หากเย่เฟิงล้ำเส้นมากเกินไป ต่อให้ราชันมารชื่อเทียนจะถูกพันธะโลหิตกัดกินก็ต้องฆ่าเขาให้จงได้
“พันธะโลหิตเสร็จสิ้น ต่อไปเ้าจงทำลายเทวอักขระบนแท่นหิน แล้วพาบิดาออกไปจากที่นี่” ราชันมารชื่อเทียนกล่าว
“อืม” เย่เฟิงพยักหน้า จากนั้นเขามองไปที่ใต้ฝ่าเท้าของเขา ก่อนจะพบลวดลายเทวอักขระขนาดใหญ่อยู่ตรงนั้น ทั้งยังมีพลังกำราบแผ่ออกมาอีกด้วย
“ฝ่ามือภูผาพิฆาต!” เย่เฟิงแผดเสียงะโ เขาคิดจะใช้พลังฝ่ามือทำลายเทวอักขระ
“วูบ!”
ทันทีที่พลังฝ่ามือของเย่เฟิงัักับลวดลายเทวอักขระ ลวดลายก็เปล่งแสงจ้า จากนั้นมีฝ่ามือั์ก่อตัวขึ้นก่อนจะฟาดร่างเย่เฟิงกระเด็นปลิวออกไป จนกระแทกกับม่านแสงของแท่นหินพร้อมกับเืไหลออกที่มุมปาก
“ตายจริง! ตบะของเ้ายังต่ำเกินไป คงทำลายเทวอักขระที่พวกตาแก่นั่นสร้างขึ้นมาไม่ได้”
ราชันมารชื่อเทียนเห็นฉากนี้ต้องทอดถอนใจ พร้อมกล่าวต่อ “หากตบะของเ้าอยู่ขั้นรวมชี่ที่ 7 แล้วผนวกกับความช่วยเหลือจากวิชามารของข้า บางทีเ้าคงทำสำเร็จ เช่นนั้นตอนนี้เ้าจงฝึกวิชามารที่นี่เสีย เมื่อเ้าฝึกวิชามารถึงขั้นที่สองระดับต้น ตบะของเ้าก็น่าจะทะลวงขั้นรวมชี่ที่ 7 ได้!”
เย่เฟิงได้ยินเช่นนั้นตาก็วาบประกายคมกริบ เขาไม่ได้ปฏิเสธวิชามาร เพราะเขาคิดเสมอมาว่าศีลธรรมของคนเรามิได้เกี่ยวข้องกับเคล็ดวิชาที่ฝึก แต่มันอยู่ที่เจตนาแท้จริง หากเจตนามิได้เลวร้าย แม้จะฝึกวิชามารที่แกร่งสุดในใต้หล้า ก็ยังถือว่าเป็คนดี ดังนั้นตอนที่ราชันมารชื่อเทียนถ่ายทอดวิชา เขาจึงไม่ได้ปฏิเสธแต่อย่างใด
ครู่ต่อมา ในสมองของเย่เฟิงปรากฏความทรงจำใหม่ ในนั้นก็คือวิชามารฉบับสมบูรณ์ มีนามว่าวิชากลมาร
เพียงได้ยินชื่อก็รู้แล้วว่านี่เป็วิชามารที่ทรงพลัง เย่เฟิงจึงหวั่นไหวเล็กน้อย ไม่รู้ว่าหลังจากที่ตนฝึกวิชามาร พลังต่อสู้จะเพิ่มพูนถึงระดับไหน
“วิชากลมารนี้คือเคล็ดวิชาหลักที่บิดาฝึกเมื่อในอดีต เมื่อฝึกถึงระดับสูง มันจะทรงอานุภาพมาก ปีนั้นบิดาก็ใช้วิชากลมารนี้แหละ ทำให้ข้าไร้ศัตรูในระดับเดียวกัน หากเ้าฝึก จะต้องทำให้พลังของเ้าก้าวหน้าอย่างแน่นอน” ราชันมารชื่อเทียนกล่าวอย่างภาคภูมิใจ เห็นชัดว่าวิชากลมารนี้ไม่ใช่เคล็ดวิชาที่ทรงพลังที่สุดของเขา แต่ว่ามันเป็เคล็ดวิชาที่เหมาะกับเย่เฟิงในตอนนี้ ด้วยตบะของเย่เฟิง เย่เฟิงยังไม่มีสิทธิ์แตะต้องเคล็ดวิชาเ่าั้ของผู้ฝึกยุทธ์ขั้นราชันมาร
“เยี่ยม งั้นข้าจะเริ่มฝึกตอนนี้เลย” เย่เฟิงตอบรับราชันมารชื่อเทียนอย่างไม่ลังเล เพราะผู้ฝึกยุทธ์ขั้นราชันมารคงไม่มีทางหลอกลวงเขา จากนั้นเขาไขว้ขานั่งลงบนแท่นหิน พร้อมกับวิชากลมารโคจรในหัวของเขา ซึ่งวิชากลมารมีทั้งหมดเก้าขั้น ทุกขั้นจะแบ่งออกเป็ระดับต้น กลาง และยอด
เย่เฟิงหลับตาทำความเข้าใจวิชากลมารหนึ่งรอบ ก่อนจะเริ่มฝึกขั้นที่หนึ่งซึ่งเป็ขั้นพื้นฐาน จำต้องบอกว่าวิชากลมารเหมาะกับเย่เฟิงเป็อย่างมากราวกับถูกสร้างมาเพื่อเย่เฟิง แต่ด้วยพร์ของเย่เฟิง เย่เฟิงก็สำเร็จวิชากลมารขั้นที่หนึ่งภายในเวลาสองชั่วยาม ทันใดนั้นไอมารพวยพุ่งออกจากร่างเย่เฟิง ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็สีดำม่วง และเหมือนผสานเป็หนึ่งกับร่างกายของเย่เฟิง
“เ้าเด็กนี่เป็อัจฉริยะที่หาพบได้ยาก นี่ผ่านไปเท่าไรเอง เขาก็ฝึกวิชากลมารขั้นที่หนึ่งระดับต้นได้สำเร็จแล้ว ความเร็วเช่นนี้ดูเหมือนจะเร็วกว่าข้าในปีนั้นเสียอีก!” ราชันมารชื่อเทียนเห็นเย่เฟิงฝึกสำเร็จก็แอบคิดในใจ และอดไม่ได้ที่จะใกับพร์ที่เย่เฟิงแสดงออกมา
“วี้ด!”
เสียงประหลาดพลันดังออกมาจากในร่างเย่เฟิง จากการฝึกวิชากลมารในระยะเวลาหนึ่ง มันทำให้อาการาเ็ทุกอย่างของเขาเริ่มฟื้นฟู แผลตามร่างกายเริ่มสมาน เส้นลมปราณและกระดูกที่ได้รับความเสียหายก็ได้รับการกู้คืนทีละนิด นี่ทำให้เย่เฟิงอดคิดในใจไม่ได้ว่า “สมกับเป็เคล็ดวิชาของผู้ฝึกยุทธ์ขั้นราชันที่เคยฝึกเมื่อชาติก่อน ประสิทธิภาพไม่ธรรมดาเลย”
ขณะที่เย่เฟิงคิดในใจ เขาก็ตระหนักได้ว่าการที่ผู้ฝึกยุทธ์เ่าั้ไล่ล่าเขามาถึงที่นี่ มันคือความโชคดีในความโชคร้าย
เมื่อเวลาล่วงเลย เย่เฟิงฝึกวิชากลมารสำเร็จอีกครั้ง โดยครั้งนี้บรรลุขั้นที่หนึ่งระดับกลาง จนในที่สุดตบะของเขาก็ทลายกำแพงของขั้นรวมชี่ที่ 5 เข้าสู่ขั้นรวมชี่ที่ 6
ความสามารถทุกด้านจึงถูกยกระดับ หากได้รับการสนับสนุนจากวิชากลมารนี้ต่อไป พลังของเย่เฟิงจะต้องเพิ่มพูนมากกว่านี้หลายเท่าอย่างแน่นอน จากนั้นเย่เฟิงหยุดพักอยู่ครู่หนึ่ง จู่ ๆ มียาหนึ่งเม็ดปรากฏในมือเขา เป็สิ่งที่เขาได้มาจากถ้ำของปลายยอดปีศาจพิภพที่เขาเทียนเสวียน เขาไม่ทราบชื่อมัน แต่เขารู้ว่ายาเม็ดนี้มีประสิทธิภาพในการช่วยยกระดับพลัง
เย่เฟิงกลืนเม็ดยานี้ลงไป หวังจะอาศัยการสนับสนุนของฤทธิ์ยาทำให้ตบะของตนยกระดับขึ้นโดยเร็วและคว้าโอกาสนี้ทะลวงขั้นรวมชี่ที่ 7 มีแต่วิธีนี้จึงจะทำให้เขาหลุดพ้นจากพันธนาการของผนึกเทวอักขระ และนำปลายหอกมารออกไปจากที่นี่
เม็ดยาแปรเปลี่ยนเป็พลังยาในพริบตา ก่อนจะไหลเวียนไปทั่วร่างกายของเย่เฟิง ทำให้ขณะที่เขาฝึกวิชากลมารก็ยังดูดซับพลังยาไปด้วย
ในขณะเดียวกันจูเชวี่ยเว่ยที่หมดสติก็ตื่นขึ้นมา จากนั้นนางก็เห็นเย่เฟิงนั่งฌานอยู่บนแท่นหิน นางรู้ว่าเย่เฟิงจะต้องได้รับโอกาสบางอย่างถึงบำเพ็ญที่นี่ได้ จูเชวี่ยเว่ยจึงไม่ได้รบกวนแต่อย่างใด เพียงแต่รอคอยเงียบ ๆ เท่านั้น
เย่เฟิงจมปลักอยู่กับการฝึกวิชากลมารจนค่อย ๆ เข้าสู่สภาวะว่างเปล่าราวกับลืมทุกสิ่งทุกอย่าง ประหนึ่งว่าเขามีชีวิตอยู่เพียงเพื่อการบำเพ็ญเท่านั้น ซึ่งเย่เฟิงนั่งฌานอยู่เช่นนี้เป็เวลาเจ็ดวันโดยไม่ขยับเขยื้อน ไอมารที่แผ่ออกจากร่างก็บริสุทธิ์ขึ้นเรื่อย ๆ
อย่างไรก็ตามในเจ็ดวันนี้มีเื่ราวเกิดขึ้นมากมาย เว่ยฉีเทียนโมโหมากเมื่อทราบข่าวว่านักฆ่าที่เขาส่งไปทำภารกิจล้มเหลว ปล่อยเย่เฟิงหลุดมือไปได้ ทั้งที่นักฆ่าเ่าั้ใช้ยาแปรสภาพมาร เขารู้ดีว่าหลังจากแปรสภาพเป็มาร พลังของคนเ่าั้จะเพิ่มขึ้นหลายเท่า ดังนั้นเว่ยฉีเทียนวิเคราะห์ว่าด้วยพลังของเย่เฟิงไม่มีทางรอดชีวิตจากสถานการณ์เช่นนั้นได้ เช่นนั้นจะต้องมียอดฝีมือมาช่วย และเข่นฆ่าลูกน้องของเขา มีเพียงความเป็ไปได้นี้เท่านั้น
แต่เว่ยฉีเทียนหารู้ไม่ว่ายอดฝีมือนั้นไม่มีอยู่เลย เย่เฟิงพึ่งพาพลังของตนจัดการลูกน้องของเขาเว่ยฉีเทียนถึงหนีออกไปได้ อีกอย่างในค่ำคืนนั้นคนที่้าชีวิตเย่เฟิงก็ไม่ได้มีแค่เขาเว่ยฉีเทียน แต่ยังมีตระกูลตู๋กู ตระกูลเฉิน และตระกูลโจวด้วย แม้กระบวนทัพผู้ฝึกยุทธ์ที่สามตระกูลนี้ส่งมาจะทรงพลัง แต่ก็ยังคงฆ่าเย่เฟิงไม่สำเร็จ
ต่อมามีปรากฏการณ์เกิดขึ้นที่ยอดเขาัคชสาร จึงดึงดูดผู้ฝึกยุทธ์จำนวนนับไม่ถ้วน บัดนี้ผู้ฝึกยุทธ์ทั่วทั้งเมืองหลวงมารวมตัวที่ยอดเขาัคชสาร พวกเขาล้วนเป็ผู้ถูกปรากฏการณ์เมื่อเจ็ดวันก่อนดึงดูดมาที่นี่ ในหมู่นี้มีตระกูลตู๋กู ตระกูลเฉิน และตระกูลโจว ผู้นำตระกูลถึงกับมาที่นี่ด้วยตัวเอง ส่วนกองกำลังอื่น ๆ ส่วนใหญ่จะเป็ผู้าุโขั้นยุทธ์แท้ อาจกล่าวได้ว่านี่เป็ความครึกครื้นครั้งแรกของยอดเขาัคชสารในรอบหลายพันปี
ขณะนั้นลำแสงที่ปรากฏออกมาพลันมืดสลัว เมฆสีดำม่วงในเหวลึกก็สลายหายไป ซึ่งลำแสงนั้นไปเยือนแท่นหินด้านล่างก่อนจะเข้าปกคลุมร่างเย่เฟิง
หลาย ๆ คนยืนตรงขอบเหวลึกแล้วมองลงไปด้านล่าง จากนั้นเห็นเย่เฟิงบำเพ็ญอยู่ในนั้นคนเดียว ทำให้พวกเขาต่างต้องประหลาดใจและเคลือบแคลงใจ แต่เมื่อวันเวลาล่วงเลย พวกเขาก็ได้ทราบตัวตนของเย่เฟิง
ตู๋กูหนานผู้นำตระกูลตู๋กู เฉินฉี่ผู้นำตระกูลเฉิน โจวเถี่ยหลินผู้นำตระกูลโจว สีหน้าของพวกเขาดูไม่ได้ตลอดเวลา นั่นเพราะพวกเขาทราบแล้วว่าที่วางกับดักและพยายามลอบสังหารเย่เฟิงนั่นล้มเหลว ทั้งที่ส่งลูกน้องผู้ฝึกยุทธ์จุดสูงสุดของขั้นรวมชี่ไปหลายสิบคน พวกเขาไม่คาดคิดว่าผู้ฝึกยุทธ์เ่าั้ไม่เพียงแต่ฆ่าเย่เฟิงไม่สำเร็จ มิหนำซ้ำระหว่างทางที่พวกเขามายังพบเจอซากศพของผู้ฝึกยุทธ์เ่าั้ เหมือนถูกฆ่าตายในการโจมตีเดียว
จนกระทั่งมาถึงยอดเขาัคชสารแห่งนี้ พวกเขาก็ยังพบซากศพคนของตัวเองอีกหลายร่าง แต่กลับไร้วี่แววซากศพของเย่เฟิง นี่ทำให้พวกเขาสามคนมีลางสังหรณ์ไม่ดี หากแม้แต่กระบวนทัพที่ทรงพลังเช่นนี้ฆ่าเย่เฟิงไม่ได้ เช่นนั้นก้าวต่อไปพวกเขาคงต้องส่งผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ไปเก็บเย่เฟิงแล้ว แต่เมื่อวิสัยทัศน์ในเหวลึกเริ่มชัดเจน เงาร่างเย่เฟิงก็ปรากฏในสายตาของพวกเขา นี่ทำให้พวกเขาตัดสินใจได้ในทันที ตราบใดที่มีโอกาส พวกเขาสามตระกูลจะทำทุกวิถีทางเพื่อฆ่าเย่เฟิงให้จงได้
“วูบ!” ขณะนั้นมีพลังประหลาดสายหนึ่งมาเยือนเย่เฟิง มันแผ่ปกคลุมแท่นหิน ตามมาด้วยเสียงะเิดังสนั่นอย่างต่อเนื่อง พื้นก้นบึ้งในเหวลึกลอยขึ้นสูง จนไม่นานก็ลอยขึ้นมาเทียบกับพื้นดินข้างบน
แต่แท่นหินนั้นยังสูงตระหง่านเช่นเดิมไม่เปลี่ยน ส่วนเย่เฟิงที่นั่งฌานอยู่บนแท่นหินก็ไม่ขยับเขยื้อน ทั้งยังอาบไล้อยู่ท่ามกลางลำแสงศักดิ์สิทธิ์นั่นพร้อมกับมีแสงมารแผ่กำจาย
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น เขาฝึกวิชาอะไรน่ะ? ทำไมข้าััได้ถึงกลิ่นอายวิชามารจากตัวเขา?” มีผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งกล่าวขณะมองเย่เฟิงด้วยความแคลงใจ
“พี่ตู๋กู เด็กคนนี้ฆ่าบุตรท่าน ไม่สู้ใช้โอกาสนี้ฆ่าเขา ชีวิตต้องแลกด้วยชีวิตไม่ใช่หรือ?” ผู้นำตระกูลเฉินกล่าว ความชิงชังที่เขามีต่อเย่เฟิงไม่ได้น้อยไปกว่าตู๋กูหนาน เฉินอ้าวเทียนบุตรผู้มากพร์ที่สุดของเขาก็ถูกเย่เฟิงทำลายตบะในงานประลองสำนักยุทธ์
เพียงแต่แท่นหินตรงหน้าให้ความรู้สึกแปลก ๆ ปรากฏการณ์ก่อนหน้านี้ก็น่าจะมาจากแท่นหินนี้ นี่แสดงให้เห็นว่าแท่นหินนี้ไม่ใช่คนอย่างเขาจะแตะต้องได้ ดังนั้นเฉินฉี่หัวจึงยุยงให้ตู๋กูหนานลงมือก่อน แต่ตู๋กูหนานไม่ใช่คนโง่เขลา มีหรือจะไม่รู้ว่าเฉินฉี่หัวกำลังยุยง จากนั้นกล่าวว่า “ข้าว่าเราสามคนบุกพร้อมกันน่าจะปลอดภัยกว่า”
“ข้าเห็นด้วย” โจวเถี่ยหลินกล่าวพลางพยักหน้า โจวมู่ไป๋คือบุตรของเขา แต่กลับถูกเย่เฟิงฆ่าตาย เขาก็ย่อมชิงชังเย่เฟิงเป็ธรรมดา
“งั้นเราสามคนลงมือพร้อมกัน กำจัดผู้ฝึกวิชามารให้สิ้นไปจากโลกใบนี้!” เฉินฉี่หัวกล่าวเสียงเย็น จำต้องบอกว่าถ้อยคำของเขาแรงมาก เพียงประโยคเดียวก็ทำให้ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ระดับสูงสามคนเห็นพ้องต้องกัน ร่วมมือกันจัดการผู้ฝึกยุทธ์ขั้นรวมชี่ที่กำลังบำเพ็ญเพียร ราวกับว่าการลงมือครั้งนี้ไม่ใช่การแก้แค้นส่วนตัว แต่เป็ผดุงความยุติธรรมแทนใต้หล้า
“ฟิ้ว!”
นาทีนี้ผู้คนเห็นทั้งสามคนลงมือพร้อมกัน โดยวาดฝ่ามือโจมตี ก่อนจะกลายเป็รูปแบบที่ต่างกัน แล้วพุ่งไปหาเย่เฟิงบนแท่นหิน
การที่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ระดับสูงสามคนลงมือพร้อมกัน พลังจะน่าสะพรึงกลัวถึงระดับไหนก็ไม่มีใครในที่นี้ทราบ แต่พวกเขากลับรู้ว่าครั้งนี้เย่เฟิงต้องตายอย่างแน่นอน ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นรวมชี่เผชิญหน้ากับผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ระดับสูง ก็เหมือนมดแมลงที่บดขยี้ลงได้อย่างง่ายดาย
