ฮ่องเต้และฮองเฮาเสด็จมาแน่นอนว่าต้องทำตามหลักธรรมเนียมประเพณีงานเลี้ยงต้อนรับจัดขึ้นในตอนเย็นที่เรือนอี่เหอของจวนอ๋อง อีกทั้งฮ่องเต้ยังมีรับสั่งว่าพระชายาอย่างซูฉีฉีต้องอยู่ร่วมงานเลี้ยงด้วย
พ่อบ้านผายมือออกเป็การเชิญนางเข้าไป สำหรับพระชายาคนนี้แล้วเขานั้นรู้สึกพึงพอใจเป็อย่างยิ่งเพียงแต่คนรับใช้ทุกคนในจวนอ๋องนั้นทำเสมือนนางไม่มีตัวตน
ทว่าในสถานการณ์ที่ไม่ปกติเช่นนี้นางจำต้องออกมาแสดงตนในฐานะพระชายาก็เท่านั้น
ม่อเวิ่นเฉินซึ่งเป็สามีของนางบัดนี้สวมชุดสีดำสนิทแววตตาสงบนิ่งขณะนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวหนึ่งโดยมีเหลิ่งเหยียนและองครักษ์อีกคนหนึ่งหามเข้ามาในเรือนอี่เหอเขาหันไปมองซูฉีฉีโดยที่หนังตาไม่กระพริบแม้แต่น้อย
“หม่อนฉันถวายบังคมท่านอ๋อง”ซูฉีฉีไม่อยากทำให้บุคคลผู้นี้โมโหจึงแสดงความเคารพออกมาอย่างมีมารยาท ถูกต้องตามธรรมเนียม
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเจอกันทุกวันแต่ว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองมิได้พัฒนาขึ้นเลยแม้แต่น้อย
ถ้ามิใช่เพราะม่อเวิ่นเฉินนั้นป่วยอยู่ล่ะก็เกรงว่าซูฉีฉีในตอนนี้จะต้องกลับไปอาศัยอยู่ที่โรงซักล้างเสียแล้ว
“อืม” เขาส่งเสียงขานรับมาอย่างราบเรียบ
เมื่อนางยืดตัวให้กลับมายืนตรงอีกครั้งก็สบสายตาเข้ากับดวงตาอันเยือกเย็นของม่อเวิ่นเฉินริมฝีปากอิ่มเม้มเข้าหากันบรรยากาศที่หนาวเย็นเช่นนี้ทำให้ตัวนางสั่นออกมาอย่างห้ามมิอยู่
“เ้าเป็พระชายาที่รักยิ่งของข้า จำไว้ว่าต้องแสดงตัวให้ดี ถ้าหาก...” เสียงของม่อเวิ่นเฉินยังคงเ็าเหมือนเช่นเคย
ทุกประโยคที่เขาเอ่ยกับซูฉีฉีนั้นคือคำสั่งเสมอ
ผู้ที่เฉลียวฉลาดอย่างซูฉีฉีย่อมเข้าใจในความหมายของเขานางเพียงแค่พยักหน้ารับเบาๆ เท่านั้น
นางแค่รู้สึกขมขื่นในใจการที่ต้องเอ่ยประโยคเช่นนี้ออกมานั้นถือเป็การลำบากท่านอ๋องผู้เ็าคนนี้เสียแล้ว
ฮ่องเต้และฮองเฮาได้นั่งประทับอยู่ตรงตำแหน่งประธานเป็ที่เรียบร้อยแล้วเสื้อผ้าปักลายัและลายหงส์ของทั้งสองนั้นเด่นสะดุดตา
ม่อเวิ่นเฉินกับซูฉีฉีคนหนึ่งเดินนำหน้าอีกคนเดินตามหลัง คนหนึ่งสวมชุดสีดำ อีกคนหนึ่งสีขาว คนหนึ่งถูกหามเข้ามาอีกคนเดินเข้ามา ทั้งสองก้าวเข้าไปในเรือนอี่เหอพร้อมๆ กัน
ม่อเวิ่นเสวียนกับซูเมิ่งหรูหันไปสบตากันในสายตาฉายแววเย้ยหยันดูถูกขึ้นแวบหนึ่ง
ซูเมิ่งหรูนั้นงดงามสะกดสายตาผู้พบเห็นเมื่อหันกลับมามองซูฉีฉี อย่างมากที่สุดนางก็แค่ดูสะอาดบริสุทธิ์ดั่งดอกกล้วยไม้ในป่าเขาเพียงเท่านั้นด้วยเหตุนี้ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันยิ่งรู้สึกโชคดีที่ได้ล้มงานวิวาห์ของตนลง
เพียงแค่ซูเหมิ่งหรูยืนอยู่ตรงนี้ก็ไม่มีใครสังเกตุถึงการมีอยู่ของซูฉีฉีแล้ว
ใจที่รักในสิ่งสวยงามนั้นไม่ว่าใครก็ล้วนมีฮ่องเต้เลือกฮองเฮาเช่นนี้ไม่ถือเป็เื่ที่ทำเกินไปนัก
แน่นอนว่าสิ่งที่ทำให้เขาดีใจที่สุดคงจะหนีไม่พ้นการที่มอบสตรีที่ตนไม่้าให้กับม่อเวิ่นเฉินให้เขากลายเป็ตัวตลกของคนทั่วทั้งแผ่นดิน
การกระทำเช่นนี้ช่างสมใจเขายิ่งนัก
แน่นอนว่าสิ่งที่ทำให้เขายิ่งอารมณ์ดียิ่งขึ้นไปอีกก็คือการที่ความภาคภูมิใจของต้าเยียนบัดนี้ได้กลายเป็คนพิการไปเสียแล้ว
ทำได้เพียงแค่นั่งอยู่บนเก้าอี้ให้คนรับใช้แบกตนเองเข้ามาที่นี่
ั้แ่เด็กพวกเขาสองคนก็มิถูกกันแม้ว่าม่อเวิ่นเฉินจะไม่เคยคิดสนใจราชบัลลังก์แม้แต่น้อยทว่าเขามีอำนาจมากมายขนาดนั้น ซ้ำยังมีความสามารถโดดเด่นจึงกลายมาเป็เหมือนหอกหนามที่ทิ่มแทงอยู่ในใจขององค์ฮ่องเต้
“กระหม่อมถวายบังคมเสด็จพี่ ขอพระองค์จงทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆปี” รูปร่างอันสูงเด่นของม่อเวิ่นเฉินกำลั่งนั่งยืดหลังตรงอยู่บนเก้าอี้เสียงของเขายังคงสงบนิ่ง ไร้ซึ่งอารมณ์เหมือนเช่นเคย
“หม่อนฉันถวายบังคมฝ่าาขอพระองค์จงทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปี ฮองเฮาจงทรงพระเจริญพันปี พันๆ ปี” ซูฉีฉีก็ยืนตรงๆ อยู่ตรงนั้นก่อนจะเอ่ยแสดงความเคารพออกมาอย่างสุภาพ
“ซูฉีฉีเ้าบังอาจนักเจอข้าแล้วยังไม่ยอมคุกเข่าอีก” ม่อเวิ่นเสวียนตบโต๊ะเสียงดังน้ำเสียงแฝงความไม่พอใจเอาไว้
“หม่อมฉันเป็พระชายาติ้งเป่ยโหวที่ฮ่องเต้ทรงพระราชทานสมรสให้เมื่อฮ่องเต้องค์ก่อนมีพระราชโองการว่าติ้งเป่ยโหยมิจำเป็ต้องคุกเข่าแสดงความเคารพต่อฮ่องเต้หม่อนฉันเป็พระชายาของท่านอ๋องแน่นอนว่าต้องประพฤติตัวตามสามีของตน” ซูฉีฉีรู้ว่าตอนนี้นางห้ามแสดงท่าทียอมแพ้ออกมาโดยเด็ดขาด
ม่อเวิ่นเฉินกำลังมองนางอยู่
อีกทั้งระหว่างฮ่องเต้และม่อเวิ่นเฉินนั้นคนที่นางสามารถล่วงเกินได้ก็มีเพียงฮ่องเต้เท่านั้น
เพราะคนที่กำลังกุมชะตาชีวิตของนางในตอนนี้คือม่อเวิ่นเฉิน
ฮ่องเต้ม่อเวิ่นเสวียนหน้าเขียวคล้ำขึ้นทันที “เ้าจะหาว่าข้าผิดงั้นหรือ”
จับจ้องไปที่ซูฉีฉี คิดไม่ถึงว่าซูฉีฉีที่ยอมให้ผู้คนดูถูกเหยียบย่ำผู้นี้จะกล้าล่วงเกินฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน
“หม่อนฉันมิเคยกล่าวเช่นนั้น”ซูฉีฉียังคงนิ่งสงบดั่งเคย ไม่มีสีหน้าหวาดกลัวแม้แต่นิด
นางจะหวาดกลัวตอนนี้ไม่ได้นางจะต้องสงบนิ่งเข้าไว้
มีเพียงสงบนิ่งถึงจะต่อกรกับคนเหล่านี้ได้
“เ้า!”ถ้าหากคนที่ล่วงเกินตนนั้นเป็หญิงงามสะท้านแผ่นดินหรือหญิงที่มากด้วยสติปัญญาความสามารถนั้นม่อเวิ่นเสวียนเชื่อว่าตนนั้นจะไม่บันดาลโทสะถึงเพียงนี้ แต่ว่าสตรีตรงหน้านี้ถึงกับกล้าที่จะประพฤติตัวเช่นนี้กับเขาได้
“ฮ่องเต้ ยังไงเสียพระชายาก็เป็พี่สาวของหม่อมฉันขอให้ฮ่องเต้ทรงเห็นแก่หน้าของเมิ่งหรูด้วยเถิด” ตอนนี้สีหน้าของซูเมิ่งหรูก็เข้มขึ้นเช่นกันนางเหลือบสายตาไปมองซูฉีฉีแวบหนึ่งทำไมนางถึงคาดไม่ถึงกันว่าพี่สาวที่ยอมให้ผู้คนกลั่นแกล้งในเรือนอัครมหาเสนาบดีนั้นเมื่อมาถึงจวนอ๋องติ้งเป่ยโหวแล้วจะทำตัวโอหังได้ถึงเพียงนี้
นางไม่อยากจะก่อเื่ทะเลาะวิวาทในตอนนี้เพราะถึงอย่างไรเสียที่นี่ก็เป็จวนของอ๋องติ้งเป่ยโหว ไม่ใช่วังหลวง
ม่อเวิ่นเสวียนก็คำนึงถึงจุดนี้เช่นกันจึงแค่สะบัดมือโบกปัด “ได้ๆถือว่าเห็นแก่หน้าเมิ่งหรู”
พ่อบ้านที่กำลังเป็ห่วงซูฉีฉีนั้นก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
เขารู้มาโดยตลอดว่าพระชายาผู้นี้ไม่ใช่คนใจดีนักเพียงแต่ต้องดูว่ากำลังเผชิญกับเื่อะไรอยู่เท่านั้น
ไม่บีบบังคับนางจนถึงที่สุดนางจะไม่มีทางโต้กลับอย่างแน่นอน
แต่เมื่อถึงคราวโต้กลับแล้วก็ยากที่จะมีคนรับมือได้