ฤดูหนาวท้องฟ้ามืดเร็วกว่าปกติ เมื่อเข้าสู่ยามซวี1 ท้องฟ้าจึงมืดสนิท
หลังจากหลินหร่านกับอวี้ฉู่จาวรับประทานมื้อเย็นเสร็จ อวี้ฉู่จาวก็ให้คนเตรียมรถม้าเพื่อไปส่งหลินหร่านกลับจวนแม่ทัพ
ยามค่ำคืนบนถนนจู่เชี่ยวไร้ซึ่งผู้คน เสียงล้อรถกับเสียงกีบเท้าของม้าดังมาแต่ไกล
หลินหร่านกับติงหร่วนขึ้นนั่งบนรถม้า
“พรุ่งนี้คุณชายน้อยจะมาอีกหรือไม่ขอรับ” ติงหร่วนแอบเห็นหลินหร่านหน้าแดงเดินออกมาจากโรงยา จึงอดไม่ได้ที่จะถาม
“ฮะ อืม มา…”
เมื่อได้ยินคำพูดของติงหร่วน หลินหร่านหันไปมองก่อนตอบตามที่ใจคิด
ใครจะไปรู้ พอหันมาเห็นติงหร่วนระบายยิ้มอยู่จะรู้สึกเขิน แล้วถึงกล่าวเสริม “มา...มาไหม”
“คุณชายน้อยจะถามข้าทำไมขอรับ เื่นี้ต้องถามตัวคุณชายน้อยต่างหาก ท่านว่าอย่างไรข้าก็ว่าตามนั้นขอรับ” ติงหร่วนยิ้มอย่างมีความสุข ในใจคิดว่าเ้านายของตนไม่เพียงเป็คนดี ยังเป็คนน่ารักมากด้วย
“อืม อยู่ที่จวนก็ไม่มีอะไรทำ หากไม่เป็การรบกวนท่านอ๋องก็...มา” หลินหร่านก้มหน้าพูด พยายามที่จะแสดงออกอย่างเป็ธรรมชาติ
ตอนที่อยู่ในโรงยากำลังจะเตรียมตัวกลับ อวี้ฉู่จาวยังไม่อยากแยกจากกัน จึงดันเขาไปที่ประตูพร้อมจูบอย่างดูดดื่มถึงยอมปล่อยออกมา
่เวลาที่ติงหร่วนมาเคาะประตูเตือนให้กลับจวนอยู่ด้านนอก กลับเป็่ที่หลินหร่านกำลังโอนอ่อน พยายามตอบสนองััที่ท่านอ๋องมอบให้
แล้วตอนที่ติงหร่วนเห็นหลินหร่านออกมาจากโรงยา ใบหน้าของท่านอ๋องผู้นี้ก็ประดับไปด้วยรอยยิ้มแห่งความพอใจ ริมฝีปากของคุณชายน้อยแดงก่ำ ใบหน้าแดงระเรื่อไม่ต่างกัน
ติงหร่วนไม่ได้อยากรู้ แต่ก็รู้ดีว่าทั้งคู่ทำอะไรกันอยู่
ตอนนี้ติงหร่วนก็ไม่คิดจะคาดคั้น ได้แต่ยิ้มกับพยักหน้าให้หลินหร่านเป็การยืนยัน “ถ้าเป็เช่นนั้นก็มาสิขอรับ ท่านอ๋องทรงกระตือรือร้นอยากให้คุณชายน้อยมา จะไปรบกวนได้อย่างไรขอรับ”
หลินหร่านไม่อาจทนมองติงหร่วนที่ยิ้มราวกับมีอะไรแอบแฝงเช่นนั้นจึงไม่คุยกับเขาอีก เปลี่ยนมาทอดสายตามองออกไปทางความมืดด้านนอกผ่านหน้าต่างของรถม้า
ทุกอย่างมืดสนิทไม่มีอะไรน่ามอง ลมหนาวพัดเข้ามา ขับไล่ไอร้อนในร่างกาย
ขณะที่ลมเย็นพัดเข้ามาและหลินหร่านกำลังจะดึงผ้าปิดหน้าต่างลงนั้น เขามองเห็น ‘คน’ นอนอยู่ตรงกำแพงสูงทางซ้ายมือ
ไม่ทราบแน่ชัดว่าเป็คนหรือผีกันแน่ แต่มาอยู่ในที่มืดๆ เช่นนี้ เป็ใครก็ต้องกลัวกันทั้งนั้น
ด้วยความที่พื้นเพของหลินหร่านเป็คนมีนิสัยไม่กล้าสานสัมพันธ์กับคนแปลกหน้า แล้วยิ่งมาเจออะไรแปลกๆ ยิ่งทำให้ใ รีบปิดม่านทันที
หลินหร่านพยายามทำจิตใจให้สงบแล้วปลอบใจตนเองว่าคงตาฝาด
“เป็อะไรหรือขอรับคุณชายน้อย” เพราะเห็นหลินหร่านมีท่าทีใ แถมยังหายใจสูดหายใจเข้าลึกๆ อีก ติงหร่วนจึงถาม
“เปล่า ไม่มีอะไร”
หลินหร่านพยายามทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แต่หลังจากที่รถม้าเคลื่อนผ่านไปได้ไม่นาน หลินหร่านกลับรู้สึกจิตใจไม่สงบ
บนโลกนี้ไม่มีผี ดังนั้น สิ่งที่เขากลัวมันเป็เพียงสิ่งที่เขาคิดไปเอง
ฉะนั้น ที่เขาเห็นเมื่อครู่ต้องเป็คนเป็ลมแน่นอน
หากว่าเขาผ่านไปโดยไม่เหลียวแลจนกระทั่งอีกฝ่ายหมดลมหายใจ เท่ากับว่าเขาเป็คนฆ่าอีกฝ่ายน่ะสิ
“หยุด...หยุดก่อน” จู่ๆ หลินหร่านก็ะโขึ้นมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
คนขับรถม้าเป็คนที่อวี้ฉู่จาวหามาให้ ซึ่งก็ถือว่าเป็คนแปลกหน้าสำหรับหลินหร่าน
เอี๊ยด!
เสียงล้อรถม้าลากยาวก่อนหยุดลง
“มีอะไรหรือขอรับคุณชายน้อย” ติงหร่วนเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ
“ข้างนอก...มีคน”
ติงหร่วนเปิดผ้าม่านหน้าต่างออกพร้อมกับมองดูโดยรอบ แต่ก็ไม่เห็นอะไร
“ไม่มีนะขอรับ”
“ไม่ใช่...อยู่ข้างหลัง” เอ่ยจบหลินหร่านก็ไม่อาจหักห้ามใจได้ รีบลงจากรถม้าไปดูให้แน่ใจ
ติงหร่วนจึงรีบวิ่งตามลงมา
คนขับรถม้ายืนอยู่ข้างรถด้วยท่าทีเคารพ
หลังจากหลินหร่านลงจากรถม้าก็รู้สึกลังเล เขาค่อยๆ วิ่งเหยาะๆ ไปด้านหลังรถม้า คนผู้นั้นนอนพิงกำแพงไม่ห่างเท่าไรนัก
ติงหร่วนมองเห็นคนที่หลินหร่านบอกแล้ว แต่เนื่องด้วยไม่รู้ว่าคุณชายน้อยของเขา้าทำอะไร จึงได้แต่เดินตามไปข้างหลัง
หัวใจของหลินหร่านเต้นรัว ค่อยๆ ก้าวเข้าไปใกล้เรื่อยๆ เขาโน้มตัวเข้าไปใกล้หวังจะได้เห็นอะไรชัดเจนขึ้น
ขณะที่หลินหร่านก้มลงก็ได้เห็นว่าเป็ผู้ชายคนหนึ่ง เพราะค่อนข้างมืดทำให้มองเห็นใบหน้าไม่ชัดเจนนัก
เมื่อเทียบกับหลินหร่าน ติงหร่วนยังใจกล้ากว่าเยอะจึงยื่นมือไปอังที่จมูกของชายผู้นั้น
“คุณชายน้อย ยังหายใจอยู่ขอรับ!”
“ช่วย...ช่วยเขาก่อน...รีบพยุงขึ้นไปบนรถม้าเร็ว”
หลังจากขึ้นมาบนรถม้า หลินหร่านใช้แสงเทียนอ่อนๆ จากบนรถม้าส่องสว่าง ทำให้มองเห็นว่าใบหน้าของคนผู้นี้เต็มไปด้วยเื บนร่างกายก็มีเือาบ รวมถึงพอมองดูาแบนใบหน้ายิ่งทำให้หลินหร่านใเป็อย่างหนัก
“...มีผ้าไหม”
ไม่ว่าอย่างไรการช่วยเหลือคนย่อมสำคัญกว่า
ภายหลังหลินหร่านได้ผ้าคลุมหัวจากติงหร่วนก็เช็ดเืบนตัวของชายผู้นั้นด้วยมือตนเอง ก่อนที่หลินหร่านจะมองเห็นหน้าของผู้าเ็ได้ชัดเจนมากขึ้น
ใบหน้าหล่อเหลาดูคล้ายคลึงกับท่านอ๋องของเขามาก แต่คิ้วไม่เข้มเท่า มองดูแล้วทำให้รู้สึกเศร้าแปลกๆ ไหล่ไม่กว้างและแข็งแรงเท่าท่านอ๋องด้วย
ชายผู้นี้คืออวี้ฉู่เฉิงที่เพิ่งออกมาจากตำหนักของอวี้ฉู่ซวน
“โอ้ย!” อวี้ฉู่เฉิงร้องออกมาเพราะเจ็บแผลบนใบหน้า
“ขอ...ขอ...ข้าขอโทษ” หลินหร่านรีบเอ่ยทันที ริมฝีปากเม้มแน่นพลางขมวดคิ้วหน้ามุ่ย พยายามทำอย่างเบามือ
อวี้ฉู่เฉิงรับรู้ถึงความระมัดระวังของหลินหร่าน
ครู่ต่อมาเขาถึงลืมตาขึ้น ตรงหน้าตอนนี้คือหลินหร่านที่ยังดูละอ่อนและมีใบหน้าชวนมอง
“เ้า...เ้าฟื้นแล้ว” หลินหร่านเอ่ยออกมา
ม่านตาของอวี้ฉู่เฉิงเบิกกว้าง หลังลืมตาเขาตั้งใจจะยันตัวเองลุกขึ้น แต่เนื่องจากมึนหัวจึงทำให้เขาขยับตัวไม่ได้ ลุกขึ้นมาได้เพียงครึ่งตัวก็พิงไปกับผนังของรถม้า
“เดี๋ยว...เ้า...เ้าระวังหน่อย เืของเ้ายังไหลอยู่เลยนะ” หลินหร่านบอกเบาๆ ช้าๆ ไม่ค่อยกล้าออกเสียงพูดเท่าไร
แต่เนื่องจากอยู่บนรถม้าแคบๆ จึงทำให้อวี้ฉู่เฉิงได้ยินอย่างชัดเจน
ติงหร่วนมองอวี้ฉู่เฉิงด้วยสายตาไม่ไว้วางใจเท่าไรนัก เขารีบมาขวางด้านหน้าหลินหร่าน
“พวกเ้าช่วยข้าหรือ” อวี้ฉู่เฉิงยกมือจับศีรษะตนเอง สังเกตเห็นกองผ้าสีขาวเปื้อนเืจึงถาม
“แล้วอย่างไรเล่า เ้าคงจะไม่ทำร้ายผู้มีพระคุณใช่หรือไม่ พวกเรามีคนติดตามมาด้วยนะ” ติงหร่วนหวังว่าเมื่อเขาพูดไปเช่นนั้นจะสามารถไล่ ‘คนชั่ว’ ตรงหน้าไปได้
“ใช่...ใช่แล้ว” หลินหร่านก็พอจะดูออกว่าคนตรงหน้าเขาดูท่าทางไม่เป็มิตร
หลินหร่านพยักหน้ายืนยันคำพูดของติงหร่วน แต่ท่าทางไม่เข้มแข็งเท่า เพราะกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“หึๆ ” สองคนที่อยู่ตรงหน้ามีท่าทีราวกับเด็ก จนอวี้ฉู่เฉิงกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่ได้ เพียงแค่เสียงหึเบาๆ ก็ทำให้ชะงักกันไปครู่หนึ่ง
แม้แต่ตัวของอวี้ฉู่เฉิงยังไม่อยากจะเชื่อตัวเอง
เขาหัวเราะเป็ด้วยหรือ ความรู้สึกนี้แสดงออกมาได้อย่างเป็ธรรมชาติ
ั้แ่เล็กจนโต เขาแทบจะลืมไปแล้วว่าการหัวเราะมันเป็อย่างไร
ปีแล้วปีเล่า วันแล้ววันเล่าที่เดินผ่านเสียงหัวเราะของผู้อื่น ซึ่งเขาไม่สามารถทำแบบนั้นได้เลย
ความงดงามของโลกใบนี้ไม่เคยเป็ของเขา ในชีวิตเขามีเพียงความมืดมนและความทรมานอย่างไม่มีที่สิ้นสุดเท่านั้น
----------------------------------------------
1 ยามซวี(戌)คือ ่เวลา 19.00 – 20.59 น.