บทที่ 1 เดิมพันด้วยชีวิต
ในห้องผ่าตัดที่เย็นเฉียบราวกับถ้ำน้ำแข็ง แสงไฟ LED สว่างจ้าจากเพดานสาดส่องลงมาเหมือนคมดาบที่ตัดผ่านความมืด ผนังโลหะมันวาวสะท้อนแสงสีขาวนวล สร้างความรู้สึกปราศจากชีวิตชีวา แต่เต็มไปด้วยความตึงเครียดที่หนักอึ้งราวกับพายุที่พร้อมจะโหมกระหน่ำ กลิ่นยาฆ่าเชื้อผสมกับกลิ่นเืจางๆ คละคลุ้งในอากาศ ราวกับเป็ลมหายใจของมัจจุราชที่รอคอยเหยื่อ เสียงเครื่องช่วยหายใจดังเป็จังหวะสม่ำเสมอ
ติ๊ด...
ติ๊ด...
ติ๊ด
แต่จังหวะนั้นกลับกลายเป็ตัวกำหนดความเป็ความตาย ทุกวินาทีในห้องนี้คือการต่อสู้ที่ลุ้นระทึก ราวกับยืนอยู่บนขอบหน้าผาแห่งโชคชะตา
หลินเยว่ ศัลยแพทย์หญิงผู้ได้รับการขนานนามว่าเป็อัจฉริยะแห่งยุคแพทย์มือพระกาฬที่เป็ที่้าตัวของโรงพยาบาบทั่วโลก ยืนนิ่งตรงหน้าเตียงผ่าตัด ชุดผ่าตัดสีเขียวซีดที่สวมอยู่เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเืจางๆ ใบหน้าใต้หน้ากากอนามัยขาวสะอาดฉายแววเฉียบขาด ดวงตาคู่คมกริบที่ซ่อนอยู่หลังแว่นตาทางการแพทย์ที่เริ่มขึ้นฝ้าจางๆ จ้องมองไปยังผู้ป่วยด้วยความหวังอันริบหรี่
เขาคือหลินเจิ้ง บิดาของเธอ ชายวัยหกสิบที่เคยแข็งแรงดุจต้นสนใหญ่ แต่บัดนี้ร่างกายของเขาถูกโรคมะเร็งร้ายกลืนกินจนเหลือเพียงกระดูกหุ้มหนังที่ถูกรายล้อมด้วยเครื่องมือช่วยชีวิต สายยางและสายไฟนับสิบเส้นเชื่อมต่อกับร่างกาย ราวกับใยแมงมุมที่กำลังรัดชีวิตไว้
ใบหน้าที่เคยเปี่ยมด้วยรอยยิ้มอบอุ่น บัดนี้ซีดเซียวราวกับแผ่นหินอ่อน ริมฝีปากเริ่มเปลี่ยนเป็สีม่วงอมน้ำเงิน หน้าอกที่เคยกว้างใหญ่เต็มไปด้วยพลัง ตอนนี้แทบไม่เห็นการขึ้นลงของการหายใจ ใบหน้าซีดเซียวกลืนไปกับผ้าปูที่นอนสีขาว ลมหายใจแ่เบาจนแทบไม่ได้ยิน
ราวกับลมหายใจสุดท้ายของยมราช ห้องผ่าตัดเลข 15 จมอยู่ในความเงียบงันที่น่าสะพรึงกลัว แสงไฟศัลยกรรมส่องกระทบเครื่องมือแพทย์ที่เรียงราวดุจอาวุธรบ เหล็กทุกชิ้นเปล่งประกายเย็นเฉียบ ราวกับเล่าถึงการต่อสู้ระหว่างชีวิตและความตาย
กลิ่นยาฆ่าเชื้อผสมผสานกับกลิ่นคาวเค็มของเืที่แปดเปื้อนบนผ้าก๊อส สร้างบรรยากาศที่ตึงเครียดจนอากาศราวกับจะหายใจไม่ออก อุณหภูมิ 18 องศาเซลเซียสในห้องผ่าตัดกลับรู้สึกเหมือนลมหนาวจากนรกที่พัดเข้ามาเซาะสันหลัง
หลินเยว่ ยืนหยัดอยู่ข้างเตียงผ่าตัดดุจปฏิมากรรมแห่งความมุ่งมั่น ร่างกายสูงเพรียวในชุดผ่าตัดสีเขียวอ่อน มือทั้งสองข้างที่ห่อหุ้มด้วยถุงมือยางขาวกำลังสั่นแทบไม่มองเห็น ไม่ใช่เพราะความกลัว แต่เพราะแอดรีนาลีนที่พุ่งพล่านในเส้นเื
“คุณหมอหลิน… ชีพจรท่านประธานลดลงเหลือ
45!."
“42”
“40 ชีพจรลดลงอย่างรวดเร็วคะคุณหมอ”
เสียงพยาบาลดังขึ้นด้วยความตื่นตระหนก มือที่จับเครื่องวัดชีพจรสั่นจนเกือบหลุด หลินเยว่กัดฟันกรอดแน่น ดวงตาเออคลอด้วยน้ำตา ดวงตาพล่ามัวไปหมด จนเธอต้องสลัดศีรษะแรงๆ เื่เรียกสติ หัวใจของเธอบีบรัดราวกับถูกบีบด้วยมือั์ ใบหน้าใต้หน้ากากยังคงนิ่ง แต่ภายในจิตใจกำลังกรีดร้อง เธอคือศัลยแพทย์หัวใจและหลอดเืมือหนึ่งของโรงพยาบาลชื่อดัง ผู้ที่ไม่เคยยอมแพ้ต่อเคสใดๆ คำว่าทำได้ และต้องทำ เป็คติประจำใจ แต่ตอนนี้ ผู้ป่วยตรงหน้าคือบิดาของเธอคนที่เธอรักยิ่งกว่าชีวิต และเขากำลังจะจากไป
เสียงของพยาบาลสาวที่ยืนควบคุมเครื่องมอนิเตอร์ดังสั่นเครือ นิ้วที่จับปากกาสั่นจนแทบเขียนตัวเลขไม่ออก ดวงตาเธอเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ไม่กล้ามองหน้าหลินเยว่
"เพิ่ม Epinephrine 0.5 mg ทันที!"
เสียงสั่งการเฉียบขาด แต่ในใจจะเ็ปราวมีมือั์ที่บีบอัดหัวใจ จนแทบหายใจไม่ออก น้ำเสียงแข็งกร้าวแต่แฝงด้วยความสิ้นหวังที่พยายามปกปิด
"และเตรียมเครื่องกระตุ้นหัวใจ 200 Joules!"
มือที่เคลื่อนไหวเหนือร่างกายของผู้ป่วยไม่มีความสั่นไหวแม้แต่น้อย แต่ละการเคลื่อนไหวคือการแข่งขันกับเวลา แต่ละการตัดคือการต่อสู้กับความตาย มีดผ่าตัดในมือเธอเป็ประกายใต้แสงไฟ ราวกับดาบของนักรบที่กำลังสู้รบครั้งสุดท้าย
"คุณหมอหลิน!" เสียงะโของพยาบาลหัวหน้าดังขึ้น
"ความดันโลหิตตกลงไป 70/40 แล้วค่ะ!"
หลินเยว่รู้สึกถึงเหงื่อเย็นที่ไหลนองท่วมใต้ผ้าปิดปาก เธอกัดฟันแน่นจนรู้สึกถึงรสเค็มของเืบนลิ้น
"ฉันจะไม่ยอมแพ้... ไม่มีวัน!"
เธอเพิ่มความเร็วในการเย็บแผลหัวใจ มือทั้งสองเคลื่อนไหวราวกับนักเปียโนที่กำลังบรรเลงบทเพลงสุดท้าย เสียง
'คลิก คลิก' ของเครื่องมือที่กระทบกันสร้างจังหวะที่เร่งรีบ วิกฤตสุดขีด
ปิ๊ง!
ปิ๊ง!
ปิ๊ง!
เสียงสัญญาณเตือนจากเครื่องมอนิเตอร์ดังอย่างเร่งด่วน เส้นกราฟบนจอแสดงอัตราการเต้นของหัวใจที่กำลังผิดปกติอย่างรุนแรง เส้นสีเขียวที่เคยเป็คลื่นสม่ำเสมอ บัดนี้กระดิกขึ้นลงแปลกประหลาด
"หัวใจเต้นผิดจังหวะ! มันหยุดเต้นแล้ว!" พยาบาลคนหนึ่งะโอย่างตื่นตระหนก
"หัวใจกำลังเต้นระรัวอย่างอันตราย อันตรายมาก!" พยาบาลคนหนึ่งร้องเสียงหลง
หัวใจของหลินเยว่เต้นแรงจนได้ยินเสียงเต้นของมันในหู เธอรู้ว่านี่คือวินาทีชี้ชะตา หากไม่สามารถทำให้หัวใจกลับมาเต้นปกติได้ภายใน 2-3 นาที สมองจะขาดออกซิเจนและผู้ป่วยจะ...
"เตรียม Defibrillator ที่ 300 Joules!" เธอสั่งด้วยเสียงที่แหบผาก
เครื่องกระตุ้นหัวใจถูกนำมาวาง เสียง
'วี่ดดดด' ของการชาร์จไฟฟ้าดังขึ้น ทุกคนในห้องต่างชะงักหายใจ รอคอยผลการรักษาในวินาทีต่อไป
“ถอยออกไปทุกคน!”
" Clear!"
หลินเยว่กดปุ่มกระตุ้น
โครม!
เสียงะเิเล็กๆ ของกระแสไฟฟ้าดัง ร่างของบิดาสะดุ้งขึ้นจากเตียง ราวกับถูกผีสิงเข้า แล้วตกลงมาอย่างหมดแรง ทุกคนจ้องมองหน้าจอมอนิเตอร์ด้วยความหวัง...เส้นกราฟยังคงเป็เส้นตรงไร้ชีวิต
"ไม่... ไม่ได้!" หลินเยว่ะโด้วยความสิ้นหวัง น้ำตาที่ไม่รู้มาจากที่ไหน เออคลอจนเธอแทบมองไม่เห็น มือไม้สั่นอย่างแรงจนพยาบาลเห็นได้ชัด
"อีกครั้ง! 360 Joules!
" Clear!"
โครม!
อีกครั้ง ร่างของบิดาสะดุ้งขึ้นจากแรงกระตุ้นของเครื่องไฟฟ้า โครม! แล้วตกลงมานิ่งสนิทบนเตียง เสียงของเครื่องวัดชีพจรยังคงดังยาวเป็เส้นตรงบ่งบอกถึงความว่างเปล่าที่ไม่มีวันหวนคืน...
"อีกครั้ง! 360 Joules! Clear!"
หลินเยว่สั่งเสียงแหบพร่า ดวงตาของเธอลุกวาวด้วยความสิ้นหวังที่ถึงที่สุด เธอไม่ยอมแพ้... ไม่ว่าบิดาจะจากไปแล้วก็ตาม แต่ในใจเธอยังคงพยายาม...พยายามที่จะฉุดดึงิญญาของเขากลับมาอีกครั้ง...
โครม!
“หัวใจไม่ตอบสนองแล้ว! คุณหมอเราจะเสียท่านไปแล้วครับ!”
ผู้ช่วยแพทย์ร้องออกมา เสียงสั่นเครือ หลินเยว่รู้สึกเหมือนโลกทั้งใบหยุดหมุน เธอกดเครื่องกระตุ้นหัวใจลงบนหน้าอกของบิดา
ปัง! ร่างของหลินเจิ้งบิดเกร็งเล็กน้อย แต่หน้าจอมอนิเตอร์ยังคงแสดงเส้นกราฟที่ดิ่งลง สัญญาณชีพจรเริ่มแ่ลง... แ่ลง... จนกลายเป็เส้นตรงนิ่งสนิท เสียงแหลมยาวจากเครื่องวัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจดังก้อง
วี๊ดดดดด….ราวกับเป็เสียงร้องของความตายที่ประกาศชัยชนะ
“ไม่ ไม่ ไม่!! พ่อ! พ่ออย่าไป! อย่าทิ้งหนูไปเลยนะคะพ่อ พ่อคะ ฮื่อออ….พ่อ!!!”
หลินเยว่ร้องออกมา เสียงของเธอแตกสลายเป็ครั้งแรกในชีวิต เธอกดเครื่องกระตุ้นหัวใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า มือที่เคยมั่นคงเริ่มสั่น น้ำตาร้อนผ่าวไหลผ่านหน้ากากอนามัย ซึมลงสู่ผ้าขาวสะอาด เธอรู้ว่านี่คือวินาทีชี้เป็ชี้ตาย เธอพยายามทุกวิถีทาง ทุกความรู้จากตำราแพทย์ ทุกเทคนิคที่ฝึกฝนมา ทุกการผ่าตัดที่เคยช่วยชีวิตคนนับร้อยถูกนำมาใช้จนหมดสิ้น แต่โรคร้ายนี้รุนแรงเกินไป ร่างกายของบิดาอ่อนแอเกินกว่าจะรับการรักษาต่อได้
“คุณหมอหลิน… ท่านประธาน ท่านไปแล้วค่ะ…”
พยาบาลคนเดิมพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ หยาดน้ำตารื้นขึ้นในดวงตาของทุกคนในห้อง หลินเยว่ทรุดลงข้างเตียงผ่าตัด มือทั้งสองกำแน่นจนเล็บจิกเนื้อ มีดผ่าตัดในมือหล่นลงพื้นดังแกร๊ง! เสียงนั้นเหมือนระฆังที่ตีบอกถึงความพ่ายแพ้ ความรู้สึกผิดท่วมท้นหัวใจของเธอราวกับน้ำป่าไหลหลาก
ร่างไร้ิญญาของบิดาสะท้านเฮือกสุดท้าย ก่อนจะกลับไปนิ่งสนิท...
"คุณหมอคะ... ท่าน... ท่าน ชีพจรหยุดเต้นแล้วค่ะ"
"เวลาเสียชีวิต... 23:59 น."
พยาบาลสาวข้างกายมองเห็นความพยายามอันบ้าคลั่งของคุณหมอ เธอพึมพำด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ หยาดน้ำตาเริ่มรื้นขึ้นในดวงตาของทุกคนในห้อง หลินเยว่ทรุดตัวลงข้างเตียงผ่าตัด มือที่กำแน่นจนเล็บจิกเนื้อเต็มไปด้วยเื...
หลินเยว่ร้องออกมา เสียงของเธอแตกสลายเป็ครั้งแรกในชีวิต เธอกดเครื่องกระตุ้นหัวใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า มือที่เคยมั่นคงเริ่มสั่น น้ำตาร้อนผ่าวไหลผ่านหน้ากากอนามัย ซึมลงสู่ผ้าขาวสะอาด เธอรู้ว่านี่คือวินาทีชี้เป็ชี้ตาย เธอพยายามทุกวิถีทาง ทุกความรู้จากตำราแพทย์ ทุกเทคนิคที่ฝึกฝนมา ทุกการผ่าตัดที่เคยช่วยชีวิตคนนับร้อยถูกนำมาใช้จนหมดสิ้น แต่โรคร้ายนี้รุนแรงเกินไป ร่างกายของบิดาอ่อนแอเกินกว่าจะรับการรักษาต่อได้
เสียงของหลินเยว่แ่บางลง ราวกับลมหายใจสุดท้าย มือทั้งสองที่เคยมั่นคงดุจหิน บัดนี้สั่นไหวอย่างไม่อาจควบคุม เธอเอาถุงมือยางออก เปิดเผยมือที่เปื้อนเืและเหงื่อ เธอทรุดตัวลงข้างเตียงผ่าตัด ขาทั้งสองไร้เรี่ยวแรง หัวใจของเธอเองก็รู้สึกเหมือนจะแตกสลาย น้ำตาที่กลั้นมาตลอดหลายปีแห่งการเป็แพทย์ บัดนี้พุ่งทะลักออกมาอย่างไม่อาจยับยั้ง
เสียงสะอึกสะอื้นของเธอดังก้องในห้องผ่าตัดที่เงียบงัน เครื่องมือแพทย์ที่เคยเป็อาวุธในการรักษา บัดนี้กลายเป็เพียงโลหะเย็นเฉียบที่เยาะเย้ยความล้มเหลวของเธอ
ทีมแพทย์รอบข้างต่างก็เงียบงัน ไม่มีใครกล้าเอ่ยเสียง ความเศร้าโศกแผ่ซ่านไปทั่วห้อง ราวกับม่านหนาที่ปกคลุมทุกสิ่ง
วินาทีสุดท้ายในความสิ้นหวังนั้น หลินเยว่รู้สึกเหมือนโลกกำลังหมุนช้าลง เสียงรอบตัวเหมือนถูกกลบด้วยน้ำ เธอมองผู้ป่วยบนเตียงผ่าตัด บิดาผู้เป็ที่รักยิ่ง เป็ครั้งสุดท้าย
ใบหน้าที่เคยเป็แหล่งกำลังใจ บัดนี้สงบนิ่งไปตลอดกาล ผู้ชายที่เคยสอนให้เธอมุ่งมั่น ไม่ยอมแพ้ กลับจากไปโดยที่เธอไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้
"ฉันเป็หมอที่แย่ที่สุด..." เธอกระซิบกับตัวเอง "ฉันช่วยคนทั้งโลกได้ แต่ช่วยพ่อไม่ได้..."พ่อคะ... หนูขอโทษ... หนูขอโทษจริงๆ ...""
หลินเยว่กัดฟันกรอด ความโกรธและความสิ้นหวังผสมปนเปกันในอก เธอจะไม่ยอมแพ้! เธอไม่เคยยอมแพ้! พลังทั้งหมดในร่างกายถูกรวบรวมไว้ที่ปลายนิ้ว เธอหยิบมีดผ่าตัดขึ้นมาอีกครั้ง หมายจะเริ่มกระบวนการช่วยชีวิตใหม่ แต่แล้วจู่ๆ ความเ็ปแปลบปลาบแล่นจากหน้าอกซ้ายของเธอเอง พุ่งตรงไปยังปลายประสาททุกส่วนของร่างกาย มันเป็ความเจ็บที่คุ้นเคยในฐานะแพทย์ เธอรู้ทันทีว่านี่คืออาการของหัวใจวาย!
เธอพึมพำกับร่างไร้ิญญาของบิดา ความรู้สึกผิดท่วมท้นจนแทบจะขาดใจ เธอเป็หมอที่เก่งกาจ แต่กลับไม่สามารถช่วยคนที่เธอรักที่สุดได้ มันคือความล้มเหลวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเธอ
หลินเยว่กัดฟันกรอด ไม่! เธอจะไม่ยอมแพ้ เธอไม่เคยยอมแพ้ พลังทั้งหมดในกายถูกรวมไว้ที่ปลายนิ้ว ทุกการเคลื่อนไหวของเธอเฉียบคมและเด็ดขาดราวกับคมมีดที่กรีดอากาศ เธอคือผู้ควบคุม เธอคือผู้กำหนดชะตา!
ทว่า…
จู่ๆ ก็มีอาการเ็ปแปลบปลาบแล่นจากหน้าอกซ้าย พุ่งตรงไปยังปลายประสาทััทุกส่วนของร่างกาย มันเป็ความเ็ปที่คุ้นเคย เ็ปที่เธอรับรู้ได้ในฐานะแพทย์ อาการของ… หัวใจวาย!
“หมอหลิน!” เสียงร้องใของผู้ช่วยแพทย์ดังขึ้น แต่ภาพตรงหน้ากลับพร่าเลือน ม่านสีดำกำลังคืบคลานเข้าสู่การมองเห็นของเธอ มือที่เคยแข็งแกร่งกลับสั่นระริก มีดผ่าตัดในมือร่วงหลุดจากนิ้วไปกระทบพื้นดัง
“แก๊ง!”
โลกหมุนคว้าง สติสัมปชัญญะเลือนราง ภาพสุดท้ายที่เธอเห็นคือใบหน้าตื่นตระหนกของทีมแพทย์ และเสียงกรีดร้องของเครื่องวัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจที่ดังยาวต่อเนื่อง… เป็เสียงแห่งความตาย… ของเธอเอง!
ความมืดมิดกลืนกินทุกสิ่งอย่างรวดเร็ว ความเย็นะเืเข้าแทรกซึมทุกอณูของร่างกาย หลินเยว่รู้สึกราวกับิญญาล่องลอยออกห่างจากร่างที่ไร้ชีวิตชีวาของตนเอง พลังงานสุดท้ายที่มีคือความเ็ปแสนสาหัสที่แล่นไปทั่วทุกเซลล์ของสมองทั่วร่าง ก่อนที่ทุกอย่างจะดับมืดลง…
หลินเยว่พยายามยึดตัวเองไว้ แต่ร่างกายทรยศเธอ เธอล้มลงพื้น มือยังกำมีดผ่าตัดแน่น มีดเล่มนั้นเรืองแสงจางๆ ราวกับมีชีวิต ความเ็ปท่วมท้นจนสติของเธอเริ่มดับมืด ภาพสุดท้ายที่เห็นคือใบหน้าซีดเซียวของบิดา และเสียงร้องของพยาบาลที่ดังก้อง
“คุณหมอหลิน! คุณหมอ!”
ความมืดมิดกลืนกินเธอไปทั้งร่างกายและจิติญญา
****หนัก...ไรท์น้ำตาซึม...****