“เ้า บังอาจนัก!” สีพระพักตร์ของไทเฮาเปลี่ยนไปทันใด “เซียวเจวี๋ย เ้าไม่ได้เห็นข้าอยู่ในสายตาจริงๆ สินะ!”
“ข้ามิบังอาจพ่ะย่ะค่ะ”
ยังคงคำตอบเฉกเช่นเดิม ที่ต่อให้เป็หมื่นปีก็ไม่เปลี่ยนแปลง แต่เขาไม่กล้าจริงๆ น่ะหรือ?
เขายืนอยู่อย่างสงบนิ่งในตำหนัก แต่เขาเหมือนกับหลุมดำที่กลืนกินทุกสิ่งอย่าง คำพูดเพียงคำเดียวก็สามารถทำให้ผู้อื่นรู้สึกกดดันได้ไม่รู้จบ
เขาเป็เทพแห่งาของราชวงศ์เหยียน
เขาเป็เซียวเจวี๋ย ผู้ดำรงตำแหน่งเซ่อเจิ้งอ๋อง
เป็โอรส์ที่มิอาจหาใครเปรียบ ผู้มีอำนาจทางการทหาร และกองทัพอันแข็งแกร่งจำนวนมากอยู่ในมือ
ตอนที่บอกว่า ‘ไม่กล้า’ เขาก็แค่พูดๆ ไปเท่านั้น ถ้าหากวันหนึ่งเขาพูดว่า ‘กล้า’ ขึ้นมาจริงๆ เื่นั้นคงไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
ไทเฮาที่ดึงสติตนเองกลับมา แล้วทรงจ้องเข้าไปในดวงตาอันน่ากลัวของเขา
ฮองเฮาตู้ฉวยโอกาสนี้ เติมเชื้อด้วยความอิจฉาริษยาว่า “การกระทำของเซ่อเจิ้งอ๋องยโสโอหังเกินไป เ้าไม่กลัวหรือว่านี่จะสร้างความไม่พอใจให้กับเหล่าขุนนางและกองทัพ?”
เซียวเจวี๋ยเหลือบมองพระนาง และกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “เช่นนั้นข้าขอทูลถามฮองเฮา เหตุการณ์ในคืนนั้น ข้าเองก็อยู่ที่นั่น แสดงว่าข้ากับองค์หญิงใหญ่ต้องรับโทษเช่นเดียวกันใช่หรือไม่?”
ฮองเฮาตู้ทรงอึ้งและเงียบไปสองห้วงลมหายใจ ก่อนจะตรัสถามอย่างไม่พอใจว่า “เช่นนั้นข้าเองก็อยากจะถามเ้าว่า ในคืนนั้นเซ่อเจิ้งอ๋องกับองค์หญิงใหญ่เห็นอะไรที่ศาลาชุนชิวกันแน่?! ความจริงมันเป็เช่นไร?”
คราวนี้เซียวเจวี๋ยไม่ได้ตอบอะไร ส่วนสายตาของเขากลับมองไปที่ชิงอี
แน่นอนว่าเื่การบิดเบือนข้อเท็จจริงเช่นนี้ มีใครบางคนที่เชี่ยวชาญอยู่
ชิงอีหลิ่วตา พลางเอ่ยปาก “หากยังดึงดันที่จะถามต่อไป เช่นนั้นข้าเองก็ไม่มีปัญหาที่ตอบ อย่างไรเสีย ต่อให้ข้าพูดออกมา ผู้ที่ขายหน้าก็ไม่ใช่ตำหนักเชียนชิวของข้าอยู่แล้ว”
ทันทีที่ได้ยินคำพูดเ่าั้ ฮองเฮาตู้ก็ใจพระทัยไปครู่หนึ่ง
“หลานชายของท่านไม่ใช่คนดี ท่านที่เป็ป้าของเขาดูไม่ออกเลยหรือเพคะ? เขาเป็ถึงบุตรชายของอัครมหาเสนาบดี ทั้งยังมีท่านเป็ฮองเฮา ทว่า หลายครั้งหลายคราที่เขาเข้ามาก่อกวนในตำหนักเชียนชิวของข้า ทั้งยังมาเล่นหูเล่นตากับเสาเหย้าอีก” ใบหน้าของชิงอีเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม นางเหลือบมองฮองเฮาตู้อย่างดูถูกและกล่าวว่า “พูดถึงเื่นี้ ในคราแรกเสาเหย้าเอง ก็ถูกท่านส่งมาที่ตำหนักเชียนชิวนี่นะ ช่างเป็การพลัดพรากคู่รักออกจากกันได้ดีจริงๆ หากท่านมอบนางให้แก่หลานชายผู้โง่เขลาของท่านก่อนหน้านี้ ไม่แน่ว่าตอนนี้ทั้งสองคนอาจจะมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุขใช่หรือไม่?”
“เ้า...เ้าพูดจาเหลวไหล!” สีพระพักตร์ของฮองเฮาตู้เปลี่ยนไปทันใด เห็นได้ชัดว่าตู้ิเยวี่ยได้รับคำสั่งให้มาที่ตำหนักเชียนชิวเพื่อเข้าใกล้ชิงอี จะไปมีความสัมพันธ์กับเสาเหย้าได้อย่างไรกัน แม้ทั้งสองคนจะมีการส่งสายตากันจริงๆ แต่ก็ไม่เป็อย่างที่นางพูดอย่างแน่นอน
“ข้าพูดจาเหลวไหลงั้นหรือ? เช่นนั้นท่านตรัสมาสิ ว่าสองสามวันที่ผ่านมาตู้ิเยวี่ยมาตำหนักเชียนชิวของข้าทำไมกัน?” ชิงอีจ้องนางด้วยแววตาเย้ยหยัน “ข้าขอทูลถามท่านอีกครั้ง เขาเป็คนนอก ใครเป็คนให้สิทธิ์แก่เขา เขาถึงได้กล้าเข้าออกวังหลังอย่างเสรีเช่นนี้กัน?”
ฮองเฮาตู้เงียบราวกับใบ้ ตอนนี้ตู้ิเยวี่ยก็ตายไปแล้ว สถานการณ์ในตอนนี้ทำให้นางสับสนเล็กน้อย หากบอกไปั้แ่แรกว่าตู้ิเยวี่ยติดสินบนฉู่ชิงอี ตอนนี้นางที่เป็ถึงฮองเฮาคงไม่ต้องถูกสงสัย ว่ารู้เห็นเป็ใจหรือสมรู้ร่วมคิดกับหลานชายจนทำให้ตำหนักวุ่นวายเป็แน่แท้
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเวลานี้ ที่เซียวเจวี๋ยอยู่ฝ่ายเดียวกันกับชิงอีอย่างโจ่งแจ้ง!
หากนางโต้เถียงกลับไป มันไม่กลายเป็ข้ออ้างให้อีกฝ่ายโจมตีตนเองหรืออย่างไร?!
ในตอนนี้ ฮองเฮาตู้ได้แต่ทนอึดอัดใจที่ไม่สามารถโต้กลับไปได้
ชิงอีเป็คนมีเหตุผลและไม่ให้อภัยผู้ใดง่ายๆ ั์ตาฉายชัดถึงความเยาะเย้ยแล้วพูดอย่างเนือยๆ ว่า “คืนนั้น ตู้ิเยวี่ยและเสาเหย้าเจอกันเป็การส่วนตัวที่ศาลาชุนชิว ทั้งสองคนได้ทำสิ่งที่น่ารังเกียจ ซึ่งอาจทำให้ผู้ที่พบเห็นคิดไปในทางไม่ดี ทั้งคู่ะโลงทะเลสาบเพื่อแสวงหาความสุข หลังจากนั้น ก็ไม่เห็นการเคลื่อนไหวใดๆ อีก”
“งั้นพวกเ้าทำเพียงมองดูอย่างนั้นเหรอ?!”
ชิงอีกลอกตามองบน แล้วมองด้วยความเหยียดหยามอย่างมาก “ข้าไม่ได้เป็ถ้ำมองเสียหน่อย ในที่ที่พวกเขาเคยอยู่นั้น ล้วนแล้วแต่สกปรกเกินไปสำหรับข้า ข้าจึงกลับมาที่วัง”
“เป็ไปไม่ได้” ฮองเอาตู้กัดริมฝีปากสีแดงแน่น “ิเยวี่ยไม่ทางทำอะไรที่น่ารังเกียจเช่นนี้ องค์หญิงใหญ่ เ้ามีหลักฐานเกี่ยวกับเื่ที่เ้าพูดมาหรือไม่?”
“ทั้งสองเสียชีวิตทั้งที่กอดกันอยู่ ท่านยังทรง้าหลักฐานอะไรอีก? อย่างไรเสีย ข้าทูลอะไรไปพวกท่านก็ไม่เชื่ออยู่แล้ว เช่นนั้นอะไรคือเื่ไร้สาระกันแน่” ใบหน้าของชิงอีเต็มไปด้วยความหงุดหงิด “หลานชายของท่านสร้างความวุ่นวายให้กับวัง ถึงแม้ครั้งนี้ตู้ิเยวี่ยจะไม่ตาย แต่ก็ควรถูกลงโทษด้วยการปะาชีวิตอยู่ดี หรือเพราะท่านเป็ฮองเฮาเขา เลยไม่มีความผิดงั้นหรือ? แล้วการที่เขากล้าเช่นนี้ ไม่ใช่เพราะท่านที่เป็ป้ารู้เห็นเป็ใจหรือไงกัน?”
“ไทเฮาคิดว่าสิ่งที่ข้าทูลไป มีเหตุผลหรือไม่เพคะ?”
ฮองเฮาตู้เริ่มประหม่า ไทเฮาที่ประทับอยู่บนพระที่นั่งมีสีหน้าลังเล ทันใดนั้น ไทเฮาก็หลับพระเนตรลง แสดงท่าทางเหนื่อยๆ และขมวดพระขนง
“ข้าเหนื่อยแล้ว ข้าอยากจะกลับไปพักผ่อนที่วังก่อน” ไทเฮาตรัส พร้อมกับทรงลุกขึ้นและเสด็จออกไป ทว่า เมื่อผ่านมาอยู่ข้างๆ ชิงอีก็หยุดชั่วครู่ ดวงเนตรมืดมนของนางกลอกไปมาอยู่หลายครั้ง ก่อนตรัสว่า “ที่ผ่านมาเป็ข้าเองที่มองผิดไป เ้ากับแม่ของเ้าออกมาจากแม่พิมพ์เดียวกันจริงๆ”
ชิงอีจ้องนางกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉย “แก่แล้วสายตาฝ้าฟาง เป็เื่ปกติเพคะ”
กล้ามเนื้อบนพระพักตร์ของไทเฮาสั่นสะท้านอย่างรุนแรง พระนางทรงพระสรวลอย่างเ็า ก่อนจะเดินออกไปพร้อมกับเหล่าข้าหลวงที่รายล้อมพระนางไว้
หลังจากไทเฮาเสด็จไปแล้ว ฮองเฮาตู้ดูเหมือนจะหมดหนทางเล็กน้อย พระพักตร์ของพระนางหม่นลง แล้วทอดพระเนตรเซียวเจวี๋ยกับชิงอีอย่างเ็า “องค์หญิงใหญ่ช่างปากคอเราะรายเสียจริง แต่ข้าหวังว่าเซ่อเจิ้งอ๋องจะสามารถ ‘โน้มน้าว’ ขุนนางและกองทัพอย่างที่นางทำได้ในราชวงศ์ก่อนนะ”
หลังจากฮองเฮาตู้จากไป ภายในตำหนักก็เงียบลงทันใด
ชิงอีหาวและมองชายหนุ่มที่อยู่ข้างๆ จากนั้นก็ออกปากไล่แขกอย่างไร้ความปรานี “ท่านยังไม่ไปอีกหรือไง?”
เซียวเจวี๋ยมองนาง พลางยกยิ้มแลดูไม่พอใจกับการถีบหัวส่งของนาง เขาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “ช่างเป็หญิงสาวที่ไร้หัวใจนัก ใช้ประโยชน์เสร็จก็โยนทิ้งงั้นหรือ?”
ชิงอีถอนใจ “เป็ท่านที่ตามมาเอง ข้าไม่ได้ไปร้องขอให้ท่านมาเสียหน่อย”
เซียวเจวี๋ยมองนางด้วยความสนใจ “ฝั่งนั้นคงไม่ยอมวางมือเป็แน่ วันนี้เ้าทำให้ไทเฮาเคืองพระทัยอีกแล้ว ภายภาคหน้าเ้าอยู่ในวังต้องระวังตัวให้มากขึ้น”
ชิงอีสะบัดมืออย่างไม่แยแส และหาวออกมาอีกครั้ง
“หากมีเื่ใดที่เ้าแก้ไม่ได้ เ้าสามารถมาร้องขอความช่วยเหลือจากข้าได้นะ” เซียวเจวี๋ยหันกลับมากล่าวเพิ่มอีกประโยคหนึ่ง หลังจากเดินไปที่ประตู
“ร้องขอท่านงั้นหรือ?” ชิงอียกยิ้มอย่างดูถูก และพูดออกไปว่า “ปิดประตูตีแมวน่ะสิไม่ว่า!”
เซียวเจวี๋ยมองท่าทางเย่อหยิ่งของนาง แต่แทนที่จะโกรธเขากลับหัวเราะลั่น
สีหน้าของเถาเซียงและต้านเสวี่ยเต็มไปด้วยความอึดอัด พวกนางที่อยู่นอกตำหนักใกับ ‘คำพูดที่กล้าได้กล้าเสีย’ ขององค์หญิงที่กล่าวออกมาเมื่อครู่
นางคงจะโกรธทุกสิ่งอย่าง ไม่ว่าฟ้าดิน หรือจะเซ่อเจิ้งอ๋องที่ไม่ปริปาก ทั้งยังสู้หน้าไทเฮากับฮองเฮาได้อย่างหน้าตาเฉย ทำให้นางโกรธจนขาดสติถึงได้กล้าอ้าปากพูดอะไรออกไป!
หลิงเฟิงพาท่านอ๋องของเขาไปส่งที่ประตูตำหนัก แล้วกัดฟันพูดว่า “กระหม่อมยินดีกับท่านอ๋องด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“ยินดี?” เซียวเจวี๋ยด้วยความสงสัย
หลิงเฟิงแตะจมูกแล้วพูดตะกุกตะกักว่า “แหะ วันนั้นที่ท่านอ๋องได้รับการตกรางวัลบนเรือ ไม่ใช่ว่า...คนที่ทิ้งหยกแขวนในวันนั้นเป็องค์หญิงใหญ่หรือพ่ะย่ะค่ะ? ช่างเป็ความเข้าใจผิดของคนที่ยังไม่รู้จักมักคุ้นเสียจริง ไม่สิ มันต้องเป็หากมีวาสนาต่อกัน ห่างกันพันลี้ก็ยังมาพบกันต่างหาก...” หลิงเฟิงที่เอาแต่พูดเื่ไร้สาระออกมา พูดจบก็อยากจะตบปากตนเอง “อย่างไรก็ตาม ต่อไปกระหม่อมจะปรนนิบัติรับใช้ต่อองค์หญิงใหญ่ ไม่สิ! ต่อหวังเฟยในอนาคตอย่างสุดความสามารถพ่ะย่ะค่ะ!”
เซียวเจวี๋ยฟังเขาพูดจนจบด้วยสีหน้าที่ไร้อารมณ์ จากนั้นจึงทอดถอนใจ “การทิ้งเ้าไว้ในตำหนักเชียนชิว ช่างเป็การเสียเปล่าจริงๆ”
หลิงเฟิงรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนั้น “ท่านอ๋องทรงจะเรียกกระหม่อมกลับไปที่จวนอ๋องใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ?”
“ไม่” เซียวเจวี๋ยส่ายหน้า พลางมองด้วยรอยยิ้มอย่างมีเลศนัย “เ้าควรไปที่ห้องจิ้งเซิน[1]”
หลิงเฟิง :!!!
ท่านอ๋อง กระหม่อมผิดไปแล้ว! กระหม่อมไม่อยากเป็ขันทีนะพ่ะย่ะค่ะ!
****************************
[1] ห้องจิ้งเซิน คือ สถานที่ที่ทำการตัดอวัยวะเพศของขันที