“เ้า เ้าถึงกับลอบโจมตีข้า!” เหลยเจิ้นลุกขึ้นจากพื้นในพริบตา มองไปยังบุรุษสวมหน้ากากที่แทรกเข้ามากะทันหัน ร่างกายเต็มไปด้วยจิตสังหาร อวิ๋นซูในตอนนี้ถึงเส้นชัยเรียบร้อยแล้ว ผลการแข่งขันเป็ที่ประจักษ์ชัด
เฟิ่งหลิงมองลงไปยังบุรุษที่ไร้ซึ่งเหตุผล เขาหัวเราะออกมาเบาๆ “คุณชายเหลยอยู่ที่ชายแดนมาหลายปี จะถูกคนลอบโจมตีง่ายๆ เช่นนั้นได้อย่างไร” คำพูดสื่อความหมายกำกวม หากเหลยเจิ้นยอมรับด้วยตนเองว่าถูกลอบทำร้าย นั่นหมายถึงเขาละเลยการฝึกฝนที่ชายแดน จึงเป็ผลถูกลอบทำร้ายได้ง่าย เช่นนั้นหลังจากนี้ผู้อื่นคงไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา?
เฟิ่งอวี่ที่เข้ามาใกล้รู้สึกว่าเสียงของคนผู้นี้ค่อนข้างคุ้นหู แต่มองไม่เห็นใบหน้าของอีกฝ่าย เขาจึงไม่ทราบว่าเคยพบที่ไหนมาก่อน
“คุณชายสี่ คุณชายท่านนี้คือ...” สายตาของรัชทายาทเต็มไปด้วยความคาดหวัง เฟิ่งฉีมองไปยังเฟิ่งหลิงอย่างลึกล้ำ “อ้อ คนผู้นี้คือสหายที่ข้าพามาจากเจียงหนาน ข้าเชิญเขามาเป็แขกที่เมืองหลวง!”
“ฮึ เ้าโจรขี้ขลาด ถึงกับไม่กล้าใช้ใบหน้าที่แท้จริงมาพบผู้คน!” น้ำเสียงของเหลยเจิ้นไม่เป็มิตร ไอ้หน้าหวานนั่นแข่งสองต่อหนึ่ง ตนเองก็ยังแพ้ เ้าคนสวมหน้ากากทำให้ตนต้องอับอาย เื่ไม่จบง่ายๆ เช่นนี้แน่!
เฟิ่งฉีอดกลั้นความโกรธ เขาอัดเหลยเจิ้นไปแรงๆ ยกหนึ่งในใจ “หลายปีก่อนสหายของกระหม่อมถูกไฟผลาญใบหน้า ั้แ่นั้นเป็ต้นมาก็ไม่แสดงใบหน้าที่แท้จริงต่อผู้คนอีกเลย หวังว่ารัชทายาทจะไม่ตำหนิพ่ะย่ะค่ะ”
ที่แท้ก็เป็เช่นนี้ ใบหน้าถูกเผาทำลาย เกรงว่าผู้ใดก็ล้วนไม่เต็มใจจะให้ผู้อื่นเห็นใบหน้าอัปลักษณ์ของตน นี่ไม่นับว่าเป็การเสียมารยาทอะไร หากอีกฝ่ายนำใบหน้าที่ถูกเผามาเผชิญหน้ากับรัชทายาท นั่นจึงจะเรียกว่าไร้มารยาทอย่างแท้จริง
“ไม่เป็ไร ฝีมือการขี่ม้าของคุณชายท่านนี้ทำให้ข้าอัศจรรย์ใจนัก ไม่ทราบว่าคุณชายวางแผนจะอยู่ในเมืองนานเพียงใด?” ความหมายของตงฟางซวี่ชัดเจนมาก ไม่ทราบว่าคุณชายหน้ากากท่านนี้จะสามารถอยู่จนสิ้นสุดการแข่งม้าได้หรือไม่
ทว่าเฟิ่งฉีกลับแย่งตอบขึ้นก่อน ทั้งยังมองไปยังเฟิ่งหลิงด้วยสายตาราวกับประสบความสำเร็จ “รัชทายาท สหายของกระหม่อมชอบขี่ม้าที่สุด การแข่งม้าระหว่างสองแคว้นจะขาดเขาไปไม่ได้เด็ดขาดเลยพ่ะย่ะค่ะ!”
“...” เฟิ่งหลิงที่อยู่ภายใต้หน้ากากมองไปยังน้องสี่ของตนด้วยสายตาจนใจ อีกฝ่ายเห็นเขาชอบผลักตัวเองเข้าสู่กองไฟขนาดนี้เชียว? หากถูกผู้อื่นล่วงรู้เข้าคงจบสิ้นแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สายตาที่พี่ใหญ่มองมามีความสงสัยอยู่หลายส่วน แต่ถึงอย่างนั้น...เมื่อมองไปยังสตรีที่เดินเข้ามาช้าๆ อย่างปลอดภัยไร้อันตราย เฟิ่งหลิงก็ไม่นึกเสียใจเลยสักนิดที่เปิดเผยตนเองออกมาในเวลานั้น หากปล่อยให้เหลยเจิ้นทำร้ายนางจริง ตนเองคงจะเสียใจไปชั่วชีวิต
“ท่านอาจารย์อวิ๋น ท่านได้รับาเ็หรือไม่?” น้ำเสียงของหลิ่วอวิ๋นเฟิงเต็มไปด้วยเจตนาขออภัย หากเหลยเจิ้นทำร้ายเขาขึ้นมาจริงๆ ควรจะทำอย่างไร?
“คุณชายหลิ่วไม่จำเป็ต้องใส่ใจ ข้าปลอดภัยดี” อวิ๋นซูมองไปยังบุรุษผู้นั้นอย่างเรียบเฉย เมื่อครู่เหลยเจิ้นเต็มไปด้วยเจตนาฆ่าฟัน เห็นได้ชัดว่าตั้งใจจะฆ่านาง คนเช่นนี้ทนเห็นคู่ต่อสู้เก่งกว่าตัวเองไม่ได้ หากวันนี้เขาปล่อยให้คนผู้นี้ได้รับตำแหน่งตัวแทนไป ไม่ทราบว่าจะมีกี่คนที่ต้องตายภายใต้ความเอาแต่ใจของเขา
“การประลองครั้งนี้ไม่นับ พวกเรามาแข่งกันใหม่!” เหลยเจิ้นไม่วางใจ ทำท่างทางจะหันตัวไปเลือกม้าตัวใหม่ ทว่าหลิ่วอวิ๋นเฟิงขวางเขาเอาไว้ “ญาติผู้น้อง แพ้ชนะชัดเจนแล้ว” หรือตอนนี้เขายังไม่รู้อีก เป้าหมายแรกเริ่มของอาจารย์อวิ๋นไม่ใช่เพื่อตัดสินแพ้ชนะ แต่เพื่อดูความสามารถในการร่วมมือกันของเขากับคุณชายสี่ ด้วยสถานการณ์เช่นเมื่อครู่ เกรงว่าต่อให้พวกเขาชนะ รัชทายาทก็คงไม่ยอมให้เหลยเจิ้นเข้าร่วมเด็ดขาด
“หากไม่ใช่ว่าคนผู้นี้สอดเข้ามากะทันหัน ข้าย่อมไม่แพ้แน่!” เหลยเจิ้นชี้ไปยังเฟิ่งหลิงอย่างไร้มารยาท หน้าอกของเขากระเพื่อมขึ้นลงยากควบคุม ทว่าอีกฝ่ายไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาเลย กลับไปกล่าวกับเฟิ่งฉีข้างกาย
หลิ่วอวิ๋นเฟิงอดไม่ได้ที่จะมองอย่างเข้มงวดไปยังบุรุษที่รังจะแต่หาเื่อย่างไร้มารยาท หากเขายังทำตัวระรานผู้อื่นเช่นนี้อีก ใครก็ปกป้องเขาไม่ได้
“คุณชายท่านนี้ฝีมือการขี่ม้าเยี่ยมยอด ทั้งยังเป็สหายของคุณชายสี่ การแข่งขันฝ่าอุปสรรคในครั้งนี้ ก็ให้พวกเ้าเป็ตัวแทนแคว้นเฉินออกไปแข่งขัน ดีหรือไม่?” ตงฟางซวี่กล่าวอย่างเรียบง่าย เหลยเจิ้นจึงเงียบลงทันควัน เบิกตาโพลงอย่างไม่อยากจะเชื่อ นี่มันทำไมกัน เฟิ่งฉีเป็คนที่แพ้เป็คนแรก เหตุใดเขาจึงได้เข้าร่วม?! ไม่ยุติธรรม!
แต่ว่ารัชทายาทพูดออกมาแล้ว เขาจะพูดอะไรได้อีกเล่า? ณ ขณะนั้น เหลยเจิ้นผลักความผิดทั้งหมดไปไว้บนตัวเฟิ่งฉี จะต้องเป็เขาที่สมรู้ร่วมคิดกับชายสวมหน้ากากนั่น ร่วมกันทำให้เขาต้องอับอาย! เ้าแผนการนัก ต่ำทรามยิ่ง!
หลิ่วอวิ๋นเฟิงยื่นมือไปจับบ่าของเหลยเจิ้นเบาๆ “ช่างเถิด วันหน้าเ้ายังมีโอกาสอีกมาก”
“...ท่านพี่!” สิ่งที่เหลยเจิ้นกังวลก็คือ ไม่รู้ว่ารัชทายาทจะมองตนอย่างไร จะคิดว่าตนไร้ประโยชน์หรือไม่? น่ารังเกียจ! เ้าเฟิ่งฉีน่ารังเกียจ!
ตงฟางซวี่เดินมาข้างกายอวิ๋นซู น้ำเสียงของเขาอ่อนโยน “ท่านอาจารย์อวิ๋นคิดว่าอย่างไร?”
ใบหน้างดงามแย้มยิ้ม “ความเห็นของรัชทายาทก็คือความเห็นของผู้น้อยพ่ะย่ะค่ะ” แม้ว่านางกับเฟิ่งฉีจะคบหากันไม่นาน แต่นางรู้ว่าเฟิ่งฉีมิใช่คนโอ้อวดบารมีสนใจแต่ผลประโยชน์ส่วนตน เมื่อครู่แม้เขาจะคับแค้นเหลยเจิ้น แต่สุดท้ายก็ยอมถอยเพื่อสถานการณ์โดยรวม ส่วนบุรุษที่โผล่ออกมากะทันหันผู้นี้ นางรู้สึกว่าจะต้องไม่ง่ายเช่นนั้นแน่ อีกทั้งยังสามารถหยุดเหลยเจิ้นที่ตอนนั้นกำลังโกรธเป็ฟืนเป็ไฟได้ เชื่อว่าเขาจะต้องมีความสามารถสูงส่ง หากร่วมมือกับเฟิ่งฉีจะต้องดีกว่าตัวแทนคนอื่นแน่นอน
ภาพของสองคนนี้ตกอยู่ในสายตาของเฟิ่งหลิง ในใจของเขาเกิดความรู้สึกแปลกประหลาด ราวกับมีส่วนใดถูกขุดออกไปจนว่างเปล่า โดยเฉพาะสายตาของรัชทายาททำให้เขายิ่งรู้สึกร้อนใจขึ้นมา
การประลองในครั้งนี้ ได้กำหนดตัวแทนที่จะออกไปแข่งขันม้ากับแคว้นอี้แล้ว สำหรับอวิ๋นซู นี่เป็โอกาสที่จะต้องคว้าไว้ให้มั่น หากชนะแคว้นอี้ก็เท่ากับเอาชนะความเชื่อใจของรัชทายาทได้
พันธมิตรสองแคว้นหรือ? อวิ๋นซูยิ้มเย็นอยู่ในใจ นางรู้ดีว่าคนอย่างเซียวอี้เชินจิตใจโเี้หยาบช้าแค่ไหน เป้าหมายสุดท้ายของเขาคือรวมใต้หล้าเป็หนึ่ง การตอบรับเป็พันธมิตรกับแคว้นเฉินเพียงเพื่อปูทางสำหรับวันข้างหน้า เขาจะต้องสูบของล้ำค่าที่มีประโยชน์ของแคว้นเฉินจนหยดสุดท้าย จากนั้นก็จะเหยียบย่ำอย่างไม่ลังเล! ทว่าคำเหล่านี้ ต้องรอให้ตนได้รับความไว้วางใจจากรัชทายาทอย่างถึงที่สุดเสียก่อนถึงจะพูดออกไปได้
...
เฟิ่งอวี่มองน้องสี่เดินจากไปพร้อมกับชายสวมหน้ากากผู้ลึกลับ ในใจก็รู้สึกแปลก
“พี่สาม เมื่อครู่นี้ท่านยอดเยี่ยมมาก! หากให้คุณหนูหกรู้ว่าเป็ท่านที่ช่วยนาง ไม่แน่ว่านางอาจจะแอบมีใจให้ท่านก็เป็ได้...” เฟิ่งฉียิ้ม มองบุรุษที่ค่อยๆ ถอดหน้ากาก ปรากฏใบหน้างดงามออกมา “พี่สาม ท่านดูสายตาของรัชทายาทเถิด หากไม่รีบเสียหน่อย...”
อีกฝ่ายพลันส่งหมัดไปปะทะเข้าที่ไหล่ของเฟิ่งฉี “น้องสี่ วันหน้าห้ามนำความปลอดภัยของคุณหนูหกมาล้อเล่นอีก!” น้ำเสียงของเฟิ่งหลิงจริงจังอย่างหาได้ยาก เฟิ่งฉีจิ๊ปาก ตอบกลับไปอย่างรู้สึกอยุติธรรม “ข้าไม่คิดว่าเ้าทึ่มนั่น...”
สายตาของเฟิ่งหลิงมองมา เขาจึงรีบหุบปากอย่างเชื่อฟัง เอาเถิด ตอนนั้นหากเขาไม่ให้เ้าทึ่มนั่นแย่งม้าไป ก็คงไม่เกิดเื่เช่นนี้ขึ้น เขาแค่อยากให้เหลยเจิ้นลิ้มรสความพ่ายแพ้เท่านั้น แต่เขาเชื่อว่าเมื่อคุณหนูหกมีอันตราย พี่สามของตนจะต้องพุ่งออกมาทุ่มเทต่อสู้อย่างสุดชีวิตแน่นอน
“พี่สาม กำลังคิดถึงคุณหนูหกหรือ?”
“...กำลังคิดว่าจะผ่านด่านพี่ใหญ่อย่างไร!” ปิดบังได้ครั้งหนึ่งมิใช่ว่าจะสามารถปิดบังได้ตลอดไป หากไม่สามารถคิดวิธีที่ครอบคลุมออกมาได้ คงยากจะหลีกเลี่ยงการถูกพี่ใหญ่ล่วงรู้
อีกด้านหนึ่ง
อวิ๋นซูกลับมาถึงเรือนไผ่ก็พบชุนเซียงที่ออกมาต้อนรับด้วยสีหน้าวิตกกังวล
“คุณหนู...”
นางมองไปนอกเขตเรือนอย่างระมัดระวัง พาอวิ๋นซูเข้ามาในห้อง “คุณหนูเ้าคะ วันนี้หลานอนุของแม่ทัพเวยหย่วนมาเป็แขกที่จวน เป็ไปได้ว่าจะถูกฮูหยินรั้งให้พักอยู่สักหลายวัน”
หรือจะเป็เหลยเจิ้น?
ชุนเซียงไม่ทราบว่าอวิ๋นซูได้พบกับบุรุษอันธพาลผู้นี้แล้ว จึงรีบอธิบาย “ในกองทัพ คุณชายห้าสกุลเหลยเป็สหายที่ดีกับคุณชายสามเ้าค่ะ ทั้งสองนิสัยคล้ายคลึงกัน แต่ครั้งนี้เขามาเป็แขกในจวนโหว คงจะได้ยินฮูหยินพูดอะไรบางอย่างอย่างเลี่ยงได้ยาก อีกทั้งเขายังเป็คนของจวนแม่ทัพเวยหย่วน เกรงว่าเมื่อถึงเวลาฮูหยินผู้เฒ่ายังต้องไว้หน้าเขาเสียสามส่วน”
สิ่งที่ชุนเซียงกังวลก็คือ หากเหลยเจิ้นทำให้อวิ๋นซูลำบากใจ ฮูหยินผู้เฒ่าก็ปกป้องนางไม่ได้ ในเมื่อเป็คนของจวนแม่ทัพเวยหย่วน จะตีก็ตีไม่ได้ จะด่าก็ด่าไม่ได้ มิฉะนั้นมิใช่ว่าเป็การล่วงเกินแม่ทัพเวยหย่วนหรอกหรือ
“ข้าเข้าใจ” อวิ๋นซูยิ้มบางๆ สาวใช้ผู้นี้้าให้ตนหลีกเลี่ยงเหลยเจิ้น เพื่อจะได้ไม่เกิดการกระทบกระทั่งกัน “อนุห้ารับอาหารแล้วหรือ? ช่วยเตรียมน้ำอุ่นให้ข้าอาบเสียหน่อย”
เมื่อเห็นสตรีที่เปลี่ยนชุดอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อน ชุนเซียงก็เกิดสงสัยอยู่ในใจ หรือคุณหนูหกมีวิธีตอบโต้แล้ว?
ภายในเรือนของเหลยซื่อ หลิ่วอวิ๋นเฟิงพาเหลยเจิ้นเข้ามาในห้องโถง
“เจิ้นเอ๋อร์! มาให้ป้าดูหน่อย อยู่ในค่ายทหารมาหลายปี ป้าแทบจะจำไม่ได้แล้ว!” เหลยซื่อต้อนรับอย่างอบอุ่น ที่นางเกรงอกเกรงใจขนาดนี้ ไม่ใช่เพราะความสัมพันธ์ของนางและเหลยเจิ้นดีอะไรมากมาย แต่เป็เพราะในค่ายทหาร เขาและลูกสามของตนมีความสัมพันธ์ไม่เลวต่อกัน ตอนนี้ตำแหน่งของตนในจวนโหวระส่ำระสาย นางจึงต้องสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคนบ้านเดิม
“ท่านป้าขอรับ ไม่ได้เจอกันหลายปี ท่านป้าดูซีดเซียวลงไม่น้อย” เหลยเจิ้นเป็ลูกหลานทหาร ย่อมไม่รู้จักการพูดจาอ้อมค้อม เหลยซื่อรีบใช้มือเช็ดน้ำตา ท่าทางเช่นนั้นราวกับได้รับความคับแค้นใจมาไม่น้อย
“ญาติผู้น้อง ท่านแม่ซีดเซียวลงระยะนี้เอง” หลิ่วอวิ๋นฮว๋าเดินเข้ามาจากห้องข้างๆ เหลยเจิ้นงุนงง “เกิดเื่อะไรขึ้น? ท่านป้ามิใช่ฮูหยินท่านโหวหรอกหรือ หรือมีผู้ใดทำให้ท่านป้าโกรธเคือง? ได้ยินว่าลูกพี่ลูกน้องสามถูกไล่กลับไปที่ค่ายแล้ว เกี่ยวข้องกับเื่นี้หรือไม่?”
หลิ่วอวิ๋นเฟิงนั่งอยู่ข้างๆ โดยไม่พูดอะไร เขาทราบว่ามารดาและน้องสาวของตนจะเริ่มพูดถึงแย่ๆ ของน้องหกอีกแล้ว
ทว่าคราวนี้เขาคิดผิด
“เฮ้อ ลูกพี่ลูกน้องสามของเ้าไม่เอาการเอางาน ก่อเื่นอกจวน ทำให้สามีของป้าไล่เขากลับไป นี่เป็เพราะเขาทำตัวเองแท้ๆ!” ท่าทางเกลียดที่เหล็กไม่เป็เหล็กกล้า1 ของเหลยซื่อทำให้เหลยเจิ้นหัวเราะออกมาเบาๆ “ท่านป้าวางใจเถิด สามีท่านป้ารักลูกพี่ลูกน้องสามเช่นนี้ ไม่นานก็คงให้เขากลับมาแล้ว”
ในค่ายทหาร หลิ่วอวิ๋นฮั่นมักจะกล่าวกับเขาว่า ชางหรงโหวรักและตามใจเขาเพียงใด หวังว่าเขาจะสามารถสร้างความดีความชอบได้จึงพาเขามาที่ค่ายทหารด้วย
“ไม่พูดถึงเื่นี้แล้ว เจิ้นเอ๋อร์ เ้าแต่งงานหรือยัง?”
*******************
คำอธิบายเพิ่มเติม
1 เกลียดที่เหล็กไม่เป็เหล็กกล้า หมายถึง บางสิ่งบางอย่างไม่เป็ดั่งที่ตนคาดหวัง