ณ เวลานี้ พูดได้ว่าเมืองที่มีชีวิตชีวาที่สุดก็คือเมืองอันหวา ่หลายวันนี้ มีงานประมูลครั้งใหญ่ ซึ่งในงานประมูลยังปรากฏม้ามืดที่แย่งชิงของประมูลจากองค์ชายสามสุ่ยเย่ว์หรูหวา ว่าที่จักรพรรดิในอนาคตของจักรวรรดิสุ่ยเย่ว์ ม้ามืดใช้เงินมหาศาลในงานประมูล จนผู้ชมต่างตะลึงงัน
จุนห่าวมีชื่อเสียงในงานประมูลจนกลายเป็ม้ามืด และเป็หนึ่งในข่าวเลื่องลือของเมืองอันหวาใน่เวลานี้ สิ่งที่เป็ข่าวเลื่องลือของเมืองอันหวาอันดับสองก็คือ เทือกเขาอู๋หยิน มีผลไม้ชิงลัวที่ใกล้จะสุกงอมเกิดขึ้น ซึ่งอยู่ในเขตอิทธิพลของเมืองอันหวา
ณ โรงน้ำชา บทสนทนาดังกล่าวได้ยินทั่วทุกระแหง “เฮ้ เ้าได้ข่าวหรือไม่? งานประมูลครั้งนี้มีม้ามืดปรากฏตัวขึ้น ทุกครั้งจะเรียกราคาสูงลิ่ว ทั้งยังแย่งองค์ชายสามประมูลของไปจำนวนมาก ต่อให้มิได้แย่ง แต่ก็ขูดเืขูดเนื้อองค์ชายสามเืเหลือเกิน ได้ยินว่าองค์ชายสามโกรธจนหน้าเขียวปั๊ด”
“ข้าก็ได้ยินเช่นกัน ได้ยินว่าเขาตั้งใจแย่งชิงกับองค์ชายสามโดยเฉพาะ”
“เ้าว่าองค์ชายสามจะวางแผนล้างแค้นไหม องค์ชายสามมีอำนาจมากที่สุดในอาณาจักรสุ่ยเย่ว์ ม้ามืดผู้นี้ทำให้เขาเสียหน้าขนาดนี้ ช่างใจกล้าบ้าบิ่นนัก”
“ก็พูดยาก เห็นองค์ชายสามอ่อนโยนเสมอ คงไม่คิดวางแผนล้างแค้นหรอก”
“ก็ไม่แน่นะ รู้หน้าไม่รู้ใจ ได้ยินว่าองค์ชายสาม ก็มิใช่อ่อนโยนอย่างที่เห็น กับผู้ใต้บังคับบัญชาโเี้ยิ่งนัก”
“ชู่ เ้าระวังหน่อย ที่นี่มีคนมากย่อมปากสว่างได้ หากใครได้ยินเ้าพูดถึงองค์ชายสามในทางไม่ดีเช่นนี้ จะแย่เอา”
“ความคิดของคนใหญ่คนโตเป็สิ่งที่คาดเดายากที่สุด ตอนนี้คนของเขาคงกำลังตามจับม้ามืดผู้นั้นก็เป็ได้ การแย่งซีนเช่นนั้นไม่ดีแน่ คนผู้นั้นอวดเก่งเกินไป”
“อวดเก่งที่กล้าตั้งตนเป็ศัตรูกับองค์ชายสามหรือ? ทุกคนต่างคิดว่าช่างบ้าบิ่นยิ่งนัก และรอดูเื่น่าขบขันของม้ามืดผู้นั้นอยู่ คิดไม่ถึงว่า เขาจะซ่อนตัวและปิดบังตัวตนได้อย่างมิดชิด หลังจากที่ใช้เงินฟูมฟายในงานประมูล และจ่ายเงินทั้งหมดไป ของประมูลจำนวนมากก็จากไป การที่องค์ชายสามจะจับตัวได้คงมิใช่เื่ง่าย”
“ใช่ ถูกของเ้า ในเมื่อเขากล้าบ้าบิ่นเช่นนั้น คงคิดทางหนีทีไล่ไว้ดีแล้ว”
“เลิกพูดเื่นี้เถอะ ได้ยินว่าเทือกเขาอู๋หยินมีผลไม้ชิงลัวใกล้สุกงอมหรือ? เป็โอกาสและโชคชะตาที่หามิได้ในรอบ 100 ปี ทีเดียวเชียว”
“เป็มากกว่าโอกาสและโชคชะตาที่หามิได้ในรอบ 100 ปีเสียอีก ได้ยินว่า ผลไม้ชิงลัวใช้เวลาผลิบานเป็เวลา 300 ปี ออกผล 300 ปี และสุกงอมอีก 300 ปี ได้ยินว่านักพรตที่ได้กินมัน จะได้เลื่อนขั้นหนึ่งขั้นทันที ลมปราณขั้นสิบเอ็ดจะเลื่อนสู่ขั้นสิบสอง แน่นอนว่า หากลมปราณขั้นที่หนึ่งได้กิน ก็จะเลื่อนขั้นสู่ลมปราณขั้นที่สองเช่นกัน แต่น่าเสียดายนัก ที่ของมีค่าเช่นนี้ มีเพียงโอกาสเดียวเท่านั้น ได้ยินว่า คนที่เข้าร่วมงานประมูลแห่ไปเทือกเขาอู๋หยิน ตระกูลใหญ่ต่างส่งยอดฝีมือมือดีที่สุดไปบัญชาการด้วยตัวเอง”
“ถ้าอย่างนั้น เหตุใดเ้ายังนั่งดื่มชาอยู่ที่นี่ล่ะ โอกาสและโชคชะตาที่หายากเช่นนี้ เหตุใดถึงไม่คว้ามัน”
“ข้าไม่ชอบความวุ่นวาย พลังปราณของข้าก็ต่ำ ถึงไปก็เป็เพียงคนไร้ค่า ข้ายังอยากมีชีวิตอยู่ ข้าว่าน้องชายมีพลังปราณไม่เลว น่าจะอยากไปใช่ไหม”
“รอให้ผ่านไปหลายวันก่อน ข้าค่อยไปดูความคึกคักที่นั่น พลังปราณของข้ายังไม่มากพอ ข้าแค่อยากไปดูความคึกคัก”
“ถ้าอย่างนั้น น้องชาย ข้าคงรอข่าวดีอยู่ตรงนี้ ขออวยพรให้หนทางเบื้องหน้ามีแต่ความสว่างสุกใส”
“ท่านว่าม้ามืดผู้นั้นจะไปไหม?”
“ก็พูดยาก”
หานเฉินนั่งอยู่ในโรงน้ำชาพลางฟังเสียงซุบซิบอย่างเพลิดเพลิน หน้าบึ้งตึงครู่หนึ่ง ครุ่นคิดพร้อมส่ายหัว คิดในใจ คราวนี้จุนห่าวแย่งซีนจนดังเสียแล้ว โชคดีที่ไม่มีใครล่วงรู้ว่าม้ามืดที่ซุบซิบนินทานั้นคือจุนห่าว มิเช่นนั้นจุนห่าวคงถูกผู้คนปล้นสะดมเป็แน่ หากเป็เช่นนั้น หานรุ่ยจะซวยไปด้วย น้องเขยที่ไม่เคยพบกันผู้นี้ถือได้ว่ามีความสามารถอยู่บ้าง อย่างน้อยที่สุดคือมีเงิน เห็นทีสายตาของท่านปู่ก็มิได้เลวร้ายอะไรนัก
“นายน้อย ท่านว่าตอนนี้ม้ามืดผู้นั้นอยู่ที่ใด?” จินหยวนพูดกับหานเฉินอย่างอยากรู้อยากเห็น
“ข้าจะรู้ได้ยังไงล่ะ นายน้อยอย่างข้าก็มิอาจล่วงรู้อนาคตได้หรอกนะ ไม่ว่าอยู่ที่ใด ยังไงก็ไม่เกี่ยวกับเรา” หานเฉินพูดพร้อมปัดมือของเขาอย่างไม่แยแส คิดในใจ เขาก็อยากรู้ว่าม้ามืดนั้นอยู่ที่ใด ครั้งก่อนเขารีบหนี จึงไม่มีเวลาพูดอะไรกับหานรุ่ย เหตุผลหลักคือ เวลาและสถานที่ไม่เหมาะสม เวลานั้นเขาไม่้าให้หานรุ่ยเข้ามาเกี่ยวข้องกับการต่อสู้ระหว่างตระกูลหานกับราชวงศ์
“นายน้อย แล้วกุญแจสู่ซากวัตถุโบราณที่ม้ามืดได้ไปถึงสองดอกล่ะ? อย่าบอกนะว่าท่านไม่อยากได้?” จินหยวนกระซิบหานเฉิน
หานเฉินปัดมือซ้ายของจินหยวนออกแล้วพูดอย่างติเตียนว่า “อยู่ให้ห่างข้าหน่อย อย่าให้ผู้อื่นคิดว่าข้าชอบเื่แบบนี้ นายน้อยของเ้ายังไม่แต่งงานนะ ไม่อยากให้เสียชื่อเสียง”
จินหยวน : ...... คิดในใจ แม้ว่านายน้อยจะรูปงาม ทว่าเขาก็เป็ชาย มิได้มีชอบประเภทนี้ ที่เขาชอบคือหญิงสาวและซวงเอ๋อร์ที่น่าทะนุถนอม
หานเฉินพูดจบ หยุดสักครู่ และพูดกับจินหยวนอย่างไม่ยินดีนักว่า “เ้าคิดว่าข้าเป็คนประเภทเห็นแก่เงินหรือ? ข้าเป็คนซื่อตรง เหตุใดจะทำเื่โจรกรรมเยี่ยงนั้นได้” คิดในใจ หากใครมีกุญแจสองดอก เขาจะไม่ทุ่มเงินทั้งหมดเพื่อแย่งชิงหรอก อันที่จริงตระกูลใหญ่อีกสามตระกูลต่างมีกันคนละดอก ตระกูลหานของพวกเขาไม่มี จึงไม่มีเกี่ยวข้องอันใดกับซากวัตถุโบราณ
แม้ว่าจะมีอันตรายมากมายในซากวัตถุโบราณ ทว่าอันตรายและโอกาสเป็ของคู่กัน ยิ่งมีอันตรายมาก ย่อมมีโอกาสมาก ผู้คนที่ออกจากดินแดนลับของซากวัตถุโบราณได้ ต่างได้รับประโยชน์มากมาย แน่นอนว่า ก็มีคนที่โชคร้าย อย่างหานรุ่ยเมื่อสามปีก่อน ไม่ได้รับประโยชน์ใดๆ ทั้งยังสูญเสียพลังปราณ หานเฉินคิดว่า เป็เพราะองค์ชายสามเ้าสารเลวนั่น ที่ทำให้หานรุ่ยสูญเสียอนาคต แต่บัดนี้ กุญแจทั้งสองดอกตกอยู่ในมือของจุนห่าว ก็ถือว่าอยู่ในมือของหานรุ่ยเช่นกัน เขาจะแย่งชิงของของน้องชายได้อย่างไร
“เป็เพราะข้าใช้น้ำใจคนต่ำต้อยมาประเมินวิญญูชน ท่านเป็คนดีที่มีจิติญญาสูงส่งนัก” จินหยวนพูดอย่างเลียแข้งเลียขาแต่แอบกลอกตา คิดในใจ หากนายน้อยของเขาเป็คนดีจริงๆ บนโลกนี้คงไม่มีคนเลวแล้ว พูดแล้วก็ช่างแปลกนัก เหตุใดครั้งนี้นายน้อยของเขาไม่คิดจะปล้นสะดมสักนิด นายน้อยเสียใจเกินไปจนเป็ไปได้ว่ากลับเนื้อกลับตัว? คิดถึงเื่นี้ เขามองหานเฉินด้วยสายตาแปลกประหลาด หานเฉินเห็นสายตาแปลกประหลาดของจินหยวน จึงเลิกคิ้วและพูดอย่างไม่พอใจว่า “สายตาอะไรของเ้า?”
“สายตาของข้ากำลังชื่นชมนายน้อยอยู่” จินหยวนพูดอย่างชาญฉลาด เขาเติบโตมากับหานเฉิน ทั้งสองคนมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้น ดังนั้นเขาจึงกล้าพูดกับหานเฉินเช่นนี้
หานเฉิน : ...... คิดในใจ จินหยวนคิดว่าเขาโง่เง่าหรือ? ดูก็รู้ว่าเป็สายตาที่สงสัยในตัวเขา แต่พูดให้เป็สายตาที่ชื่นชมเขาไปได้ ความสามารถในการพูดไร้สาระเื่สายตาของจินหยวนเก่งกล้าขึ้นเรื่อยๆ เขาขอคารวะ
จินหยวนรู้ว่าหานเฉินไม่เชื่อเขา เขายิ้มให้หานเฉินอย่างอายๆ จากนั้นก็พูดว่า “นายน้อย ท่านว่าตระกูลหยุนจะมีที่เหลือให้กับตระกูลหานเข้าไปในซากวัตถุโบราณบ้างไหม?”
หานเฉินยิ้มและพูดว่า “ข้าก็ไม่รู้” คิดในใจ หากเป็ยามที่ตระกูลหานของเขายังแข็งแกร่ง ตระกูลหยุนต้องยอมให้โควต้าอย่างแน่นอน ยามนี้ตระกูลหานของเขาอยู่กับความขัดแย้ง สูญเสียท่านพ่อและท่านลุงรอง ทัศนคติของตระกูลหยุนที่มีต่อตระกูลหานคงมิใช่เื่ง่ายที่จะพูด
หลังจากท่านปู่อายุได้ 100 ปี พวกเขาก็เหลือเพียงรุ่นหลานไม่กี่คน ต่อให้พวกเขาจะเป็อัจฉริยะ แต่ก็ไม่มีทางมีพลังปราณถึงขั้นสิบสองระดับปลายในฉับพลัน พวกเขายัง้าเวลา สิ่งที่พวกเขาขาดในขณะนี้คือเวลา ราชวงศ์กำลังจับจ้อง และคิดจะยึดอำนาจทางทหารของตระกูลหาน ส่วนบุตรของตระกูลหานก็ถูกมองว่ากำลังเคลื่อนไหวก่อฏ คิดจะเป็ใหญ่ซะเอง คิดถึงสิ่งเหล่านี้ หานเฉินก็ปวดหัว เขาชื่นชมตัวเขาเองที่ยามนี้ยังมีกระจิตกระใจฟังเื่ซุบซิบนินทา แต่ก็อย่างที่จินหยวนว่า ที่ทำอยู่คือการสืบข่าว
หานเฉินครุ่นคิดและพูดกับจินหยวนว่า “ยามนี้ตระกูลหานของเรามีเื่มากมาย ว่ากันว่า มันง่ายที่จะปักลวดลายดอกไม้บนผ้า หรือส่งถ่านยังที่ที่มีหิมะเพื่อให้ผู้คนอุ่น จะเห็นน้ำจิตน้ำใจกันก็ตอนตกทุกข์ได้ยากนี่แหละ เ้าว่าตระกูลหยุนจะส่งถ่านให้เราในยามที่มีหิมะไหม?”
จินหยวนขมวดคิ้วและพูดว่า “เื่นี้ก็พูดยาก” จากนั้นเขาก็หยุดและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “นายน้อย การไม่มีที่เหลือก็เป็เื่ที่ดีนะ ซากวัตถุโบราณแสนจะอันตราย ได้เข้าไปก็มิใช่จะเื่ดี บางทีหลังจากอัจฉริยะของตระกูลอื่นเข้าไป และหากกองกำลังทั้งหมดถูกกวาดล้าง ตระกูลหานของเราคงคลายความกังวลได้เยอะมิใช่หรือ?”
หานเฉินตบไหล่จินหยวนแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เ้าช่างกล้านัก กล้าที่จะคิดเช่นนี้ หากตระกูลใหญ่อื่นๆ มาได้ยินเข้า คงอยากกินเืกินเนื้อเ้า และหักกระดูกเ้าให้แตกเป็เสี่ยงๆ”
ฟังคำของหานเฉิน จินหยวนมองไปรอบๆ ไม่พบใครมองมาทางเขา จึงพูดกับหานเฉินอย่างยิ้มๆ ว่า “มีนายน้อยคุ้มครองข้ามิใช่หรือ? ที่ข้าพูดเพราะเป็ห่วงนายน้อย”
หานเฉินไม่หลงเชื่อจินหยวน เขายังคงปัดมือพร้อมขมวดคิ้ว และพูดอย่างเดือดดาลว่า “ความกล้าของเ้านั้นช่างมีมากเหลือเกิน ไหล่เล็กๆ บางๆ ของข้า คงแบกเ้าไม่ไหวหรอก”
จินหยวนกล่าวว่า “นายน้อย ไหล่ของท่านหนากว้างยิ่งนัก การแบกข้าเป็เื่เล็ก มิใช่ปัญหา”
หานเฉินเลิกคิ้วแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เ้าเชื่อใจนายน้อยอย่างข้านัก คำพูดของเ้าแม้ข้าจะชอบฟัง แต่ทว่า คงมีสักวันที่คงถูกตามล่าจากตระกูลใหญ่ แต่ยังไงนายน้อยอย่างข้าจะปกป้องเ้าแน่นอน”
จินหยวน : ...... เป็เ้านายที่พูดกับคนรับใช้ได้ลึกซึ้งนัก
จินหยวนเห็นว่าหานเฉินมิได้ขมวดคิ้วอย่างหลายวันก่อนหน้านี้แล้ว จึงพูดกับหานเฉินว่า “นายน้อย อารมณ์ดีขึ้นแล้วหรอใช่ไหม?”
หานเฉินยิ้มๆ และเอ่ยว่า “ข้าอารมณ์ดีอยู่ตลอดนะ” คิดในใจ อารมณ์ไม่ดีได้ด้วยหรอ? เห็นองค์ชายสามโชคร้าย เขาก็มีความสุขแล้ว
จินหยวนคิดในใจ คนหลอกลวง ไม่กี่วันที่ผ่านมา เห็นกันอยู่ว่าอารมณ์เศร้าหมอง จินหยวนไม่อยากจะพูดเื่นี้ต่อ จึงเปลี่ยนหัวข้อและพูดว่า “นายน้อย เราไม่ไปเทือกเขาอู๋หยินกันหรือ?”
“ไป เ้ารีบอะไร ผู้ยิ่งใหญ่มักจะมาถึงหลังสุด เรารอก่อน” หานเฉินกล่าว คิดในใจ มีแค่เขาและหยวนจินสองคนที่ไป ไปถึงตรงนั้นคงเป็ห่าะุปืน ไม่กี่วันที่ผ่านมา เขาให้ผู้ติดตามของเขาไปส่งคนที่ได้ถือกุญแจของตระกูลหยุน แต่เขายังอยู่ เพื่อดูว่าเขาจะได้พบกับหานรุ่ยหรือไม่ ทว่าก็มิได้พบ บัดนี้ยอดฝีมือของท่านปู่มีไม่มากแล้ว ซึ่งยอดฝีมือเ่าั้เป็ความลับของท่านปู่ ท่านปู่จะไม่ยอมให้พวกเขาเสียสละตนเองเพื่อต่อสู้แย่งชิงผลไม้ชิงลัวแน่ เหตุนี้ ผู้คนจากตระกูลหานที่ไป มิใช่พวกเขา ดังนั้น เขาไม่ได้รับคำสั่งให้ไป จึงไม่รีบไปที่นั่น
“ที่นายน้อยพูดก็ถูก ยังหนุ่มยังแน่นเช่นท่าน ผู้ยิ่งใหญ่ที่รอบรู้ทันเหตุการณ์จะมาในท้ายที่สุด” จินหยวนพูดโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า
หานเฉิน : เ้านี่ปากเหวานขึ้นเรื่อยๆ แต่ข้าก็ชอบฟัง
ตอนที่หานเฉินซุบซิบกับคนรับใช้ในโรงน้ำชา ผู้คนจากทุกสารทิศต่างมากันที่เทือกเขาอู๋หยิน และผู้คนก็แห่มายังเทือกเขาอู๋หยินมากขึ้นเรื่อยๆ
