“ย่อมมีคนที่เหมาะสมเ้าค่ะ ไม่ต้องรีบร้อนอันใด” ความจริงแล้วหลี่หยางซื่อเองนั้นก็ร้อนใจเช่นกัน แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าศัตรูจะแสดงออกอันใดให้เห็นไม่ได้
คิดไม่ถึงว่าหลี่ลั่วกลับพูดว่า “ระยะนี้พี่ใหญ่ไม่คิดเื่คู่ครองขอรับ หยวนข่ายเ้าสัตว์เดรัจฉานตัวนั้นยังเป็เงามืดในจิตใจของนาง”
คำพูดประโยคเดียว ทำให้ผู้ที่เอ่ยเื่นี้ขึ้นมาอย่างหลี่เหล่าไท่ไท่ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว หยวนข่ายเป็หลานชายของนาง หยวนเฉิงก้มหัวต่ำลงไปอีก ในแววตาของเขาปรากฏคลื่นลูกใหญ่ เด็กเปรตนี่ มารดามันสมควรตาย
ในขณะที่กินอาหารเที่ยงกันอยู่ บ่าวรับใช้ก็เข้ามารายงาน “เสี่ยวโหวเหฺยเ้าคะ องครักษ์ข้างกายฉีอ๋องมาขอพบเ้าค่ะ”
จวิ้นอีน่ะหรือ?
“คนของฉีอ๋องมาแล้ว”
“เกี่ยวกับเื่งานสมรสหรือไม่?”
ผู้ที่กินข้าวอยู่ทั้งหมดแปลกใจ บางคนนั้นคิดไขว้เขวอยู่ในใจตน ดวงตาหลี่ลั่วเป็ประกาย “เชิญเขาเข้ามาเถิด”
จวิ้นอีหิ้วตะกร้าอาหารเดินเข้ามา “คารวะเสี่ยวโหวเหฺย” ในฐานะองครักษ์ข้างกายฉีอ๋อง เขาคารวะเพียงหลี่ลั่วผู้เดียวเท่านั้น ไม่ได้มองผู้อื่นแม้แต่น้อย
“ไฉนเ้าจึงมาได้? ท่านพี่อ๋องฉีเล่า?” เมื่อเช้ายามที่เขากลับมายังจวนโหว กู้จวิ้นเฉินเข้าวังไปแล้ว ยังไม่ได้ร่ำลากันเลย ในใจของเขานั้นกู้จวิ้นเฉินเป็หนุ่มน้อยที่น่าสนใจ ราวกับน้องชาย...แม้การพูดเช่นนี้จะไม่ค่อยเข้ากับอายุของเขาในยามนี้ แต่หนุ่มน้อยอายุสิบสามปีคนหนึ่งอยู่ในใจเขาแบบนี้ ไม่ใช่น้องชายหรอกหรือ?
เพียงแต่เมื่ออยู่ต่อหน้ากู้จวิ้นเฉิน เขามักจะปฏิบัติตัวต่อกู้จวิ้นเฉินราวกับอยู่ในวัยเดียวกันอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว กลิ่นอายของกู้จวิ้นเฉินยากที่จะทำให้เห็นเขาเป็เพียงหนุ่มน้อยคนหนึ่ง
เวลานี้ราชโองการได้ลงมาแล้ว หากกู้จวิ้นเฉินไม่ขัดต่อราชโองการ เขาเองก็ย่อมไม่ขัดต่อราชโองการเป็แน่ ถึงอย่างไรในเวลานี้ก็เป็ยุคสมัยโบราณที่ปกครองโดยกษัตริย์ แต่ว่า เขาไม่รู้ว่ากู้จวิ้นเฉินจะคิดอย่างไรน่ะสิ
เฮ้อ....
หัวใจดวงเล็กๆ ของเสี่ยวเหฺยจะแตกสลายอยู่แล้ว
“ท่านอ๋องและองค์ชายใหญ่ องค์ชายรอง องค์ชายสาม เสวยพระกระยาหารอยู่ที่หอชมจันทร์ขอรับ ได้ชิมของว่างรสชาติอร่อยหลายอย่าง จึงให้ข้าน้อยส่งมาให้เสี่ยวโหวเหฺย” จวิ้นอีพูดแล้วก็ยื่นตะกร้าอาหารมาให้
หยวนโม่ก้าวขึ้นหน้ามารับแล้วเปิดฝาออก กลิ่นหอมตลบอบอวลออกมา
แต่ละคนต่างคิดกันไปต่างๆ นานา และมีความคิดอย่างหนึ่งที่คิดเหมือนกัน คือคิดไม่ถึงว่าฉีอ๋องจะเอาใจใส่ต่อหลี่ลั่วเช่นนี้ แม้แต่ตัวหลี่ลั่วเองก็ยังรู้สึกเหนือความคาดหมายเล็กน้อย เขารู้ว่ากู้จวิ้นเฉินดีต่อเขา แต่เขารู้สึกว่าที่กู้จวิ้นเฉินดีต่อเขาเป็เพราะว่าเขาได้ช่วยชีวิตของกู้จวิ้นเฉินเอาไว้ถึงเจ็ดส่วน ส่วนอีกสามส่วนเป็เพราะว่าในใจของกู้จวิ้นเฉินนั้นตนยังเป็เพียงเด็กน้อยคนหนึ่ง
คิดไม่ถึงว่าทันทีที่เื่มงคลสมรสกำหนดลงมา หนุ่มน้อยผู้นั้นยังรู้จักที่จะอ่อนโยนนุ่มนวลเช่นนี้ กินอาหารอยู่ที่หอชมจันทร์ยังรู้จักนำของส่งมาให้เขา เช่นนี้จะให้เรียกว่าอย่างไรได้เล่า ...โอ๊ยโหยวววว ก็รักกันหวานชื่นน่ะสิ
“รู้แล้ว เ้ากลับไปแล้วขอบพระทัยท่านพี่ฉีอ๋องแทนข้าด้วย” หลี่ลั่วยิ้มอ่อนหวาน “บอกกับเขาว่าข้าเพิ่งจะแยกกับเขา ก็เริ่มคิดถึงเขาแล้ว”
จวิ้นอีซึ่งเป็ชายหนุ่มอายุยี่สิบปี ถูกคำพูดของหลี่ลั่วซึ่งเป็เพียงเด็กน้อยอายุห้าขวบทำให้หน้าแดงก่ำ “ขอรับ” แม้คำพูดจะพูดกับท่านอ๋องของเขา แต่อย่างไรก็ไม่เหมาะสมที่จะพูดให้คนเช่นท่านอ๋องของเขาได้ยินนี่นา
หลังจากที่จวิ้นอีจากไป หลี่หม่านซึ่งเป็คนปากไวก็ทนไม่ไหวแล้ว “ฉีอ๋องดีต่อน้องหกยิ่งนัก ต่อไปหากว่าข้าสามารถหาสามีเช่นนี้ได้ก็คงจะดี”
พรืด...หลี่อวิ๋นหัวเราะเยาะ “พี่รองช่างไม่ถนอมวาจาเลยนะเ้าคะ คำพูดนี้หากถูกผู้อื่นได้ยินเข้า จะคิดว่าพวกเราแม่นางจวนสกุลหลี่ประพฤติตัวไม่เหมาะสม ต่อไปจะให้พวกเราออกไปข้างนอกได้อย่างไรเล่า?”
หลี่หม่านกับหลี่อวิ๋นนั้นเข้ากันไม่ได้เหมือนน้ำกับไฟมานานแล้ว เมื่อได้ยินหลี่อวิ๋นพูดเช่นนี้นางก็หัวเราะเสียงเย็น “น้องสามถึงขนาดทำลายโฉมของพี่น้องได้ ถ้าหากเื่นี้แพร่งพรายออกไป คงจะต้องได้ชื่อว่าเป็หญิงชั่วร้ายเสียแล้ว ครอบครัวสกุลใหญ่ในเมืองหลวงบ้านใดเล่าจะกล้า้าเ้า?”
“พี่รองช่างใส่ความน้องสาวเก่งนัก นิสัยเช่นนี้ใช้ไม่ได้” หลี่อวิ๋นพูดเรียบๆ เรื่อยๆ หากจะเปรียบเทียบกันแล้วนิสัยวู่วามเช่นหลี่หม่านเทียบนางไม่ติด
หลี่หม่านนั้นราวกับคนเขลา พูดจาทำเื่ใดราวกับไม่ได้ผ่านการกลั่นกรองมาจากสมอง เมื่อถูกหลี่อวิ๋นกระตุ้น นางจึงวู่วามอีกแล้ว
“เ้าพูดว่าอันใดนะ?” หลี่หม่านพูดเสียงดังไม่รู้ตัว “ทั้งๆ ที่เห็นๆ กันอยู่ว่าเป็เ้าที่ทำให้ข้าเสียโฉม หากไม่ได้น้องหกช่วยข้าเชิญหมอหลวงมา ชีวิตนี้ของข้าก็คงจะต้องถูกทำลายด้วยน้ำมือของหญิงชั่วร้ายเช่นเ้า”
“หม่านเจี่ยเอ๋อร์” ภรรยาหลี่ฮุยออกเสียงปราม
“มันเป็ความจริงเ้าค่ะ นางชั่วร้าย หยวนข่ายนั่นก็เลวทราม ไม่ใช่คนครอบครัวเดียวกันย่อมไม่เหมือนกัน” หลี่หม่านนั้นวาจาไม่ละเว้นใครทั้งสิ้น
แต่คำพูดนี้ทำให้หลี่เหล่าไท่ไท่สะอึกเสียแล้ว “หุบปาก” นางวางถ้วยกับตะเกียบลง “เ้าพูดอันใดออกมา? เ้ากับอวิ๋นเจี่ยเอ๋อร์ไม่ใช่ครอบครัวเดียวกันหรอกรึ?”
“ข้า...” หลี่หม่านกลัวหลี่เหล่าไท่ไท่ยิ่งนัก เมื่อก่อนนั้นนางยังรู้จักออดอ้อนฉอเลาะ แต่หลังจากเกิดเื่ที่นางเสียโฉม หลี่เหล่าไท่ไท่ก็ลำเอียงเข้าข้างหลี่อวิ๋น ความสัมพันธ์ของเรือนใหญ่กับหลี่เหล่าไท่ไท่เป็เพียงแค่เปลือกนอกเท่านั้น หลี่หม่านไม่กล้าที่จะประพฤติตนเอาแต่ใจต่อหน้านางอีกแล้ว
“ต่อหน้าผู้ใหญ่ยังรู้จักมารยาทอยู่หรือไม่ ไปคุกเข่าในห้องพระเสีย” หลี่เหล่าไท่ไท่กล่าว คนแล้วคนเล่า นางจัดการหลี่ลั่วไม่ได้ หลี่หม่านนางยังจะจัดการไม่ได้อีกหรือ?
“เื่อะไรข้าต้องไป? เป็นางที่ว่ากล่าวข้าก่อน” หลี่หม่านชี้ไปที่หลี่อวิ๋น
หลี่อวิ๋นยิ้มบางๆ จากนั้นลุกขึ้น หันไปคารวะให้หลี่เหล่าไท่ไท่ “ท่านย่า เป็หลานสาวที่ใช้คำพูดไม่เหมาะสม หลานสาวยินดีรับการลงโทษเ้าค่ะ”
ดู๊ดู นี่คือความต่างของชั้นเชิง
“อวิ๋นเจี่ยเอ๋อร์ยอมรับผิดด้วยกิริยามารยาทที่ดี แต่เป็ฝ่ายเริ่มก่อน ไปคุกเข่าที่ห้องพระครึ่งชั่วยาม” หลี่เหล่าไท่ไท่หันไปมองหลี่หม่าน “หม่านเจี่ยเอ๋อร์ไม่เห็นแก่ความเป็พี่น้อง ทั้งยังโต้แย้งกับผู้ใหญ่ คุกเข่าหนึ่งชั่วยาม” ฟังดูแล้วทั้งสองคนต่างถูกทำโทษ หลี่หม่านทำผิดมากกว่าโทษที่ได้รับจึงมากกว่า ดูแล้วก็เหมือนจะยุติธรรมดี
แต่ว่าห้องพระนั้นอยู่ในเรือนของหลี่เหล่าไท่ไท่ ผู้ใดจะรู้เล่าว่าผลที่ตามมาจะเป็เช่นใด
หลี่หม่านก้มหน้า นางกล้าโมโหทว่าไม่กล้าพูดจา
“หยางหมัวมัว รอให้พวกนางกินข้าวเสร็จค่อยพาออกไป” แต่ละคนทำราวกับนางไม่มีตัวตนใช่หรือไม่? ที่หลี่เหล่าไท่ไท่อยากลงโทษที่สุดคือเรือนที่สอง แต่ไม่ว่าจะเป็หลี่หงหรือหลี่หลินต่างก็เก็บงำความคิดและคำพูด นางอยากจะลงโทษแต่หาเหตุผลไม่ได้
ได้แต่โมโหในใจ
กินข้าวเสร็จ หยางหมัวมัวก็พาหลี่หม่านและหลี่อวิ๋นไปยังห้องพระ แม่นางทั้งหลายกลับไปที่เรือนของตน หลี่ฮุยสามีภรรยา ภรรยาหลี่ฮ่าว หลี่หยางซื่อ หลี่หง หลี่เหล่าไท่ไท่ หลี่เหล่าไท่เหฺย และหลี่ลั่วพากันย้ายไปที่ห้องโถงใหญ่
“เกี่ยวกับเื่การแต่งงานกับฉีอ๋อง ลั่วเกอเอ๋อร์มีอันใดจะประกาศหรือ?” หลี่เหล่าไท่เหฺยถาม “เ้าและฉีอ๋องจะแต่งงานกัน ถึงเวลานั้นจวนโหวจะทำเช่นใด? ในเมื่อเ้าคือเสี่ยวโหวเหฺย”
หลี่ลั่วพูดยิ้มๆ “วันนี้เื่ที่ข้าจะพูดก็คือเื่นี้ขอรับ”
อ้อ? หลี่เหล่าไท่เหฺยฟังด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
สีหน้าของหลี่ฮุยไม่ได้แสดงความรู้สึกอันใดชัดเจนเช่นกัน หลานชายวัยห้าขวบผู้นี้ช่างมีบทบาทร้ายกาจยิ่งนัก ช่างเป็เด็กน้อยอายุห้าขวบที่ชั่วร้าย หรือว่าเด็กที่ฝ่าาเสี้ยมสอนออกมานั้นจะแตกต่างจากผู้อื่นกัน?
เนื่องด้วยความเจ็บป่วยของหลี่ลั่ว ฝ่าาจึงให้เขาเติบโตอยู่ข้างนอก นี่เป็ความคิดที่คนนอกต่างก็รับรู้มาโดยตลอด ดังนั้นความเฉลียวฉลาดที่ร้ายกาจซึ่งทุกคนคิดในใจก็คือจ้าวหนิงฮ่องเต้เป็ผู้เชิญให้คนมาสอนเขา
“เ้ามีความคิดเช่นใด?” หลี่เหล่าไท่เหฺยให้เขาพูด
“ฝ่าาได้ทรงพระราชทานสมรสให้ข้ากับฉีอ๋อง ทางข้าจึงไม่มีลูกหลาน นั่นก็คือข้าต้องเลือกซื่อจื่อแห่งจวนโหวจากคนในสกุลหลี่มาหนึ่งคน” หลี่ลั่วพูดแล้วก็กวาดตามองทุกคนที่อยู่ในที่นั้น ดวงตาของหลี่เหล่าไท่ไท่มืดดำไม่ชัดเจน หลี่ฮุยสงบนิ่งอย่างยิ่ง หลี่เหล่าไท่เหฺยไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ ส่วนหลี่หยางซื่อนั้นตกตะลึงอยู่บ้าง
หลี่หยางซื่อย่อมต้องตกตะลึง เพราะคำพูดเหล่านี้หลี่ลั่วเคยพูดกับนางเท่านั้น ยามนี้พูดออกมาเช่นนี้เพื่อเป็การแสดงจุดยืนหรือเพื่อทำอันใด? หลี่หยางซื่อไม่เข้าใจ
หลี่ฮุยสงบนิ่งอย่างยิ่งด้วยเหตุที่เขารู้จุดยืนของตนเอง เื่เหล่านี้มาไม่ถึงเรือนใหญ่ของพวกเขา เกิดเป็คนต้องรู้จักตน อีกทั้งหลี่ลั่วยังมีฉีอ๋องหนุนหลัง เขาไม่มีวันโง่งมเอาอนาคตของตนเองไปแย่งชิงสิ่งของเหล่านี้
หลี่เหล่าไท่เหฺยไม่มีอารมณ์ใดๆ เพราะไม่ว่าผู้ใดเป็ผู้สืบทอด ก็ล้วนเป็สายเืของเขาทั้งสิ้น
“แน่นอน ตำแหน่งโหวนี้บิดาของข้าแลกมาด้วยความดีความชอบและชีวิต ดังนั้นต่อให้ต้องหาผู้สืบทอด ย่อมต้องเลือกบุตรหลานที่เกิดจากพี่ใหญ่เป็อันดับแรก” หลี่ลั่วกล่าว
คำพูดของหลี่ลั่วมีเหตุผลยิ่งนัก ต่อหน้านั้นทุกคนต่างหาข้อตำหนิไม่ได้ แต่หลี่เหล่าไท่ไท่กลับคิดในใจว่า ถ้าหากว่าหลี่หงไม่มีลูกชายเล่า? ลูกั์ตาสีดำของนางกลอกไปกลอกมา มีวิธีการมากมายที่จะทำให้คนๆ หนึ่งมีลูกชายไม่ได้ ถ้าเช่นนั้นตำแหน่งโหวก็ต้องเลือกจากลูกหลานของหลี่โจวไม่ใช่หรือไร?
“อืม” หลี่เหล่าไท่เหฺยพยักหน้า “ความคิดเช่นนี้ของเ้าถูกต้องยิ่งนัก แต่ถ้าหากว่าหงเกอเอ๋อร์...ถ้าเป็เช่นนั้นเ้าคิดจะทำอย่างไรเล่า?” หลี่เหล่าไท่เหฺยถามไปเช่นนั้นเอง แต่หลี่เหล่าไท่ไท่ตั้งใจฟังอย่างยิ่ง
หลี่ลั่วหัวเราะเบาๆ “ท่านปู่ไม่ต้องเป็กังวล พี่ใหญ่เพิ่งจะมีอายุสิบแปดปี ข้าเพิ่งจะห้าขวบ ข้าคิดว่าต่อให้พี่ใหญ่มีชีวิตอยู่ถึงเจ็ดสิบปี ก็มีเวลาถึงห้าสิบปีที่จะให้กำเนิดลูกชาย ไม่มีความจำเป็ต้องมาพูดเื่เหล่านี้ในเวลานี้”
พรืด...หลี่หงถูกคำพูดของหลี่ลั่วทำให้หัวเราะออกมา พูดราวกับว่าในหลายสิบปีนี้เขาจะให้กำเนิดเพียงแต่ลูกผู้ชายอย่างไรอย่างนั้นแหละ แต่น้องชายของเขามีใจเช่นนี้เขาย่อมยินดี หลี่หงนั้นไม่สนใจตำแหน่งโหว แม้สกุลหลี่จะวุ่นวายนัก แต่เรือนสองของพวกเขาก่อนที่หลี่ลั่วจะมานั้นมีเพียงสามคน ไม่มีเื่การวางกลอุบาย ปากหวานก้นเปรี้ยว ดังนั้นนิสัยของหลี่หงนั้นจึงเปิดเผยตรงไปตรงมาเป็อย่างยิ่ง
เห็นเรือนที่สองมีความสุขยิ่งนัก หลี่เหล่าไท่ไท่ก็แทบจะทนไม่ไหวที่จะสาบแช่งพวกเขาให้ตายๆ ไปเสีย
หลี่เหล่าไท่เหฺยพยักหน้า “เ้าเป็เด็กดีคนหนึ่ง เ้ามีความคิดเช่นนี้เป็เื่ที่ดียิ่ง ข้าก็วางใจแล้วเช่นกัน” หลี่เหล่าไท่เหฺยนั้นไม่ชอบที่จะต้องมาจัดการเื่ราวภายในบ้าน เมื่อภรรยาคนก่อนยังอยู่ เป็ภรรยาคนก่อนที่รับผิดชอบ ต่อมาภรรยาคนที่สองหลี่เหล่าไท่ไท่รับผิดชอบ เขาไม่สนใจเื่ราวภายในบ้าน “ข้าเองก็มีเื่จะประกาศเช่นกัน”
ได้ยินหลี่เหล่าไท่เหฺยบอกว่ามีเื่จะประกาศ แต่ละคนต่างมีความคิดแตกต่างกันออกไป
ความคิดของภรรยาหลี่ฮุยคือ ‘ต้องแยกเรือนแล้วหรือ?’ ที่จริงแล้วในยามนี้นางไม่อยากแยกเรือน อาศัยอยู่ในจวนโหวสุขสบายอย่างยิ่ง พูดออกไปแล้วก็ได้หน้า เพียงแค่ไม่ไปล่วงเกินหลี่ลั่ว จวนโหวใหญ่เช่นนี้ พวกเขาย่อมอยู่อาศัยไปเรื่อยๆ
หลี่ฮุยรู้อยู่แล้ว
ภรรยาหลี่ฮ่าวไม่มีความคิดอันใด สำหรับนางแล้วแยกหรือไม่แยกเรือนไม่มีข้อแตกต่าง เรือนสามของพวกเขามีเงิน เหล่าไท่ไท่เป็มารดาผู้ให้กำเนิดหลี่ฮ่าว พวกเขาย่อมต้องติดตามเหล่าไท่ไท่ไปอยู่แล้ว
ความปรารถนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของหลี่หยางซื่อก็คือ ‘เ้าคนกลุ่มนี้จงไสหัวออกไปซะ’ แต่นางก็รู้ดีอยู่แก่ใจเช่นเดียวกันว่ามันเป็เื่ที่เป็ไปไม่ได้ ต่อให้พวกเขาไม่้าหน้าตาอีกแล้ว แต่นางยัง้าหน้าตาอยู่ ถ้าทำให้เป็เื่ราวใหญ่โตขึ้นมา จะอย่างไรเสียก็เป็ความผิดของผู้น้อยเช่นพวกเขา
“ปลายปีนี้ข้าจะลาออกแล้ว” เมื่อเห็นว่าทุกคนต่างมองมาที่ตน หลี่เหล่าไท่เหฺยจึงเอ่ยเื่สำคัญที่สุดออกมา “ข้าอายุมากแล้ว ลูกหลานเต็มบ้าน ราชสำนัก้าสายเืใหม่” เขาพูดได้น่าฟัง แต่ในใจนั้นขมขื่นนัก เป็ฝ่าาที่ประสงค์ให้เขาลาออก
หลี่ลั่วพูดจาส่งเสริม “แม้ท่านปู่จะอายุมากแล้วแต่สุขภาพยังแข็งแรงขอรับ ลูกหลานเต็มบ้านก็สมควรได้เวลาเสวยสุขแล้ว”
“ลั่วเกอเอ๋อร์พูดได้ถูกต้อง” หลี่ฮุยกล่าว “บิดามารดาลำบากมาหลายสิบปี หากต้องลำบากต่อไปย่อมเป็ลูกๆ ที่ทำไม่ถูกต้องแล้ว”