เมื่อการประชุมของครอบครัวตระกูลเซี่ยเสร็จสิ้น เบื้องต้นจึงได้ข้อสรุปว่าจะนำตัวเซี่ยเสี่ยวหลานและมารดากลับมา
ไม่มีวิธีอื่นแล้วครั้งนี้หลิวเฟินและเซี่ยเสี่ยวหลานเด็ดเดี่ยวเสียจริงๆ หนีกลับไปหมู่บ้านชีจิ่งได้นานขนาดนี้แล้วยืนหยัดไม่ยอมบอกว่าจะกลับบ้าน หญิงชราเซี่ยไม่ชอบสองแม่ลูกอย่างถึงที่สุดทว่าไม่ยอมรับไม่ได้ว่าแม้หลิวเฟินจไม่สามารถมีลูกชายได้ ทว่าในด้านการทำงานกลับเป็ผู้ช่ำชองระดับความอดทนต่องานหนักและการด่าทอมากกว่าจางชุ่ยและหวังจินกุ้ยรวมกันเสียอีกหวังจินกุ้ยมักแอบอู้งาน จางชุ่ยอยู่ในตัวเมืองเป็เพื่อนลูกสาวมาหลายปีจึงไม่ค่อยคุ้นเคยกับงานในไร่นา
อย่างไรเสียรองเท้าผุพังแบบเซี่ยเสี่ยวหลานนั่นก็อย่ากลับมาทำให้ขายขี้หน้าคนเขาดีกว่าอยู่กับตระกูลหลิวต่อไปย่อมดีที่สุด
หวังว่าสะใภ้ทั้งสองคนจะสามารถััถึงความตั้งใจของเธอได้และทำเื่นี้ให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี
แต่ว่าจนถึงเวลาก่อนจะนอนแม่เฒ่าเซี่ยก็ยังคงอดไม่ได้ที่จะกระวนกระวายใจ
คนตระกูลเซี่ยอยู่ด้วยกันในบ้านหลังเดียวกันตอนกลางคืนจะกระซิบยังต้องพยายามข่มเสียงให้เบาความคิดของหวังจินกุ้ยและหญิงชราเซี่ยนั้นเหมือนกัน หลิวเฟินกลับมาได้แต่เซี่ยเสี่ยวหลานห้ามกลับมาเด็ดขาด
“คุณอย่าเห็นแค่ว่าวันนี้พี่สะใภ้ใหญ่ทำตัวดีแบบนั้นเชียวทำเป็อิดออด จื่ออวี้หาคนอย่างหวังเจี้ยนหัวได้ หงเซี๋ยของฉันไม่ดีตรงไหนกัน? แค่ไม่ได้เรียนต่อมหาวิทยาลัยแค่นั้นหรือ? เด็กผู้หญิงอ่านออกเขียนได้ก็ถือว่าดีมากแล้วกว่าจะเรียนมหาวิทยาลัยจบก็เป็สาวทึนทึกกันพอดี...”
หวังจินกุ้ยบ่นอุบอิบไปเรื่อยเปื่อย เซี่ยหงปิงง่วงนอนแทบทนไม่ไหวจึงตอบกลับอย่างรำคาญ
“หงเซี๋ยไม่ใช่พวกเรียนหนังสือเก่งแบบนั้น พรุ่งนี้เธอไปบ้านหลิวอย่าสนใจแต่ทำตัวให้เื่มันยิ่งเลวร้ายเลย เด็กแสบนั่นก็บ้าคลั่งได้เหมือนกันกลับมาแล้วกักเธอเอาไว้ให้ดีค่อยหาบ้านสามีให้ออกเรือนไปไกลๆเดี๋ยวพวกคำนินทาก็เบาลงเอง!”
แม้หวังจินกุ้ยจะตกปากรับคำไป แต่อันที่จริงความคิดยังคงไม่ได้เปลี่ยน
ว่าไปแล้วช่างน่าขัน จางชุ่ยกับเซี่ยฉางเจิงสองสามีภรรยาเองก็กำลังคุยด้วยเื่เดียวกันทว่าพวกเขามีความเห็นที่แตกต่าง ครอบครัวลูกคนโตอยากพาเซี่ยเสี่ยวหลานกลับบ้าน
ดั่งที่เซี่ยหงปิงว่า กักตัวเซี่ยเสี่ยวหลานไว้ก่อนค่อยหาบ้านแม่สามีที่ระดับพอๆกันให้เธอ—อย่างไรเสียกิตติศัพท์ของเธอนั้นป่นปี้หมดแล้วพวกชายโสดแก่หรือพ่อม่ายล้วนได้ทั้งสิ้น จริงๆ แล้วจางเสเพลที่ทำลายชื่อเสียงของเธอก็ไม่เลวหากไม่ได้เป็อะไรกับจางเสเพลถึงจะผิดในข้อหาการมีความสัมพันธ์ชู้สาวมั่วซั่ว แต่หากให้ทั้งสองคนแต่งงานกันเื่มิใช่กลับกลายเป็ว่าถูกทำนองคลองธรรมแล้วหรือ?
จางชุ่ยยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่าเหมาะสม
“พวกเราก็ไม่ใช่ว่าจะกักตัวเธอไว้ได้ทั้งชาติ ผู้หญิงน่ะ ออกเรือนมีลูกก็ตั้งหลักในชนบทอยู่ดีนี่แหละ”
เซี่ยจื่ออวี้ไม่อยากเห็นเซี่ยเสี่ยวหลานจากหมู่บ้านต้าเหอไปจางชุ่ยคิดว่ายกเซี่ยเสี่ยวหลานให้แต่งงานกับพวกชายโสดอายุมากและพ่อม่ายก็ย่อมได้ทั้งนั้นหรือแม้แต่คนอย่างจางเสเพลก็ย่อมเป็การแก้ไขปัญหานี้ได้เหมือนกัน
ขอแค่ทำให้เธอกลับบ้านได้จางชุ่ยก็มีความมั่นใจในการทำเื่นี้ให้สำเร็จ
ตระกูลเซี่ยจะได้รับค่าสินสอดจำนวนหนึ่งเซี่ยเสี่ยวหลานไร้น้ำยาก่อเื่อีก ใครใช้ให้เธอไม่รู้จักที่เหมาะที่ควรจะแย่งคู่หมายของจื่ออวี้กัน!
เซี่ยฉางเจิงคิดว่ามีเหตุผลอยู่ทีเดียว สองสามีภรรยาจึงไม่มีความเห็นต่างในเื่นี้ดึกดื่นเงียบงัน พวกเขาก็พูดถึงเื่อื่นอีกเป็เพราะเซี่ยจื่ออวี้สอบติดมหาวิทยาลัยเข้าปักกิ่งไปจางชุ่ยย่อมไม่สามารถใช้ข้ออ้างในการดูแลชีวิตประจำวันของเธออาศัยที่ตัวเมืองได้อีกแล้ว...เซี่ยฉางเจิงกังวลเกี่ยวกับธุรกิจที่นั่นของตนไม่น้อย
“ให้น้องชายเธอกับน้องสะใภ้ดูแลร้านคงไม่เกิดปัญหาหรอกนะ?”
“จะเกิดปัญหาอะไรได้อาและอาสะใภ้ของจื่ออวี้ช่วยเหลือด้วยความมีน้ำใจ ถ้าไม่มีร้านนี้ อีกหน่อยสินเ้าสาวของลูกสาวและสินสอดสู่ขอภรรยาของลูกชายคุณจะเอามาจากไหนกัน?”
เซี่ยฉางเจิงครุ่นคิด อาของจื่ออวี้นั่นเป็คนดูแลที่ถอนขนห่านป่า [1] ทุกวันมีเงินผ่านมือ หากแอบเก็บเงินเล็กน้อยตามใจชอบก็เป็ความเสียหายของครอบครัวเขาร้านเปิดตามการแนะนำของลูกสาวเขาจื่ออวี้ จากแผงลอยเล็กๆ ขยายจนมาเช่าหน้าร้านได้นับวันยิ่งดำเนินกิจการไปได้ดี ธุรกิจเจริญรุ่งเรืองเซี่ยฉางเจิงจึงไม่อาจวางใจได้แม้แต่ครู่เดียว
“เธอดูแลเองดีกว่า จัดการเื่เด็กคนนั้นเสร็จพวกเราก็อธิบายให้คนในบ้านรู้เื่อย่างชัดเจนเสียบอกว่าเป็ร้านที่บ้านแม่เธอเปิดไว้ เธอไปช่วยเหลือที่ร้านหาเงินค่าใช่จ่ายเล็กน้อยให้จื่ออวี้”
ไม่ต้องอยู่ขุดดินหาอาหารในชนบท จางชุ่ยจึงตั้งตารอคอยที่จะไปอาศัยอยู่ในตัวเมืองนานๆ
“คุณก็ไปด้วยกันสิ ที่ร้านขาดคน ถ้าคุณไปเมื่อไรก็ให้จื่ออวี้กลับไปพักผ่อนฉันกับคุณอยู่ที่ร้านสองคนยังดูแลแผงกันมาได้เลย”
“เดี๋ยวฉันค่อยคิดอีกที รีบนอนเถอะ พรุ่งนี้ยังต้องไปหมู่บ้านชีจิ่งอีก”
ฟ้ายังไม่สาง เซี่ยต้าจวินก็ตื่นแล้ว
หวังจินกุ้ยหาวหวอด จางชุ่ยท่าทางดูสดชื่นเซี่ยต้าจวินถือว่าไปเยี่ยมเยียนบ้านภรรยา หนึ่งปีจะได้ไปสักหนึ่งหนอีกทั้งไปเพื่อรับตัวหลิวเฟินและลูกสาว ไม่อาจมือเปล่าไปเยือนได้ แต่เซี่ยต้าจวินยากจนเสียขนาดในกระเป๋ายังสะอาดกว่าใบหน้าแม่เฒ่าเซี่ยจึงทำได้เพียงซื้อของขวัญให้นิดหน่อย ของขวัญอะไรน่ะหรือ? ก็คือพวกน้ำตาลทรายและบะหมี่แห้งที่หลิวหย่งซื้อมาคราวก่อนนั่นเองบะหมี่แห้งกินไปแล้ว น้ำตาลทรายยังไม่ได้แตะ ก็เลยให้เซี่ยต้าจวินนำไปเป็ของขวัญ
ยุคนี้การส่งของขวัญให้คนสนิทล้วนเป็สิ่งของแบบเดียวกันเธอส่งให้ฉัน ฉันส่งให้เธอ ที่จริงแล้วเป็ของไม่กี่อย่างส่งเวียนกันไปมาทุกคนเคยชินกันหมด ทว่าส่งของสภาพเดิมของคนอื่นกลับไปให้เ้าของนี่ช่างไม่ใส่ใจกันเกินไปแล้ว
ของที่ส่งมาให้ยังต้องหักเอาไว้ ไม่ใช่แค่ไม่ใส่ใจเท่านั้นแต่ตระหนี่เข้ากระดูกโดยแท้จริง
แม่เฒ่าเซี่ยก็เป็คนตระหนี่เช่นนี้เซี่ยต้าจวินมิได้รู้สึกแปลกประหลาด
ทั้งสามคนหิ้วถุงน้ำตาลทรายนั่น กินมันเทศนึ่งไปสองหัวฟ้ายังไม่สว่างก็ออกเดินทางไปยังหมู่บ้านชีจิ่ง พวกหลิวหย่งเดินทางกัน 3 ชั่วโมง เซี่ยต้าจวินพาสตรีสองนางตั้งหน้าตั้งตาเดินทางเมื่อถึงหมู่บ้านชีจิ่งพบว่ายังไม่แปดโมงดีเหมาะเจาะกับเซี่ยเสี่ยวหลานกำลังจะออกจากบ้านเธอได้รับซื้อปลาไหลบางส่วนกลับมาและกำลังจะไปที่อื่นต่อ ผลปรากฏว่าเมื่อเปิดประตูไปกลับได้พบเซี่ยต้าจวินที่พาจางชุ่ยและหวังจินกุ้ยมายืนอยู่ด้านนอกสีหน้าของเซี่ยเสี่ยวหลานเ็าลงในบัดดล
“เสี่ยวหลาน ลูกกินอีกสักหน่อยสิ เดี๋ยวหิวระหว่างทาง... ”
หาเงินทองนั้นสำคัญ แต่ไม่ควรอาศัยว่าอายุน้อยแล้วจะละเลยการดูแลร่างกายได้หลิวเฟินถือโถกระเบื้องเคลือบตามออกมา ภายในนั้นใส่เกี๊ยวเอาไว้เพื่อป้องกันเซี่ยเสี่ยวหลานท้องหิวระหว่างทางพอเธอเห็นพวกเซี่ยต้าจวินสามคนคำพูดก็สะดุดในทันที มือไม้ไม่ฟังคำสั่งที่สุดแล้วจึงยืนตะลึงงันอยู่ ณ ตรงนั้น
เซี่ยเสี่ยวหลานถอนหายใจ ต่อให้อบรมทฤษฎีมาเต็มที่เพียงใด ปฏิบัติจริงก็ยังถือว่าเป็อีกเื่หนึ่งแล้ว
“โอ๊ะ พี่สะใภ้รอง นี่พี่หัวทึบขนาดนี้เลยหรือ? พวกเราเดินทางมาไกลเช่นนี้ เมื่อยเท้าปวดขาไปหมดพี่ยังไม่ให้พวกเราเข้าบ้านพวกพี่ไปอีก?”
หวังจินกุ้ยสอดส่องโถกระเบื้องเคลือบในมือหลิวเฟินปากก็อดพ่นน้ำลายออกมาไม่ได้ กลิ่นที่ได้รับคือไส้หมูต้นหอมไม่ใช่่เทศกาลแต่บ้านหลิวยังกินดีอยู่ดีขนาดนี้ไม่แปลกใจที่เซี่ยเสี่ยวหลานและมารดาจะอยู่บ้านหลิวแล้วไม่อยากกลับไป
หลิวหย่งคงร่ำรวยแล้วจริงๆ ซื้อจักรยานคันใหม่ ครอบครัวสามารถกินเกี๊ยวไส้เนื้อสัตว์ได้
หวังจินกุ้ยเลียริมฝีปากมันเทศที่กินตอนก่อนออกเดินทางจะไปพอยาไส้ได้อย่างไรเธอได้กลิ่นหอมของเกี๊ยวเข้าท้องก็หิวขึ้นมา
“พี่สะใภ้รอง พี่ทำเกี๊ยวนี่นา พวกเรายังไม่ได้กินข้าวพอดี!”
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่้าให้คนตระกูลเซี่ยเอาเปรียบอะไรอีกแม้แต่นิดเดียวหลี่เฟิ่งเหมยอยู่ในบ้านได้ยินเสียงผิดปกติเข้า เมื่อออกมาก็เห็นคนบ้านเซี่ยสามคนขวางประตูเอาไว้
“โอ้ ตรงหน้าฉันนี่ใครกันนะ เช้าขนาดนี้ก็มายืนขวางประตูบ้านคนอื่น พวกคุณอยากมีเื่หรือ? บอกไว้เลยนะ บ้านหลิวคนไม่เยอะ แต่ที่นี่ไม่ใช่หมู่บ้านต้าเหอของพวกคุณบ้านหลิวไม่มีทางปล่อยให้พวกคุณรังแกอยู่ฝ่ายเดียวแน่!”
หลี่เฟิ่งเหมยยืนเท้าเอวประกาศศักดายืนกรานไม่ยอมให้คนตระกูลเซี่ยทั้งสามเข้าบ้าน
เซี่ยเสี่ยวหลานนำจักรยานไปจอดให้เรียบร้อยต้องรีบส่งคนตระกูลเซี่ยสามคนนี้กลับไปเสียที เธอยังต้องออกไปรับซื้อปลาไหลอีกนะอย่างอื่นไม่ขอพูดถึงหูหย่งไฉจากบ้านพักรับรองคณะกรรมการประจำเมืองสั่งปลาไหลไว้ถึง 20 ชั่ง เซี่ยเสี่ยวหลานจึงไม่อาจปล่อยเขาให้รอเก้อได้
“ป้า ให้พวกเขาเข้าไปคุยข้างในเถอะจ่ะ ป้าช่วยเรียกลุงฉันมาด้วยนะถ้าวันนี้ไม่คุยกันให้ชัดเจน อีกหน่อยก็มีเื่วุ่นวายอีก”
ในชนบทไม่ค่อยพบคนนอนตื่นสาย อย่าคิดว่าตอนนี้แค่แปดโมงเช้าแล้วจะไม่มีคนตอนนี้หน้าบ้านมีคนจำนวนไม่น้อยเห็นว่าพวกเซี่ยต้าจวินทั้งสามคนยืนขวางประตูอยู่แต่เซี่ยเสี่ยวหลานคิดว่าไม่เห็นเป็อะไร เธอไม่รู้สึกขายหน้าแม้แต่น้อยทว่ามารดาของเธออาจอึดอัด เซี่ยเสี่ยวหลานค่อนข้างใส่ใจความรู้สึกของหลิวเฟิน
จางชุ่ยเดินตามอยู่ด้านหลังสุดพลางแอบพิจารณาเซี่ยเสี่ยวหลานหลานสาวผู้นี้ยังคงหน้าตาไม่สง่างามแบบนั้นทว่าท่าทางสงบและสำรวมทำให้เธอกลายเป็คนที่ดูเอื้อเฟื้อใจกว้าง
หลังจากวิ่งเอาหัวชนเสาแต่ดันไม่ตายเซี่ยเสี่ยวหลานราวกับเปลี่ยนไปเป็คนละคน
จะปล่อยให้เซี่ยเสี่ยวหลานอยู่ข้างนอกอีกต่อไปไม่ได้มิเช่นนั้นตระกูลเซี่ยจะไม่มีคนคอยควบคุมเธอไว้ในใจของจางชุ่ยลุกลี้ลุกลนอยู่ไม่น้อย
เชิงอรรถ
[1]雁过拔毛 ถอนขนห่านป่าที่ผ่านมา หมายถึง พยายามหาผลประโยชน์ในทุกโอกาสจากธุระที่จัดการ