ฮองเฮาตู้ถูกฝีปากของชิงอีตอกกลับมาอย่างเจ็บแสบจนหน้าชา เมื่อครู่ที่นางพูดไป เพราะตั้งใจให้เซียวเจวี๋ยได้ยิน
เท่าที่นางสังเกต ชิงอีคงจะอยู่ฝ่ายเดียวกับเซียวเจวี๋ยเรียบร้อย แถมทั้งคู่ก็ได้หมั้นหมายกันแล้ว ระดับเซียวเจวี๋ยคงไม่สนใจคนอย่างชิงอีหรอก ทว่า พวกผู้ชายล้วนรักศักดิ์ศรี หากรู้ว่าชิงอีกกับตู้ิเยวี่ยมีความสัมพันธ์คลุมเครือละก็ ย่อมรู้สึกไม่พอใจและเกลียดชิงอีเป็แน่
เพียงแต่ฮองเฮาตู้คาดไม่ถึงว่าชิงอีจะกลายเป็คนปากคอเราะรายเช่นนี้ นางนึกทบทวนว่าหลายคราแล้วที่ตนส่งคนไปยังตำหนักเชียนชิว ก็ล้วนแตกพ่ายกลับมาเสียทุกครั้ง ทำเอาอดสงสัยไม่ได้ว่าเหตุใดฉู่ชิงอีถึงได้เปลี่ยนไปราวกับคนละคน?
หากเป็เมื่อก่อน มีหรือที่นางจะกล้ามาพูดจาเช่นนี้กับตน?
ด้วยความที่ฮองเฮาตู้ไม่ได้เห็นด้วยพระเนตรของตนเอง ว่าชิงอีเป็ผู้สั่งการให้คนจัดการกับพวกฉู่มามาด้านนอกนั่น จึงคิดเช่นเดียวกับไทเฮาว่าเซียวเจวี๋ยหนุนหลังเื่นี้
มายามนี้ ดูท่าคำสั่งนั่น น่าจะเป็ความคิดของนางเสียมากกว่า!
ไทเฮาทรงฟังบทสนทนาเมื่อครู่ก็อดทอดพระเนตรไปที่ชิงอีไม่ได้ จู่ๆ ก็ทรงพยักหน้า พลางตรัสว่า “เมื่อครู่ฮองเฮาพูดจาไม่เหมาะสมก็จริง แต่นางก็เพิ่งผ่านความเ็ปจากการสูญเสียหลาน จึงอาจเผลอพลั้งปากเสียมารยาทไปบ้าง นั่นก็เป็สิ่งที่เข้าใจได้”
“ขอบพระทัยเสด็จแม่ที่เข้าใจเพคะ” ฮองเฮาตู้โค้งคำนับไทเฮา
ชิงอีมองทั้งสองนาง โดยไม่แสดงสีหน้าอะไร ทันใดนั้น นางก็ยกมือมาปิดปาก และเบือนหน้าไปอีกทาง
แล้วก็แอบหาว
เซียวเจวี๋ยที่ลอบเห็นท่าทางของนาง มุมปากของชายหนุ่มเลยยกขึ้นน้อยๆ จนเกือบจะหลุดหัวเราะออกมา
ไทเฮาเงยพระพักตร์ขึ้นมาพอดี จึงเห็นสายตาของเซียวเจวี๋ยที่มองชิงอี เสียงของพระนางเข้มขึ้น “องค์หญิงใหญ่ เมื่อครู่ฮองเฮาบอกว่าคืนนั้นเ้าก็อยู่ที่ศาลาชุนชิวด้วย ดึกดื่นเช่นนั้น ทำไมถึงไม่อยู่ที่ตำหนัก เ้าออกไปทำอะไรที่นั่นกันน่ะ?”
“หม่อมฉันคิดถึงเสด็จแม่ที่ตไปแล้ว ถึงได้ไปเดินเล่นที่นั่น หม่อมฉันทำไม่ได้หรืออย่างไรเพคะ?”
“บังอาจ! กิริยาวาจาเช่นนี้ เ้าควรกระทำกับข้างั้นหรือ?”
ยามที่ทรงได้ยินชิงอีกล่าวถึง “แม่ที่เสียไปแล้ว” สีพระพักตร์ของฮองเฮาก็บึ้งตึงขึ้นทันที แววพระเนตรอัดแน่นไปด้วยความชิงชัง ยามสายพระเนตรอยู่ที่ชิงอีก็โหมความเคียดแค้นขึ้นมาเป็เท่าทวี
“ฮ่องเต้ทรงมีรับสั่งอย่างเคร่งครัดมาั้แ่ก่อน ว่าห้ามใครเอ่ยถึงฮองเฮาองค์ก่อนอีก เสด็จแม่ของเ้า มีเพียงคนเดียวเท่านั้น!” ไทเฮาต่อว่าด้วยความพิโรธ “เป็เพราะในวัยเยาว์ไม่ได้ถูกเลี้ยงดูในวังงั้นสิ กิริยาวาจาถึงได้หยาบโลนและต่ำทรามเช่นนี้ นางกลับเข้าวังมาจนครบปีแล้ว ใครเป็ผู้สั่งสอนมารยาทและกฎต่างๆ ให้นางกัน!”
“เสด็จแม่โปรดเย็นพระทัยก่อนเถิดเพคะ” ฮองเฮาตู้รีบเอ่ย และแสร้งทำเป็จะช่วยขออภัยโทษให้ชิงอี ทว่า ั์ตากลับกำลังสะใจที่ชิงอีโดนต่อว่า ฉู่ชิงอีนี่ก็จริงๆ ดันพูดเื่ที่ไม่ควรออกมาเสียได้ นางไม่รู้หรืออย่างไร ว่าไทเฮาจงเกลียดจงชังมารดาของนางที่ตายไปแล้วเพียงใด? ยังกล้าเอ่ยเื่นี้ต่อหน้าพระพักตร์อีก?
ถึงอย่างนั้น ฮองเฮาก็ไม่ได้แสดงท่าทีอะไร และยังคงทำเหมือนว่าเป็ห่วง “องค์หญิงรีบยอมรับผิดกับไทเฮาเถอะ ข้ารู้ว่าอย่างไรเสีย ข้าก็ไม่มีวันแทนที่มารดาของเ้าได้ แต่หลายปีที่ผ่านมา ข้ามองเ้าเป็เหมือนลูกสาวแท้ๆ ของข้ามาตลอด”
พอได้ฟังคำพูดพวกนี้ ชิงอีถึงกับต้องส่งสายตาเหนื่อยหน่ายไปให้พระนาง
“นับว่าท่านเองก็รู้จักฐานะของท่านดีนี่ หากฮองเฮาไม่ต ท่านก็เป็ได้แค่นางสนม ถึงจะขึ้นมาเป็ฮองเฮาองค์ถัดไป อย่างไรก็ยังเป็รองอยู่วันยังค่ำ”
สีพระพักตร์ของฮองเฮาตู้ไม่พอใจอย่างมาก
“ต่ำทราม!” ไทเฮาพิโธอย่างหนัก “หญิงชั่ว! เ้านี่มันหญิงชั่วชัดๆ! ตอนที่ฮ่องเต้มีรับสั่งให้ตามเ้ากลับวังหลวง ข้าควรพยายามคัดค้านมากกว่านี้!”
“ผู้ที่มีความประพฤติเยี่ยงเ้าเนี่ยนะ จะคู่ควรกับเซ่อเจิ้งอ๋อง การหมั้นหมายของพวกเ้ายกเลิกไปเสียตอนนี้จะดีกว่า!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ตาของชิงอีกลับเปล่งประกายขึ้นมา
โห ฟังยายแก่นี่นั่งบ่นมาตั้งนานสองนาน เพิ่งมีประโยคนี้เนี่ยแหละที่น่าฟัง
“ย่อมได้!”
“ไม่ได้”
ทั้งสองเอ่ยปากพร้อมกัน แต่ความหมายกลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ไทเฮาและฮองเฮาต่างตะลึงงันไปชั่วขณะ
ช่างไม่น่าเชื่อที่คำว่า “ไม่ได้” นั่นจะออกมาจากปากของเซียวเจวี๋ย!
“เซ่อเจิ้งอ๋อง?” ไทเฮาทอดพระเนตรไปที่เซียวเจวี๋ยด้วยความฉงน ไหนว่าเขากลับมาเมืองหลวงครั้งนี้ก็เพื่อปฏิเสธการหมั้นมิใช่หรือ? ทำไมตอนนี้ถึงไม่ยินยอมถอนหมั้นกันล่ะ
“ขอไทเฮาโปรดอภัยพ่ะย่ะค่ะ” เซียวเจวี๋ยมีสีหน้าเรียบเฉย ทว่า ั์ตาคู่นั้นช่างดูลึกล้ำ จนผู้อื่นมิอาจคาดเดาความคิดที่แท้จริงของเขาได้ “การหมั้นหมายครั้งนี้เป็ราชโองการของฝ่าา หากจะยกเลิก ก็ควรรอให้ฝ่าาทรงฟื้นขึ้นมาถอนรับสั่ง จึงจะยกเลิกได้พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อม แม้จะมิได้เก่งกาจนัก แต่การแต่งงานถือเป็เื่สำคัญ ไม่อาจทำเหมือนว่าเด็กเล่นขายของเช่นนี้ได้”
ทั้งที่เป็การพูดออกมาด้วยท่าทีนิ่งเฉย ทว่า สุรเสียงกลับเหมือนมีคนมาตีกลองดังลั่นที่ข้างหูก็ไม่ปาน ทั้งยังบีบคั้นหัวใจของผู้ฟังเป็อย่างยิ่ง
ไทเฮามีสีพระพักตร์เคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อย พระนางทรงหลับตาลง พลางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วค่อยตรัสขึ้นมาว่า “เื่นี้ข้าคิดไม่รอบเอง เื่การหมั้นค่อยมาว่ากันอีกทีก็แล้วกัน แต่เื่กิริยามารยาทอันไม่สมควรขององค์หญิงใหญ่ ทั้งเื่ที่เกี่ยวเนื่องกับคดีฆาตกรรมนั่น นางต้อง...”
“คืนนั้นองค์หญิงใหญ่อยู่กับกระหม่อมเองพ่ะย่ะค่ะ”
เซียวเจวี๋ยทำเหมือนว่าหากผู้คนรอบข้างยังตกตะลึงไม่พอ เขาจะพูดย้ำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ
บรรยากาศภายในตำหนักยิ่งพิลึกพิลั่นเข้าไปอีก ชิงอีชายตามองชายหนุ่มอย่างขี้คร้าน พร้อมกับมุมปากที่ยกขึ้น จนมีส่วนโค้งเล็กน้อย
วินาทีนั้น ลมหายใจของฮองเฮาตู้เริ่มไม่สม่ำเสมอ และจับจ้องเซียวเจวี๋ยอย่างไม่ละสายตา “เซ่อเจิ้งอ๋อง คืนนั้นท่านอยู่กับองค์รัชทายาทนี่ ไม่มีผู้ใดสามารถยืนยันได้ว่าท่านได้เจอกับองค์หญิงใหญ่!”
“ฮองเฮาก็ตรัสเองว่าในคืนนั้น ใกล้กับศาลาชุนชิว องค์รัชทายาททรงอยู่ที่นั่นด้วย จึงเป็พยานได้ว่ากระหม่อมเจอกับองค์หญิงใหญ่ เพียงแต่หลังจากนั้นก็เกิดเื่ขึ้น องค์หญิงใหญ่เลยเสด็จกลับไปก่อน เลยมิได้ไปทอดพระเนตรร่วมกับกระหม่อมและองค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ”
ฮองเฮาตู้ได้ยินเช่นนั้น พระนางก็ยังคงไม่ย่อท้อ แล้วแกล้งทำหน้าฉงน และตรัสถามต่อว่า “เช่นนั้นก็น่าแปลก เมื่อคืนเซ่อเจิ้งอ๋องยังสั่งให้คนคุมตัวหวังซุ่นไปยังกรมอาญาอยู่เลย ทั้งยังกล่าวหาว่าเขา้าฆ่าคนปิดปากอีก คำพูดนั่นหมายความว่าองค์หญิงใหญ่เกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของิเยวี่ย ทว่า ทำไมตอนนี้กลับพยายามบอกว่านางไม่เกี่ยวข้องกันล่ะ?”
“เกรงว่าข่าวที่ฮองเฮาทรงทราบจะผิดพลาดนะพ่ะย่ะค่ะ ถึงทรงเข้าใจคำพูดของกระหม่อมผิดไป เมื่อคืนนี้กระหม่อมพูดว่า องค์หญิงใหญ่ก็อยู่ในที่เกิดเหตุ แล้วเห็นเหตุการณ์ แต่ไม่เคยกล่าวว่านางเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของตู้ิเยวี่ยเลยพ่ะย่ะค่ะ” เซียวเจวี๋ยพูดอย่างยี่หระ
“เหลวไหล!” ฮองเฮาตู้ขึ้นเสียง แต่พริบตาเดียวก็กลับมาวางท่าทีสงบอีกครั้ง ทว่า น้ำเสียงเข้มขึ้นกว่าเดิมมาก “หากเป็ดั่งที่เซ่อเจิ้งอ๋องกล่าวว่าก่อนหน้านั้น ท่านและองค์รัชทายาทอยู่กับนางตลอด เช่นนั้นพวกท่านก็ต้องเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยสิ? ในเมื่อเห็นเหตุการณ์แล้วยังจำเป็จะต้องตรวจสอบอะไรอีก? บอกว่าฆ่าตัวตาย แล้วปิดบังเื่นี้ เซ่อเจิ้งอ๋องไม่รู้สึกว่าคำพูดตัวเองดูขัดแย้งกันงั้นหรือ?”
พอฮองเฮาตู้ตรัสเสร็จ ชิงอีก็ส่งเสียงดัง “พรืด” ออกมา นางปิดปากหัวเราะ ส่วนั์ตาเต็มไปด้วยความเยาะเย้ย
“องค์หญิงใหญ่หัวเราะอะไร?” ฮองเฮาตู้หันไปมองนางด้วยสีหน้าไม่พอใจ
ชิงอีเห็นพระนางเปลี่ยนสีหน้าไปมาก็คิดว่า ผู้หญิงคนนี้เสแสร้งไม่รู้จักเหนื่อยเลยหรือ นางยื่นมือออกมาพลางชี้ไปยังข้างกาย “ความจำไม่ดีแล้ว หูก็ยังเพี้ยนด้วยงั้นหรือ ชายผู้นี้บอกว่าเป็การ ‘ฆ่าตัวตาย’ ั้แ่เมื่อไร เขาแค่บอกว่าไม่ได้ตาย เพราะถูกฆาตกรรม ฉะนั้น อาจตายจากการโดนวางยาพิษ หรือไม่แน่อาจเป็เพราะกำลังพลอดรักกันอย่างมัวเมา เลยไม่ทันระวัง พลัดตกลงไปในแม่น้ำ และจมน้ำตายก็เป็ไปได้”
พูดถึงตรงนี้ เห็นได้ชัดว่าฮองเฮาตู้แทบเก็บสีหน้าเอาไว้ไม่อยู่
“หยุดเดี๋ยวนี้ พอได้แล้ว” ไทเฮาที่ฟังมานานก็ทนไม่ไหวเช่นกัน มองไปยังเซียวเจวี๋ย “เซ่อเจิ้งอ๋อง เื่นี้เกี่ยวพันกับราชสำนักและวังหลัง การที่ท่านลำเอียงเช่นนี้จะให้พวกข้ายอมรับได้ยังไง ข้าว่าในเมื่อองค์หญิงใหญ่เกี่ยวข้องกับเื่นี้ งั้นก็ส่งตัวนางให้ข้าเป็คนตรวจสอบคดีนี้เองก็แล้วกัน ท่านสนใจแค่เื่ทางฝั่งราชสำนักก็พอ”
หลังจากที่ไทเฮาพูดจบ ั์ตาของฮองเฮาตู้ก็เป็ประกายขึ้น
ชิงอีกลอกตาเล็กน้อย แล้วยังคงนิ่งไม่ขยับเขยื้อน มีเพียงแค่ใบหน้าของนางที่แสดงออกถึงความเย้ยหยันและประชดระคนกันไป
“เซ่อเจิ้งอ๋อง ท่านคิดว่าอย่างไร?” ไทเฮาที่เห็นเซียวเจวี๋ยไม่ตอบกลับสักที เริ่มมองไปที่เขาอย่างไม่พอใจ
“ไม่มีความคิดเห็นอะไรพ่ะย่ะค่ะ” เซียวเจวี๋ยเอามือทั้งสองข้างไพล่หลัง “ในเมื่อข้าบอกว่านางไม่มีความผิด ก็ย่อมไม่มีความผิด”