กองทัพหารห้าแสนนาย ต้องเดินทางเช่นไรถึงจะเป็การเดินทัพที่ผีไม่รู้คนไม่เห็น หลายคำเล่าขานว่ากันว่า กองทัพิญญาพยัคฆ์เต็มไปด้วยผู้รู้มนต์คาถาเหนือธรรมชาติ แต่ความเป็จริงสาเหตุที่กองทัพไปมาไร้ร่องรอยนั้น นับแต่อดีตที่ท่านบรรพบุรุษเลือกที่จะเร้นกาย แต่ท่านก็ได้ให้คำสัตย์ต่อฮ่องเต้และแผ่นดิน หากศัตรูรุกรานยากจะรับมือเขาก็พร้อมจะออกรบเพื่อช่วยเหลือ แต่การออกรบของเขาไม่ขอขึ้นตรงต่อฝ่ายใด เมื่อบ้านเมืองสงบสุขก็ขอกลับไปใช้ชีวิตตามเดิม
เพื่อไม่ให้ประชาชนตื่นตระหนกต่อกองทัพขนาดใหญ่ ท่านบรรพบุรุษจึงสร้างเส้นทางเฉพาะขึ้น เชื่อมต่อจากหุบเขาิญญาพยัคฆ์ไปยังชายแดนที่เป็ด่านสำคัญของแคว้น เส้นทางนี้แม้แต่ฮ่องเต้องค์ต่อๆ มาก็ไม่รู้ องค์ไท่จู่ทรงดำริว่า เื่เส้นทางนี้รู้น้อยคนยิ่งดี พระองค์ไม่ประสงค์ให้ลูกหลานมารบกวนหรือใช้ประโยชน์จากพี่น้องของพระองค์
เส้นทางเหล่านี้แม้ถูกสร้างมานับพันปีก็ยังใช้ได้จนถึงปัจจุบัน แม้จะเปลี่ยนไปเพราะภัยธรรมชาติแต่ด้วยตระกูลซ่างกวนคอยดูแลรักษาอยู่ไม่ขาด เส้นทางจึงยังคงใช้งานได้ อากาศเดือนสิบเอ็ดอันหนาวเหน็บแม้ในเขตป่าตอนกลางของแคว้นจะไม่มีหิมะตกลงมาแต่ก็มิได้อุ่นขึ้นแม้แต่น้อย ทหารทุกคนต่างใส่เครื่องแบบที่ทำจากขนสัตว์คุณภาพดีสามารถป้องกันไอเย็นได้ไม่น้อย
กำลังพลที่มากมายเพียงนี้แสดงให้เห็นถึงความมั่งคั่งของตระกูลซ่างกวน การจะทำให้ทหารห้าแสนนายอยู่ในสภาพพร้อมรบอย่างสมบูรณ์เช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าผู้นำของพวกเขามิได้ตระหนี่เงินทองแม้แต่น้อย แล้วอาหารการกินในแต่ละมื้อล้วนเป็ของดีมีคุณภาพช่วยบำรุงกำลัง อีกทั้งยาลูกกลอนที่ได้รับแจกจ่ายติดตัวก็เป็ยาชั้นดี
เร่งเดินทางมาสามวันสามคืน ท่ามกลางอากาศอันหนาวเหน็บเช่นนี้อาจจะทำให้ร่างกายของทหารรับไม่ไหว แต่ว่ากับทหารของกองทัพิญญาพยัคฆ์นั้นต่างออกไป ด้วยการฝึกร่างกายอันหนักหน่วงตลอดหลายปีที่ผ่านมาทำให้การเดินทางติดต่อกันเป็เวลานานๆ นั้นเป็สิ่งที่สามรถทำได้ ยิ่งเดินเหงื่อยิ่งออกร่างกายยิ่งอบอุ่น ประกอบกับน้ำและอาหารที่กินจนอิ่มทำให้เหล่าทหารไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยแม้แต่น้อย
วันที่ห้าของการเดินทางโดยไม่หยุดพัก อีกห้าร้อยลี้จะเข้าเขตมณฑลเหอเป่ย ยามนี้กองทัพถูกสั่งให้หยุดพักเป็เวลาหกชั่วยาม เหล่าทหารต่างกางกระโจมง่ายๆ นอนพักเอาแรง นอนเบียดๆ กันในกระโจมสร้างความอบอุ่นได้ไม่น้อย
“ท่านแม่ทัพนอนพักเอาแรงสักหน่อยเถิดขอรับ พวกข้าสองคนจะเฝ้าระวังสถานการณ์ให้เอง”องครักษ์อิงปู้ที่ติดตามเ้านายมาออกรบ มองท่านแม่ทัพที่นั่งนิ่งสังเกตการณ์อยู่กลางกระโจม ความตึงเครียดของท่านแม่ทัพที่แสดงออกมายามนี้เขาเข้าใจดี อายุเพียงสิบสี่ต้องมารับผิดชอบชีวิตของผู้คนมากมาย เป็เขาก็คงเครียดจนสติแตก
“รองแม่ทัพฝ่ายขวา เ้าว่าเมื่อไปถึงเหอเป่ยแล้วจะเป็เช่นไรแม้ในหัวข้าจะจินตนาการถึงสิ่งที่เกิดขึ้นแต่ก็มิอาจคาดการณ์ผลลัพธ์ในครั้งนี้”ข้ากวาดตามองอิงปู้และอิงเหอที่กำลังยืนอยู่เบื้องหน้า ความสามารถของทั้งสองข้าประจักษ์จึงให้พวกเขาติดตามมาในฐานะรองแม่ทัพซ้ายขวา
“เรียนท่านแม่ทัพ ข้าคิดว่าผลลัพธ์จะเป็เช่นไรล้วนขึ้นอยู่กับสิ่งที่เราลงมือทำ ไม่ว่าผลจะเป็เช่นไรขอเพียงเราทุ่มเทอย่างสุดความสามรถก็ไม่ผิดต่อผู้ใด”อิงปู้หรือรองแม่ทัพฝ่ายขวาประสานมือตอบท่านแม่ทัพของตนอย่างหนักแน่น
“เห็นเ้าเดิมไม่ค่อยพูด แต่ยามเอ่ยปากก็ทำให้คนต้องหยุดฟังได้ จริงหรือไม่รองแม่ทัพฝ่ายซ้าย”ข้าหันไปเลิกคิ้วถามเ้าหน้าตายอิงเหอที่ทำสีหน้าไม่รับรู้สิ่งใด
“เดิมพวกเราก็พูดเมื่อจำเป็เท่านั้น อาจเป็เพราะหน้าที่เดิมขอท่านแม่ทัพอย่าได้ถือสา”อิงเหอเห็นสายตาของเ้านายก็เอ่ยตอบขึ้นมาอย่างเสียไม่ได้ กับความคิดและสภาพอารมณ์ของท่านแม่ทัพผู้นี้ อิงเหอที่ติดตามมาได้ไม่นานก็ได้บทสรุปว่า คาดเดาไม่ได้แม้แต่น้อย
บางคราเ้านายก็ทำท่าทางเหมือนทำบาปมาทั้งชีวิตจนชดใช้ไม่หมด พอผ่านไปอีกพักหนึ่งก็เปลี่ยนไปเป็กระหายเือยากจะล้างบาง สักพักก็อ่อนโยนดุจสายน้ำร่าเริงดุจดอกไม้แรกแย้ม สรุปมิอาจทราบได้ถึงความ้าที่แท้จริงของเ้านายที่นั่งอยู่เบื้องหน้าแม้แต่น้อย
“เอาล่ะข้าจะพักผ่อนสักหน่อย ใกล้จะถึงเวลาค่อยมาปลุกจำไว้ห้ามเลยเวลาเป็อันขาด”
“ขอรับท่านแม่ทัพ/ขอรับท่านแม่ทัพ”อิงปู้และอิงเหอตอบรับแล้วถอยออกไปยืนเฝ้าอยู่หน้ากระโจม พวกเขาทั้งสองนอนพักมาแล้วในสามชั่วยามแรก ท่านแม่ทัพก็นั่งอยู่ตรงนั้นมาตลอด
ข้ามองส่งรองแม่ทัพทั้งสองออกไป เมื่อเห็นว่าทั้งสองยืนเฝ้าอยู่หน้ากระโจมข้าก็ส่ายหน้าอย่างเหนื่อยใจ ให้ไปพักต่อแต่มายืนเฝ้าเช่นนี้สมกับเป็คนที่ท่านปู่ไว้ใจ ข้าเดินมานอนลงที่เตียงไม้ไผ่หลังเล็กพอดีตัว นอนลงไปทั้งชุดเกราะในอ้อมกอดมีดาบเขี้ยวพยัคฆ์เล่มใหญ่ หนึ่งในระเบียบทางการทหารยามเคลื่อนทัพ แม่ทัพ นายกอง เหล่าทหารต้องอยู่ในสภาพเตรียมพร้อมทั้งยามหลับและยามตื่น ด้วยไม่รู้ว่าเส้นทางที่เดินผ่านจะต้องเจอกับสิ่งใด การเตรียมพร้อมจึงเป็สิ่งสำคัญ
ร่างกายล้วนเป็เืเนื้อมิใช่เหล็กกล้า เหนื่อยล้าจากการเดินทางที่แสนยาวนานเมื่อหลับตาลงร่างกายก็เข้าสู่่เวลาแห่งการพักผ่อนและพื้นฟู สำหรับผู้ฝึกยุทธ์ยามหลับคือ่เวลาแห่งการฟื้นฟูร่างกายที่ดีที่สุด ไม่รู้ว่าข้าหลับลึกไปมากขนาดไหน ภาพที่ปรากฏขึ้นในห้วงฝันนี้ราวกลับเป็เหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ข้ายืนอยู่ท่ามกลางกองทัพนับหมื่นที่กำลังโจมตีกำแพงเมืองอันใหญ่โต แม้ทหารฝ่ายที่อยู่หลังกำแพงเมืองจะใช้ทุกวิธีเพื่อต้านทานศัตรูแต่ก็มิอาจต่อกรกับความแข็งแกรงของกองทัพฝ่ายตรงข้ามได้ ข้ามองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างตื่นตระหนกพลางวิ่งอย่างสุดฝีเท้าเพื่อไปจากใจกลางสนามรบแห่งนี้ เมื่อวิ่งไปไม่นานข้าก็พบว่าตนเองมิอาจวิ่งหนีไปจากสถานการณ์เบื้องหน้าได้ เมื่อตั้งสติและระงับความตื่นตระหนัก ผีที่กลับชาติมาเกิดเช่นข้าจะต้องเกรงกลัวสิ่งใดอีก
เมื่อรวบรวมความคิดได้ข้าก็กวาดสายตามองกองทัพทั้งสอง ที่กำลังห้ำหั่นกันอย่างดุเดือดก็มองออกในทันทีว่าฝ่ายที่อยู่หลังกำแพงเมืองกำลังปราชัย ทั้งประตูเมืองก็กำลังจะแตก ข้ามองธงศึกของทั้งสองกองทัพแล้วก็เข้าใจเหตุการณ์ที่กำลังเกิดอยู่เบื้องหน้าทันที นี่เป็กองทัพแคว้นเหลียวที่บุกมาตีเมืองจี้โจวหนึ่งในหัวเมืองสำคัญของชายแดนเหนือ ข้ากำหมัดแน่นมองการสู้รบที่ฝ่ายตนกำลังจะพ่ายแพ้ ในชาติก่อนข้าเพียงได้รับข่าวการรบ ตอนนั้นเป็่ที่ข้าแต่งเข้าวังอ๋องใหม่ๆ เป็เพราะข้าที่ถือป้ายบัญชาการทหารอยู่ในมือทำให้ตระกูลซ่างกวนไม่สามารถยกทัพไปช่วยได้
ยามนั้นข้าคิดเพียงว่าตระกูลเฉินก็ยังอยู่ตระกูลซ่างกวนจะต้องลงแรงไปเพื่ออะไร ในใจส่วนลึกจริงๆ แล้วข้าไม่กล้ากลับไปที่ตระกูลต่างหาก ไม่นานข่าวการรบก็มาถึงเมืองหลวง กองทัพแคว้นเหลียวบุกยึดสามหัวเมืองใหญ่แล้วทำการสังหารประชาชนทั้งหมดไม่มีเหลือ การกระทำอันโเี้นี้สร้างความหวาดผวาไปทั่วทั้งแคว้นซ่งอย่างใหญ่หลวง คืนเดียวกันนั้นเองท่านปู่ก็ปรากฏตัวต่อหน้านาง
เพี๊ยะ!
เสียงตบดังกังวานไปทั่วห้องนอนอันใหญ่โต ไม่มีคำต่อทอใดๆ มีแต่สายตาที่มองมาด้วยความผิดหวัง รสหวานของเืคลุ้งไปทั่วปาก นั่นเป็ครั้งแรกและเป็ครั้งสุดท้ายที่ท่านปู่ตบหน้าข้า ข้าไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองท่านผู้เฒ่าเลยแม้แต่น้อย ด้วยละอายต่อสิ่งที่ตัวเองก่อ คืนนั้นท่านกลับไปพร้อมกับป้ายบัญชาการทหาร และนั่นก็เป็คืนสุดท้ายที่ข้าได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข
ชีวิตของประชาชนสามหัวเมืองใหญ่รวมกันแล้วก็หลายแสนคน เดิมนั้นควรช่วยเอาไว้ได้แต่ทุกสิ่งเลยเถิดมาถึงจุดนี้ล้วนเพราะนางเป็ต้นเหตุ ภาพประตูเมืองที่กำลังแตกแม่ทัพนายกองไม่รู้หนีหายไปที่ใดเหลือไว้เพียงเหล่าทหารกล้าที่ยืนหยัดสู้จนลมหายใจสุดท้าย พวกเขายังมีความหวังว่าหากต้านไว้ให้ได้นานอีกนิดกองทัพใหญ่คงมาถึงในไม่ช้า
แต่ความหวังเล็กๆ เ่าั้ล้วนเป็การหลอกตัวเองเพื่อให้มีกำลังใจพร้อมที่จะสละชีวิตขึ้นมาอีกนิด ข้ามองเหล่าทหารที่สู้จนตัวตายด้วยดวงตาอันแดงก่ำ ความรู้สึกอันหลากหลายอัดแน่นอยู่ในใจราวกับมีมือที่มองไม่เห็นบีบคั้นอย่างแรง ความเคียดแค้น หดหู่ เศร้าโศก มันอัดแน่นจวนจะะเิออกมา เป็เพราะข้า ความผิดของข้า
ภาพทหารแคว้นเหลียวกรูเข้าไปในเมืองที่ถูกตีแตกพร่ามัวลงเรื่อยๆ ข้ายกมือขึ้นมาขยี้ตาเพื่อจะได้มองเห็นให้ชัดยิ่งขึ้น ก็พบว่าใบหน้านวลอาบไปด้วยน้ำตา น้ำตาแห่งความอัปยศอดสู ข้ารู้ดี์้าให้ข้าเห็นว่าการได้รับโอกาสใหม่ในครั้งนี้เป็เพราะเหตุใด ความทุกข์ทรมานก่อนตายของข้าเทียบไม่ได้กับชีวิตที่ต้องสูญเสียภายใต้ไฟาเช่นนี้ ภาพเหตุการณ์เปลี่ยนไปเป็ตอนที่กองทัพเหลียวเข้ายึดเมืองได้แล้ว
เด็ก คนแก่บุรุษแล้วถูกต้อนออกมาสังหารอย่างเืเย็น ส่วนสตรีั้แ่เด็กสาวแรกแย้มจนไปถึงมีอายุหน่อยหากเป็ที่พึ่งพอใจก็จะถูกจับไปย่ำยีสุดท้ายก็ถูกสังหารให้สิ้นใจเหมือนผ้าขี้ริ้วขาดๆ สายตาอันสิ้นหวังของสตรีนางหนึ่งที่จ้องมองมาทางข้า ราวกับเห็นว่าข้ายืนอยู่ตรงนี้ มิใช่สายตากล่าวโทษหรือเคียดแค้นชิงชัง แต่เป็เพียงสายตาแห่งความสิ้นหวัง
สายตาคู่นั้นราวกับจะถามว่า ทำไม เหตุใดท่านไม่มาช่วยพวกเรา
หูข้าไม่ได้ยินสิ่งใด ไม่ว่าจะเป็เสียงด่าทอหรือเสียงอ้อนวอนขอชีวิต เสียงเ่าั้เหลือเพียงความอื้ออึงที่ดังอยู่ในหัว ขอโทษ ขอโทษ ข้าขอโทษทุกสิ่งล้วนเป็ความผิดของข้า
‘หลานข้า’
ใครกัน เสียงนี้ไม่ใช่ท่านปู่นี่
‘หลานข้า ผู้สืบทอดสายเืแห่งข้า’
‘ข้าคือซ่างกวนซิ่นจี’เสียงนุ่มทุ้มเปี่ยมไปด้วยความเมตตาตอบข้อกังขาของหลานสาว
‘ท่านปู่บรรพบุรุษท่านมาอยู่ในความฝันของหลานได้อย่างไร’
‘เด็กโง่ ที่เ้าเห็นมิใช้ความฝันแต่เป็เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นจริง ข้ามาเพราะเ้าคือวิบากกรรมของวงศ์ตระกูลที่ต้องเผชิญ หลานข้าสิ่งที่เ้าระลึกชาติได้ล้วนเป็หนทางแห่งเคราะห์กรรมที่เ้ามิอาจเลี่ยง แต่จงจำไว้ว่า์มิได้เมตตาถึงเพียงนั้น อย่าประมาทว่าตนรู้ทุกสิ่ง อย่าให้ความเคียดแค้นมาบดบังจิตใจ’
‘จำไว้ เมื่ออายุครบสิบห้าแล้วจงรีบแต่งงานซะ นี่ถือเป็คำสั่ง’
‘หลานจะทำตามคำสั่งของท่านอย่างแน่นอน’
‘ดี’
ข้ามองรอบกายที่มืดสนิทลงทันใด ด้วยสมองอันชาญฉลาดที่สามารถคิดและวิเคราะห์เื่ราวต่างๆ แยกส่วนแยกประเด็นได้เป็อย่างดี บวกกับเสียงหัวเราะทุ้มต่ำอันแ่เบาก่อนจากของท่านปู่บรรพบุรุษผู้นั้น ก็ทำให้ข้าตกผลึกความคิดได้หลายประการ
ประการแรก ข้าไม่ได้แปลกใจกับสิ่งที่เห็นั้แ่ต้นจนจบเลยแม้แต่น้อย ขนาดคนตายเช่นข้ายังฟื้นคืนคงไม่มีสิ่งใดลึกลับเกินจะคาดอีก เหตุการณ์ที่์หรือนรกอยากให้ข้าเห็นด้วยตาและััถึงความสิ้นหวังในวาระสุดท้ายของชีวิตประชาชนที่บริสุทธิ์ เป็การย้ำเตือนว่าหากข้าก้าวพลาดแม้เพียงก้าวเดียวประวัติศาสตร์ก็จะซ้ำร้อยเดิม
ประการต่อมา การปรากฏตัวของท่านปู่บรรพบุรุษที่ลาโลกนี้ไปเป็พันปีแล้วนั้น ก็เพื่อ้าปลุกข้าให้ตื่นขึ้นมารับรู้ความเป็จริง เ้าโศกเศร้า เ้าเคียดแค้น เ้าโทษตนเอง ทุกสิ่งคือความรู้สึกที่เ้าควรได้รับ มันสมเหตุสมผลแล้ว
ประการณ์สุดท้าย ทุกสิ่งจะไร้ที่ติ ภาพนิมิตศึกาจากชาติที่แล้ว การปรากฏตัวของท่านปู่บรรพบุรุษที่ดูศักดิ์สิทธิ์และลึกล้ำ ติดอยู่ที่เดียวคำพูดส่งท้ายของตาเฒ่าวัตถุโบราณนั่น ว่าอย่างไรนะ? แต่งงานตอนอายุสิบห้า? เร็วกว่านี้หรือช้ากว่านี้ก็มิได้ ท่านนอนอยู่ในสุสานบรรพชนก็ดีอยู่แล้ว เื่ทางโลกเช่นนี้ยังจะมาแทรกแซง
คิดว่าข้าเป็ผู้หญิงเช่นไร
หึ ชนะศึกเป็เพียงผลพลอยได้
ไร้ความสามรถและยศศักดิ์ไหนเลยบุรุษจะยอมแต่งด้วย ออกรบครั้งนี้เพื่อช่วยชีวิตประชาชนและใช้ผลงานไปสู่ขอสามี!
ข้าลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ เหม่อมองเพดานกระโจม ชีวิตนี้ข้าต้องมีทั้งชื่อเสียง ยศถาบรรดาศักดิ์ การแก้แค้นที่ะเืเลื่อนลั่นไปทั้งแผ่นดิน
และสุดท้ายการแต่งสามีที่ดี!