ้านเดิมของเหลยซื่อ
“ท่านอาจารย์อวิ๋น สิ่งสำคัญของการแข่งขันฝ่าสิ่งกีดขวางคือการร่วมมือกันในกลุ่ม เกรงว่าเฟิ่งฉีกับคุณชายเหลยจะไม่มีความเข้าขากันเช่นนั้นได้” คำพูดของเฟิ่งฉีนับว่านุ่มนวลแล้ว ทว่าเหลยเจิ้นกลับแค่นเสียงเย็น “ไม่เป็ไร ข้ามีสหายที่เข้าขากันมากมาย ไม่จำเป็ต้องลำบากคุณชายสี่หรอก”
บรรยากาศระหว่างทั้งสองตึงเครียด ตงฟางซวี่ยิ้มอย่างจนใจ ทันใดนั้นอวิ๋นซูก็ะโขึ้นม้า “ในเมื่อเป็เช่นนี้ เชิญคุณชายทั้งสองมาประลองกับผู้น้อยสักรอบ ขอเพียงคุณชายทั้งสองมีหนึ่งคนที่ไปถึงเส้นชัยได้ก่อนผู้น้อยแม้เพียงนิดเดียว ก็นับว่าผู้น้อยแพ้ ส่วนจะเลือกใคร เชื่อว่าถึงเวลานั้นรัชทายาทย่อมตัดสินใจได้”
“เช่นนั้นหากพวกเราแพ้...” เฟิ่งฉีเพิ่งจะเปิดปาก เหลยเจิ้นก็พลันหัวเราะออกมา “คุณชายสี่ไม่มีความมั่นใจในตนเองขนาดนี้เชียวหรือ? เช่นนั้นให้คุณชายสี่อยู่กลุ่มเดียวกับอาจารย์อวิ๋นท่านนี้ แล้วให้ข้าแข่งหนึ่งต่อสอง เช่นนี้เป็อย่างไร?”
ฮึ เ้าคนอวดดี ยังไม่เคยเห็นฝีมือการขี่ม้าของคุณหนูหกถึงได้โอหังขนาดนี้ ดูแล้วช่างทำให้ผู้คนขบขันเสียจริง! แม้ว่าเฟิ่งฉีจะไม่เต็มใจอย่างยิ่ง แต่เขาไม่อยากตัดรอนไมตรีของอวิ๋นซู จึงเลือกม้าและะโขึ้นไปทันที
ขี้ขลาดไม่ต่างกับหนู! กระทั่งไอ้หน้าหวานผอมแห้งเช่นนี้ก็ยังกลัว ดูท่าแล้วคนของจวนชางติ้งโหวก็ไม่เห็นจะเท่าไร! เหลยเจิ้นแววตาเหยียดหยาม หลิ่วอวิ๋นเฟิงที่อยู่ข้างๆ ส่งสายตาขอโทษไปทางเฟิ่งอวี่ อีกฝ่ายเพียงแย้มยิ้มออกมาอย่างใจกว้าง ด้วยตำแหน่งฐานะของแม่ทัพเวยหย่วนในราชสำนัก หลานชายของเขาจะโอหังถึงเพียงนี้ก็นับว่ามีเหตุผล
ทั้งสามมาถึงเส้นเริ่มต้น อวิ๋นซูมองไปข้างหน้าอย่างเรียบเฉย ไม่สนใจสายตาประเมินของเหลยเจิ้นโดยสิ้นเชิง ในใจของเฟิ่งฉีไม่พอใจยิ่งนัก เ้าทึ่มนี่ไร้มารยาทนัก!
รัชทายาทเดินมาข้างๆ ยกมือขึ้นสูง เมื่อออกคำสั่ง ม้าเร็วทั้งสองตัวก็พุ่งทะยานออกไปประดุจดั่งลูกศรที่ออกจากคันธนู
เหลยเจิ้นและเฟิ่งฉีเร็วพอกัน ส่วนอวิ๋นซูกลับตามหลังไปติดๆ โดยรักษาระยะห่างเล็กน้อย
“ฮึ ฝีมือของอาจารย์อวิ๋นผู้นี้ช่างแข็งแกร่งจริงๆ!” เหลยเจิ้นหัวเราะอย่างเสียดสี เฟิ่งฉีสะบัดบังเหียน ต่อให้เป็กลุ่มเดียวกัน ตนเองก็ไม่อยากแพ้ให้เ้าทึ่มนี่!
“อวิ๋นเฟิง เ้าเห็นว่าอย่างไร?” เฟิ่งอวี่คิดว่าอวิ๋นซูในวันนี้ดูเหมือนจะรักษากำลังเอาไว้ การแข่งแบบสองต่อหนึ่งไม่ยุติธรรมกับนาง แต่เขารู้สึกว่าสตรีผู้นี้ไม่เหมือนกับคนที่สู้กับผู้อื่นโดยไม่มีความมั่นใจ
จู่ๆ หลิ่วอวิ๋นเฟิงก็ดึงมือเฟิ่งอวี่ “เ้าดูข้างหน้า”
ด้านหน้าของม้าเร็วทั้งสองตัวปรากฏอุปสรรคที่หนึ่งขึ้นแล้ว ทางออกเล็กๆ เพียงแค่นั้นสามารถเข้าไปได้เพียงคนเดียว
ทั้งสองเข้าใจเจตนาของอวิ๋นซูขึ้นมาแล้ว บางทีสตรีนางนั้นอาจจะคำนวณให้พวกเขาเข้าไปในทางออกนั้นั้แ่เริ่มต้นแล้วก็เป็ได้ เพื่อจะดูว่าที่สุดแล้วสองคนนี้จะมีใจสามัคคีกันหรือไม่
ไม่ผิดจากที่คาด เมื่อมาถึงบริเวณที่ห่างจากทางออกนั้นไม่ไกล ม้าเร็วทั้งสองก็ชนกัน ต่างไม่มีใครยอมถอย
“ให้ข้าผ่านไปก่อน!”
“ทำไมเล่า?”
ทั้งสองปะทะสายตากันอย่างดุดัน ม้าเร็วทั้งสองพัวพันกันอยู่กลางทาง
“ข้าผ่านไปก่อนโอกาสชนะจะมากขึ้น!”
“ฮ่าๆ ไม่ใช่ว่าคุณชายเหลยกล่าวไว้ว่า สามารถแข่งสองต่อหนึ่งได้หรือ เชื่อว่าหากให้ข้าผ่านไปก่อน เ้าก็สามารถตามมาได้ในไม่ช้า”
“ไอ้เลวเอ๊ย! เ้าตั้งใจมาถ่วงแข้งถ่วงขาข้า!”
“ใครถ่วงใครก็ยังไม่รู้!”
ใน่ที่ทั้งสองทะเลาะกันอยู่ อวิ๋นซูก็ควบม้าแซงพวกเขาไปแล้ว เสียงร้องยาวๆ ดังขึ้น ลูกม้าตัวน้อยนั้นก็วิ่งผ่านทางออกไปอย่างง่ายดาย
“สมควรตาย เพราะเ้าแท้ๆ ไอ้หน้าหวานนั้นผ่านไปแล้ว!”
“ให้ความเคารพเขาหน่อย เ้าเรียกอาจารย์อวิ๋นว่าอะไร?!”
เพียงพริบตา อวิ๋นซูก็ทิ้งห่างพวกเขาไปไกล เฟิ่งฉีและเหลยเจิ้นต่างยึดมั่นในความคิดของตน ทว่าเมื่อมองเงาร่างที่ไกลออกไปเรื่อยๆ แล้ว หรือว่าสองต่อหนึ่งก็ยังต้องแพ้อย่างน่าอนาถแบบนี้?
เฟิ่งฉีตัดสินใจดึงบังเหียน ม้าของเขาถอยหลังไปหนึ่งก้าว เหลยเจิ้นแค่นเสียงอย่างหยามเหยียด “ย่ะ!” ม้าเร็วตรงเข้าไป เื้ัมีฝุ่นทรายฟุ้งกระจายอย่างหนาแน่น
“แค่กๆ ...เ้าคนน่ารังเกียจนี่!” เฟิ่งฉีรีบไล่ตามไปอย่างไม่พอใจ คราวหน้าเขาจะไม่เป็ฝ่ายยอมแล้ว!
ลูกม้าตัวเล็กของอวิ๋นซูยังคงวิ่งไปอย่างมั่นคง มันไม่แม้แต่จะหอบและความเร็วก็ไม่ได้ลดลง เมื่อถึงทางโค้งที่ลื่นล้มได้ง่าย มันก็วิ่งไปตามแนวรั้วได้อย่างง่ายดาย เหลยเจิ้นกัดฟัน เตะท้องม้าใต้ร่างตนอย่างแรง ม้าตัวนั้นได้รับความเ็ปจึงพุ่งทะยานออกไปอย่างบ้าคลั่ง
ทว่าบริเวณทางโค้งกะทันหัน เหลยเจิ้น้าจะเปลี่ยนทิศทาง แต่เพราะเร็วเกินไป เขารู้สึกว่าร่างกายสั่นไหว ขาทั้งสี่ของม้าเร็วใต้ร่างอ่อนยวบจนตัวเขาถูกสะบัดออกมา
“อะไรกัน?” ยังไม่ทันได้ตอบสนอง เขาก็ตกลงกระแทกพื้นอย่างแรง ส่วนม้าเร็วตัวนั้นก็ร้องอย่างเ็ปแล้วไถลไปไกลสิบลี้1 ทิ้งรอยลึกไว้บนพื้นรอยหนึ่ง
เฟิ่งฉีที่ตามมาติดๆ รู้สึกหมดคำพูด นี่เป็คนที่เพิ่งกลับจากค่ายทหารชายแดนจริงหรือ เหตุใดจึงไม่รู้ว่าบริเวณทางโค้งควรจะควบคุมความเร็วให้ดี
เหลยเจิ้นลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว สบเข้ากับสายตายิ้มเยาะของเฟิ่งฉีพอดี พลันนั้นท่าทีของเขากลายเป็ดุร้าย ใช้วิชาตัวเบาไล่ตามไป
“เขาจะทำอะไร?” คนทั้งสามที่ดูอยู่ไกลๆ รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี พลันได้ยินเสียงคำรามลั่น
“เอาม้าของเ้ามาให้ข้า!”
เฟิ่งฉียังไม่ทันได้ตอบสนอง หลังของเขาก็ถูกเหลยเจิ้นถีบจนตกจากม้า แต่มือของเขายังคงกำบังเหียนเอาไว้แน่น จึงถูกม้าลากไปโดยที่ขาทั้งสองวิ่งอยู่บนพื้น จะอย่างไรก็ไม่ยอมปล่อยมือ
“เอาบังเหียนมาให้ข้า!” เหลยเจิ้นในตอนนี้ถูกความโกรธครอบงำไปแล้ว แม้จะเปลืองแรง แต่เฟิ่งฉีก็ยังคงพยายามรีดเร้นรอยยิ้มเยาะเย้ยออกมา ทั้งสองจึงเริ่มต่อสู้พัวพันเพื่อแย่งชิงม้าตัวนี้
อวิ๋นซูในตอนนี้วิ่งไปกว่าครึ่งทางแล้ว เมื่อเห็นความเร็วของนาง ทั้งสามคนที่คอยดูอยู่พลันเข้าใจว่านางไม่ได้ลงมือเต็มที่ นางอาจคาดเดาได้ั้แ่แรกว่าเหลยเจิ้นและเฟิ่งฉีจะต่อสู้กันเอง
เหลยเจิ้นถีบแขนของเฟิ่งฉีอย่างโเี้ ม้าตัวนั้นถูกทั้งสองยื้อยุดไปมาจึงวิ่งอย่างเหนื่อยหอบ เฟิ่งอวี่ที่อยู่ไม่ไกลทนดูต่อไปไม่ไหวแล้ว “น้องสี่!”
เขาะโ เฟิ่งฉีมองไปยังสายตาเข้มงวดของพี่ใหญ่ของตนโดยพลัน กัดฟันอย่างไม่พอใจนัก ส่วนอวิ๋นซูวิ่งไปยังฝั่งตรงข้ามแล้ว เขาลองคิดดูอีกที หากตนปล่อยมือตอนนี้ก็เท่ากับสละสิทธิ์ เช่นนั้นปล่อยให้เ้าทึ่มนี่ััรสชาติความพ่ายแพ้เสียหน่อยดีกว่า
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงปล่อยมือทั้งสองของตนก่อนจะถีบเหลยเจิ้นไปครั้งหนึ่ง แล้วกลิ้งไปด้านหนึ่งอย่างทุลักทุเล
“น้องสี่ เ้าไม่เป็ไรนะ?”
“คุณชายสี่...”
เฟิ่งอวี่และหลิ่วอวิ๋นเฟิงรีบเข้ามา เห็นชุดฮว๋าฝูบนร่างของเขาเต็มไปด้วยดินโคลน เห็นได้ชัดว่าเหลยเจิ้นลงมือโดยไม่ไว้ไมตรีแม้แต่น้อย คนเช่นนี้หากเข้าร่วมการแข่งขัน เพื่อผลประโยชน์ของตนเองก็ไม่แน่ว่าอาจจะทำให้สหายร่วมกลุ่มต้องเดือดร้อนก็เป็ได้ ความจริงในใจของพวกเขารู้ชัดอยู่แล้วว่าเหลยเจิ้นไม่เหมาะกับการเข้าร่วมการแข่งม้าในครั้งนี้
อวิ๋นซูหันไปมองกลุ่มฝุ่นทรายที่ฟุ้งกระจายขึ้นมา เหลยเจิ้นตามหลังมาแล้วด้วยความรวดเร็ว ในที่สุดนางก็เปลี่ยนระดับความเร็ว ลูกม้าตัวน้อยวิ่งผ่านทางที่มีรั้วระเกะระกะอย่างคล่องแคล่ว ส่วนเหลยเจิ้นพึ่งพาพลังอันรุนแรงให้ม้าเร็ววิ่งชนรั้วที่ขวางกั้นพวกนั้นจนปลิว เสียงร้องอย่างเ็ปของม้าแว่วมาตามสายลมอย่างเลือนราง
“นี่...” ตงฟางซวี่เองก็ไม่คาดคิดว่าเพื่อชัยชนะแล้ว เหลยเจิ้นจะไม่สนใจกฎการแข่งขัน อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนในกฎจะไม่ได้บอกว่าห้ามชนสิ่งกีดขวางจนปลิว เพราะในการแข่งขันหากเขาชนสิ่งกีดขวางจนปลิวย่อมต้องส่งผลกระทบไปยังตัวแทนคนอื่นๆ อย่างแน่นอน ม้าของตนก็จะได้รับาเ็จนอาจทำให้เกิดเื่ไม่คาดคิดขึ้นได้ คนปกติย่อมไม่ทำเช่นนี้โดยเด็ดขาด
เส้นทางสุดท้ายของการแข่งวิ่งฝ่าอุปสรรค ตัวแทนสามารถใช้อาวุธของตนประลองกำลังกับคู่ต่อสู้บนหลังม้าได้ เดิมทีเป็เพียงการแข่งขันเพื่อมิตรภาพ ทว่าเหลยเจิ้นนั้นดวงตาแดงก่ำ ชักกระบี่ออกมาจากเอว ส่วนในมือของอวิ๋นซูไม่มีแม้แต่เหล็กสักท่อน
“แย่แล้ว!” ในใจของตงฟางซวี่พลันตึงเครียด รีบะโขึ้นหลังม้าควบทะยานไปยังทิศทางของคนทั้งสอง
“ฝ่าา!” พวกเขาคิดไม่ถึงว่ารัชทายาทจะถึงกับลงมือก้าวก่ายการแข่งขัน ทว่าบุรุษผู้กำลังเคร่งเครียดไม่สนใจผู้อื่นแล้วโดยสิ้นเชิง เฟิ่งฉีมองไปทางป่า พี่สาม เกรงว่ารัชทายาทจะปฏิบัติต่อคุณหนูหกไม่ธรรมดาจริงๆ เสียแล้ว
นกกลุ่มหนึ่งที่บินอยู่ภายในป่าถูกทำให้ใจนบินแตกฮือไปทั่วทุกทิศ ม้าสีขาวตัวหนึ่งพุ่งออกมาด้วยความรวดเร็ว บนหลังม้าคือบุรุษสวมหน้ากากผู้หนึ่ง ผมสีหมึกปลิวไสว ชุดของเขาโบกสะบัด ปรากฏตัวออกมาสู่สายตาของทุกคนดุจดั่งเทพ์ ความพิเศษแผ่กระจายออกมาจากร่างทำให้ผู้คนแทบจะหยุดหายใจ มองคนผู้นั้นพุ่งทะยานตรงไปยังทิศทางของอวิ๋นซู
เหล่าองครักษ์ที่คุ้มครองอยู่รีบชักกระบี่ เฟิ่งฉีจึงรีบะโ “อย่าลงมือ! นั่นสหายข้า!” ราวกับเืกำลังเดือดพล่าน ในที่สุดพี่สามก็ยับยั้งไม่อยู่แล้ว เร็วเข้า เป็วีรบุรุษช่วยสาวงามสักหน่อย อัดเ้าทึ่มนั่นให้หน้าทิ่มดินไปเลย!
เหลยเจิ้นมาถึงข้างหลังอวิ๋นซูแล้ว กระบี่ในมือของเขาชูขึ้นสูง เดิมทีเล็งไปที่ม้าใต้ร่างของนาง แต่เมื่อคิดว่าคนผู้นี้ทำให้ตนต้องปล่อยไก่ต่อหน้าผู้คนมากมาย ความกระหายในการฆ่าพลันปรากฏขึ้น เป้าหมายจึงเปลี่ยนไปเป็แขนของอวิ๋นซู
ตัดแขนไปสักข้าง ดูสิว่าไอ้หน้าหวานนี่จะยังเป็อาจารย์อวิ๋นอะไรได้อยู่หรือไม่!
อวิ๋นซูย่อมสังเกตเห็นถึงจิตสังหารที่ไม่คิดปกปิดแม้แต่น้อยจากด้านหลัง นางจึงสอดมือเข้าไปในแขนเสื้อ ตอนนี้เองบุรุษที่พุ่งเข้ามาด้วยความเร็วสูงทำให้นางหยุดชะงักการเคลื่อนไหว ร่างกายนั้นดูคุ้นเคย หน้ากากอันงดงามเปล่งประกายแวววาวภายใต้แสงอาทิตย์ ทำให้นางลืมที่จะตอบสนอง
หินก้อนหนึ่งกระทบถูกดาบในมือของเหลยเจิ้นอย่างแม่นยำจนหลุดร่วงลงไป พลังภายในอันเข้มข้นทำให้เหลยเจิ้นมือชาวาบ
“เ้าเป็ใคร? ทหาร! มีมือสังหาร!”
ทว่าเหล่าองครักษ์ล้วนได้ยินคำพูดของเฟิ่งฉีแล้ว คนผู้นี้ไม่ใช่มือสังหาร แต่เป็สหายของคุณชายสี่
ใน่เวลากระชั้นชิด ตงฟางซวี่ที่ไล่ตามมาติดๆ เห็นเหตุการณ์ที่ทำให้ตกตะลึง
บุรุษหน้ากากทะยานไประหว่างอวิ๋นซูและเหลยเจิ้นอย่างรวดเร็ว ม้าของเขาพลันเปลี่ยนทิศทาง ขาหลังทั้งสองถีบไปที่คอม้าของเหลยเจิ้นอย่างปราดเปรียว เสียงม้าร้องอย่างเ็ป ม้าเร็วถูกถีบจนตัวพลิกล้มลง บุรุษบนหลังม้าถูกกระแทกออกไป ฝุ่นดินฟุ้งกระจายทำให้บดบังการมองเห็นของทุกคน
“เกิดอะไรขึ้น?” เฟิ่งอวี่มองเหตุการณ์นั้นอย่างประหลาดใจ รู้สึกราวกับว่าตนเองพลาดอะไรบางอย่างไป
ตงฟางซวี่ดึงบังเหียนม้าให้ค่อยๆ หยุดลง ในใจรู้สึกสั่นไหว แต่ไหนแต่ไรเขาไม่เคยเห็นม้าที่สามารถโจมตีได้เองเช่นนั้น ความฮึกเหิมอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนปกคลุมจิตใจ เพียงการเคลื่อนไหวเดียว เขาพลันเข้าใจกระจ่าง บุรุษหน้ากากผู้นี้เป็ผู้มีฝีมือการขี่ม้ายอดเยี่ยมคนหนึ่ง! หากสามารถทำให้เขาส่งมอบกระบวนท่านั้นได้ เช่นนั้นการประลองกับแคว้นอี้ โอกาสชนะของพวกเขาก็เพิ่มอีกเท่าตัว!
************************
1 10 ลี้ เท่ากับ 5 เมตร