หลินหร่านกับอวี้ฉู่จาวอยู่ด้วยกันในโรงยาจนกระทั่งเวลาเย็น
่กลางวัน ทั้งคู่นอนพักผ่อนด้วยกัน
หลินหร่านนอนหลับสนิทอยู่ในอ้อมกอดของอวี้ฉู่จาว กว่าเขาจะตื่นขึ้นมาก็พบว่าเวลาคล้อยมาจนเย็นแล้ว
ส่วนอวี้ฉู่จาวนั่งพิงหัวเตียงโดยมือซ้ายหยิบตำราขึ้นมาอ่าน ส่วนมือขวาวางไว้บนศีรษะของหลินหร่านพร้อมกับลูบหัวอีกคนเป็ครั้งคราว ราวกับ้ากล่อมอีกคนนอน
แสงแดดยามเย็นส่องผ่านร่องไม้ไผ่เข้ามาในโรงยา ทำให้โรงยาทั้งหลังอาบไปด้วยแสงสีทอง
หลังหลินหร่านลืมตาตื่นก็รีบมองหาอวี้ฉู่จาวโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะยกมือแตะแผงอกของท่านอ๋อง
อวี้ฉู่จาววางตำราในมือลง จับมือของหลินหร่านพร้อมเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ตื่นแล้วหรือ”
“อื้อ” หลินหร่านตอบด้วยเสียงขึ้นจมูกนิดๆ
“อยู่กินมื้อเย็นด้วยกันก่อนค่อยกลับนะ”
“พ่ะย่ะค่ะ”
อวี้ฉู่จาวลงจากเตียง เป็เวลาเดียวกับที่ติงหร่วนนำอ่างใส่น้ำเข้ามา
ภายหลังติงหร่วนรู้ว่าคนที่พาหลินหร่านไปคืออวี้ฉู่จาว เขาก็ตามมาพร้อมกับท่าเสวี่ยและหยิ่นเยวี่ย
อวี้ฉู่จาวเดินไปตรงอ่างใส่น้ำแล้วดึงแขนเสื้อขึ้น หยิบผ้าขนหนูบิดหมาดๆ ในอ่างขึ้นมาด้วยตนเอง
หลินหร่านที่นั่งอยู่บนเตียงยังไม่ตื่นดี เขามองการกระทำของอวี้ฉู่จาวด้วยแววตาหรี่ลงเล็กน้อย
หลังจากนั้น อวี้ฉู่จาวก็ถือผ้าขนหนูมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขา
หลินหร่านเงยหน้ามอง ส่งยิ้มให้บางเบา
อวี้ฉู่จาวคิดว่ารอยยิ้มนี้ช่าง ‘หวานหยดย้อย’ เขาระบายยิ้มก่อนเช็ดหน้าให้
“งานอภิเษกสมรสจะจัดขึ้นปีหน้าเดือนสาม รอให้พ่อของเ้ากลับมาที่เมืองหลวงและมาร่วมงาน ส่วนเื่ของนางเว่ย อย่าได้เป็กังวล”
.........
อีกด้านหนึ่ง
หลังออกจากท้องพระโรง อวี้ฉู่ซวนเรียกเหล่าขุนนางซึ่งอยู่ฝ่ายเดียวกับตนมาทำการหารือ เตรียมบรรเทาความรู้สึกที่ไม่ได้รับเลือกให้เป็ผู้ถืออำนาจทางการทหารในการนำทัพครั้งนี้
แน่นอนว่าในผู้คนเหล่านี้มีองค์ชายสี่อวี้ฉู่เฉิงรวมอยู่ด้วย
อวี้ฉู่เฉิงเกิดจากมารดาที่เป็สนม ภายหลังนางคลอดเขาออกมา ด้วยความที่เป็คนร่างกายอ่อนแอ ยังไม่ทันได้รอดูอวี้ฉู่เฉิงเติบโตก็ลาจากโลกนี้ไปแล้ว
มารดาของเขาเป็หญิงสาวถ่อมตน ญาติพี่น้องนอกวังก็หายตัวไป ค้นหาไม่พบ
เมื่อขาดมารดา อวี้ฉู่เฉิงจึงอยู่ในความดูแลของฮองเฮา แต่ฮองเฮาก็มีโอรสของตนเองอยู่แล้ว เท่ากับเขาไม่ได้รับประโยชน์อันใด
…….
“โอ้ย อ้าก!” ในห้องโถงกว้าง ด้านหลังผ้าม่านโปร่งปักดิ้นทองมีเสียงโหยหวนดังออกมา
เหล่าข้าหลวงกับที่ปรึกษาที่พากันรออยู่ด้านนอกต่างใเพราะเสียง
เมื่อได้ยินเสียงก็พากันสั่นด้วยความกลัว แต่ใบหน้ากลับแสดงท่าทางเหมือนคุ้นชิน ไม่มีซึ่งความเห็นอกเห็นใจผู้ที่ถูกทรมานอยู่ด้านหลังม่านนั้น
กระทั่งเวลาผ่านไปครึ่งก้านธูป อวี้ฉู่ซวนก็แหวกม่านเดินออกมาจากด้านใน
ฝ่ามือเขากำลังถือผ้าเช็ดทำความสะอาดมือเรียวยาวทั้งสองข้างของตน ผ้าสีขาวเปรอะเปื้อนไปด้วยเืสีแดงฉาน สร้างความตื่นตระหนกให้กับผู้พบเห็นเป็อย่างมาก
พอมองไปทางม่านที่แหวกออกก็พบกับชายคนหนึ่งนอนขดตัวอยู่
ร่างกายอีกฝ่ายสั่นเทา บนพื้นมีของเหลวสีแดงไหลออกมา
ทุกคนต่างรู้ดีว่าวันนี้หลังการเข้าหารือในยามเช้า อวี้ฉู่ซวนได้รับความเ็ปมากเพียงไร เมื่อสักครู่จึงเป็แค่การระบายอารมณ์เท่านั้น
ตอนที่อวี้ฉู่ซวนออกมานั้น หากเทียบกับก่อนหน้านี้ถือว่าลดโทสะไปบ้างแล้ว
แต่ก็ต้องลำบากองค์ชายสี่เสียทุกครั้ง เพราะเขามักเป็ของเล่นระบายอารมณ์ขององค์ชายสอง
ท่ามกลางความเงียบสงัดกลับมีคนกล้าที่จะเอ่ยปากขึ้น
“วันนี้จ้านหวังรับพระราชโองการ จะอภิเษกสมรสกับชายาที่เป็ชาย อีกทั้งฮ่องเต้ก็พยายามจะลดอำนาจทางการทหารในมือเขาออกไป กระหม่อมคิดว่าต้องไม่เป็ปัญหาแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
“กระหม่อมก็คิดเช่นนั้น ตอนนี้จ้านหวังมีฮ่องเต้คอยกดดันอยู่ องค์ชายห้าสิถึงจะเป็คู่แข่งที่องค์ชายสองต้องระวัง วันนี้พวกอัครเสนาบดีฝ่ายขวาก่อความวุ่นวายในท้องพระโรง แถมพระสนมเอกลี่ยังทรงเป็คนโปรด…”
ที่ปรึกษาหนวดเครายาวทั้งสองคนตั้งใจโน้มนาว
อวี้ฉู่ซวนยืนอยู่บันไดขั้นบน เดินไปซ้ายทีขวาทีด้วยท่าทีครุ่นคิด
วันนี้นอกจากจะไม่ได้รับโอกาสในการนำทัพยังถูกอวี้ฉู่จาวกดหัวอีก รวมถึงต้องปะทะกับอวี้ฉู่หลิง ยิ่งทำให้เขารู้ว่าโอรสของฮองเฮาอย่างตนไม่ได้อยู่เหนือใครเลย
และทุกวันนี้ก็ต้องทนดูเหล่าชาวเมืองพากันชื่นชมก้มหัวกราบไหว้อวี้ฉู่จาว บางครั้งตัวเขาเองยังต้องฝืนตัวเองก้มหัวให้อีก
เขารู้สึกเหมือนตนเองกำลังโดนดูถูก
อวี้ฉู่จาวมีอำนาจทางการทหารอยู่ในมือ อวี้ฉู่หลิงก็มีครอบครัวเหล่าอัครเสนาบดีคอยสนับสนุน
แล้วตัวเขาล่ะ
ตระกูลของมารดา้าที่จะให้มารดาไต่เต้าขึ้นเป็ฮองเฮา เวลานี้จึงออกจากราชสำนักไปนานแล้ว
ตอนนี้ในราชสำนักเหลือคนของิหยาวโหว ท่านตาของเขาที่ลากกันเข้ามาเป็ขุนนางในวังเพียงไม่กี่คนเท่านั้น เมื่อมาลองคิดอย่างถี่ถ้วน เขามีเพียงตำแหน่งโอรสที่คุ้มหัวอยู่ สถานะอื่นช่างน่าอายและไม่มั่นคง
“อย่างนั้นพวกเ้ามีความเห็นว่าอย่างไร” อวี้ฉู่ซวนหมุนตัวหันไปมองพร้อมเอามือไขว้กันไว้ด้านหลัง สายตามองผ่านผ้าม่านโปร่งเข้าไปเห็นชายด้านในพยายามลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเล ก่อนจะโค้งคำนับแล้วเดินออกไป
“กระม่อมคิดว่า…ภายหลัง่ที่อัครเสนาบดีฝ่ายขวาเข้ามามีบทบาท หลายปีมานี้เื่ต่างๆ ขององค์ชายห้าได้รับการช่วยเหลือจากอัครเสนาบดีฝ่ายขวาทั้งสิ้น เช่นนั้น หากไม่มีอัครเสนาบดีฝ่ายขวาคอยช่วยเหลือแล้วละก็ องค์ชายห้าต้องไม่มีวันยืนยาวเป็แน่พ่ะย่ะค่ะ”
.........
อีกด้านหนึ่ง
องค์ชายสี่อวี้ฉู่เฉิงที่เพิ่งถูกทารุณกรรมเดินโซซัดโซเซออกมาจากตำหนักของอวี้ฉู่ซวน
เขารู้สึกมึนหัวจึงยกมือขึ้นเช็ดก็พบว่าเป็เืที่ไหลอาบ มีเพียงแสงสลัวในคืนเดือนมืดที่ช่วยให้ตนเองมองเห็นเท่านั้น
อวี้ฉู่เฉิงใช้มือััโดยรอบพลางเดินไปที่ศาลา ค่อยๆ เดินก้าวไปทีละก้าวออกจากที่นี่ ดวงตาที่กำลังจะลืมไม่ขึ้นเริ่มหลอมรวมเป็หนึ่งเดียวกับความมืด
วันนี้ เมื่อเขารู้ว่าอวี้ฉู่ซวนกำลังหาตัวเขา จึงรู้ได้ทันทีว่าตนเองจะต้องถูกปฏิบัติเยี่ยงทาสอีกครั้ง
แต่อย่างไรเขาก็ต้องมา เขาเติบโตจากการเลี้ยงดูของฮองเฮาซึ่งแสดงออกราวกับเลี้ยงดูเขาเยี่ยงโอรสองค์หนึ่ง แต่ความเป็จริงั้แ่เล็กจนโตไม่มีใครเคยสนใจไยดีเขาเลย
แม้กระทั่งฮ่องเต้ผู้เป็เสด็จพ่อยังไม่แม้แต่จะแลตามอง ประวิงเวลาไม่เคยให้เขาไปร่วมหารือที่ท้องพระโรงเลยสักครั้ง กระทั่งอวี้ฉู่หลิงที่อายุน้อยกว่าเขาหลายปียังได้เข้าร่วม
แต่เขาก็ยังเป็เด็กที่เชื่อฟัง หรือบางที...เสด็จพ่ออาจลืมไปแล้วว่ามีโอรสอย่างเขาอยู่
คนอย่างเขาคงทำได้เพียงเดินตามหลังฮองเฮากับอวี้ฉู่ซวนเท่านั้น เพราะเขาหนีไปไหนไม่ได้ ไม่มีที่จะให้ไป ไม่มีใครคอยช่วยเหลือ ไม่มีใครหยิบยื่นโอกาสมาให้
เมื่อครู่ อวี้ฉู่ซวนได้ใช้ปะการังเคลือบที่ฮ่องเต้ฉงเต๋อมอบให้ทำร้ายเขา ใช้มันตีที่หัว ตามด้วยทั่วร่างกาย โดยเฉพาะตรงหน้าอก
‘เ้าจะไปมีประโยชน์อะไร ถูกกดหัว เป็แค่ของไร้ประโยชน์ ถ้าไม่พูดอะไรออกไปบ้างก็ทำได้แค่เดินตามก้นคนอื่นเท่านั้น ไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเข้าร่วมเื่บ้านเมืองในท้องพระโรง ช่วยอะไรข้าก็ไม่ได้ ผลสุดท้ายเ้ามันก็ไร้ประโยชน์…’
คำก็ไร้ประโยชน์ สองคำก็ไร้ประโยชน์ ไม่ก็ไร้ค่า คำเหล่านี้ถูกกรอกอยู่ในหูอวี้ฉู่เฉิง
ยามนี้ ดวงจันทร์เฉิดฉายอยู่เหนือกิ่งหลิว อีกาบินหายลับในยามวิกาล มาพร้อมกับเสียงโหยหวนของนกในฤดูหนาว
อวี้ฉู่เฉิงกึ่งคลานกึ่งคุกเข่า ยังคงพยายามจะออกไปให้ถึงประตูวังก่อนที่ประตูจะปิด มิเช่นนั้นเท่ากับเขาทำผิดกฎวังหลวง
เมื่อถึงเวลานั้นจะถูกฟ้องร้องและถูกแจ้งเื่ต่อฮ่องเต้พร้อมโดนตำหนิ แต่เสด็จพ่อคงไม่มีเวลามาสนใจคนอย่างเขาหรอก และพระองค์ก็คงหลีกเลี่ยงที่จะทำโทษเขาได้ไม่ได้
ถึงแม้ว่าการทำโทษเช่นนั้นจะไม่เ็ป แต่สิ่งเ่าั้จะทำให้เขารู้สึกรำคาญใจ จิตใจไม่คงที่ ส่งผลให้เขาควบคุมตนเองไม่ได้...สุดท้ายเขาก็จะจัดการกับอารมณ์ตนเองได้ไม่ดี...ถ้าเช่นนั้นเขาควรทำอย่างไร
แต่...เขาตัดสินใจที่จะไม่กลับไปแล้ว
“อุก...แหวะ” อวี้ฉู่เฉิงพ่นเืออกมาจนกระทั่งพาตนเองออกมาบริเวณกำแพงสูงข้างถนนจูเชวี่ย
-------------------------------