กลิ่นคาวเืคละคลุ้งไปทั่วทั้งห้อง ร่างไร้ิญญาที่ถูกชโลมด้วยโลหิตสีแดงฉานมากมายชวนให้รู้สึกคลื่นเหียนอยู่ไม่น้อยแก่ผู้พบเห็น แต่ด้วยทุกคนในที่นี้ต่างโลดแล่นอยู่ในเส้นทางของผู้ฝึกตนเป็เวลาหลายปี ดังนั้นย่อมเคยพบเจอเหตุการณ์ฆ่าฟันเช่นนี้ทั้งสิ้น ที่น่าแปลกใจคือหนิงอ้ายที่เป็ผู้ลงมือกระทำนั้นกลับไร้ความใราวกับว่านี่เป็สิ่งที่คุ้นชินเสียอย่างนั้น
''นักฆ่าเหล่านี้แม้จะเป็ร่างไร้ิญญาไปแล้วก็จริง แต่อย่างไรขึ้นชื่อว่าผู้ฝึกตนย่อมมีพลังลมปราณไหลเวียนอยู่ในจุดชีพจรทั่วทั้งร่างกายที่ไม่แตกต่างไปจากสัตว์อสูร หากปล่อยทิ้งเอาไว้เช่นนี้คงเสียเปล่าเป็แน่ เช่นนั้นข้าจะนำร่างไร้ิญญาของนักฆ่าเหล่านี้ให้กับเจียวซิ่นขอรับ...''
แม้ว่าสิ่งที่หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นมาจะชวนให้ตกตะลึงในความรู้สึก เพราะการที่สัตว์อสูรในพันธะสามารถดูดซับลมปราณจากร่างไร้ิญญาของสัตว์อสูรนั้นไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน แล้วยิ่งกับร่างไร้ิญญาของผู้ฝึกตนเช่นนี้ย่อมไม่เคยมีผู้ใดกระทำทั้งสิ้น แต่ถึงอย่างไรคำกล่าวของหนิงอ้ายก็ไม่มีผิดถูกเช่นกัน
หวังฮุ่ยได้สั่งการองครักษ์ทั้งสามให้แยกย้ายกันไปเก็บกวาดร่างไร้ิญญาของนักฆ่าสังหารที่นับดูแล้วมีจำนวนมากถึงสิบร่างเลยทีเดียวก่อนที่จะรวบรวมไว้ตรงบริเวณด้านข้างของเรือน บ่าวรับใช้ที่เหลือต่างรีบเร่งทำความสะอาดและสำรวจความเสียหายที่เกิดขึ้น เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นเรียบร้อยจึงได้แยกย้ายกันไปพักผ่อนเพราะล่วงเลยเวลามามากแล้ว
''คุณชายจะจัดการร่างไร้ิญญาของนักฆ่าสังหารเหล่านี้อย่างไรดีขอรับ?'' ลู่ซีถามออกมา
วูบ!
มหาพฤกษารัตนะทมิฬสัตว์อสูรในพันธะของหนิงอ้ายได้ปรากฏขึ้นอีกครั้ง ด้วยตอนนี้หนิงอ้ายเป็ถึงราชทินนามจักรพรรดิิญญาขั้นสามัญแล้ว ดังนั้นเจียวซิ่นที่เป็สัตว์อสูรในพันธะจึงถือได้ว่าเป็สัตว์อสูรที่นับว่าเป็การพัฒนาก้าวะโเลยทีเดียว รูปลักษณ์จำแลงของอีกฝ่ายตอนนี้ไม่ต่างไปจากต้นไม้โบราณที่ยังคงไร้ซึ่งใบเช่นเดิมเพียงแต่มีลวดลายสีแดงคล้ำสีเขียวเข้มสลับไปมา เมื่อเทียบกับครั้งแรกที่ได้พบเจอกันในตอนนี้ผิวส่วนเปลือกด้านนอกเป็สีน้ำตาลดำสนิทหาได้เหมือนตอนนี้ไม่
''จัดการได้เลยนะเจียวซิ่น...''
สิ้นเสียงของหนิงอ้าย บริเวณโดยรอบส่วนโคนต้นของอสูรมหาพฤกษารัตนะทมิฬได้ปรากฏเป็กับดักบุปผามรณะสีแดงเืนี้มีรูปลักษณ์คล้ายกับแจกันทรงสูงมีฝาปิด รยางค์สีเขียวเข้มยืดยาวทำหน้าที่ไม่ต่างแขนขาที่จับร่างไร้ิญญาเข้าไปยังส่วนด้านในที่มีของเหลวไว้สำหรับดูดซึมโดยเฉพาะ ใช้เวลาเพียงไม่นานร่างไร้ิญญานับสิบร่างได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยไร้ซึ่งเสียงใดให้รับรู้ราวกับเป็ความตายอันสงบยิ่ง ไม่คาดคิดว่าอสูรสังกัดปราณธาตุไม้ที่เกิดการกลายพันธ์จะสามารถทำเช่นนี้ได้
''ขอบใจมากนะเจียวซิ่น เ้ากลับเข้าไปพักผ่อนเสียเถอะ!'' หนิงอ้ายลูบอีกฝ่ายไปเบา ๆ ก่อนที่ร่างจำแลงนี้จะหายเข้าไปในมิติจิต
วูบ!
''ข้าว่าคุณชายกลับเข้าเรือนไปอาบน้ำชำระร่างกายก่อนดีกว่าขอรับ นี่ก็เป็เวลาดึกมากแล้ว...''
''เช่นนั้นรบกวนท่านลุงฮุ่ยเฝ้าระวังในคืนนี้ด้วยนะขอรับ เผื่อพวกมันอีกกลุ่มจะย้อนกลับมา'' หนิงอ้ายหันหน้าบอกกับหวังฮุ่ยที่ยืนอยู่ด้านข้าง ก่อนที่จะเดินตามลู่ซีกลับเข้าไปในเรือนไปในทันที...
แสงแดดสะท้อนเป็ประกายระยิบระยับ สายลมอ่อนพัดเฉื่อยตลบอบอวนไปด้วยกลิ่นหอมจากดอกไม้นานาชนิด เสียงนกและแมลงตัวเล็ก ๆ ต่างขับขานเป็ท่วงทำนองไพเราะเสนาะหู เขาััได้ว่าเยว่ซินผู้เป็มารดามีเื่ราวอึดอัดอยู่ภายในใจเป็อย่างมากเเต่นางเลือกที่จะไม่เอ่ยอันใดออกมา หลังจากทานมื้อเช้าเสร็จสิ้นหนิงอ้ายจึงชวนลู่ซีไปยังลานฝึกตรงป่าไผ่หลังเรือน ด้วยเพราะรับรู้ได้ว่ามารดาคงมีเื่พูดคุยปรึกษาที่เขาไม่อาจอยู่รับฟังได้ตอนนี้
หนิงอ้ายมุ่งตรงไปยังบริเวณส่วนด้านของหลังเรือนเล็ก ที่ตอนนี้ถูกปรับเปลี่ยนเป็ลานกว้างสำหรับฝึกฝนวรยุทธ ด้วยสภาพโดยรอบโอบล้อมไปด้วยป่าไผ่เรียงรายเป็ซุ้มสวยงามร่มรื่น อากาศเต็มไปด้วยพลังลมปราณฟ้าดินอันบริสุทธิ์ไหลเวียนหนาแน่นกว่าบริเวณอื่นในจวนตระกูลจางด้วยเพราะแรงหนุนจากจี้หยกโลหิตที่หนิงอ้ายสวมใส่อยู่ตลอดเวลานั่นเอง
นอกจากนี้หนิงอ้ายยังทำที่ออกกำลังเองโดยเลียนแบบจากโลกเดิม ทางซ้ายมือของลานฝึกเขาได้จัดการขุดหลุมฝังเสาไม้ที่มีความสูงลดหลั่นกันมาวางเรียงเป็ทางยาว ้าพาดด้วยไม้เนื้อดียาวไปตามแนวเสา ทางขวางได้วางไม้ลักษณะคล้ายกับบันไดไว้สำหรับการออกกำลังแขนคล้ายกับบาร์โหนเพื่อเพิ่มความแข็งแรงและยืดหยุ่น อีกด้านหนึ่งได้ทำการปักเสาขนาดใหญ่ข้างลานฝึกด้านขวาหลายต้นโดย้าจะถูกเจาะรูเพื่อเสียบไม้เนื้อดีทนทานและแขวนถุงผ้าที่ห่อหุ้มหนาหลายชั้นด้านในถูกยัดนุ่นของแต่ละชั้นผ้าเช่นเดียวกันซึ่งเขาเอาไว้สำหรับการซ้อมท่าทางมวยไทยตามที่เขาได้ฝึกมาก่อนหน้านี้
ตรงกลางของลานฝึกได้ปรับหน้าดินให้เรียบไว้สำหรับฝึกฝนการต่อสู้โดยเฉพาะ ก่อนหน้านี้ทั้งเขาและลู่ซีมักจะทำการประลองกันในทุกสามวันอยู่เสมอ เพื่อทดสอบฝีมือรวมไปถึงการใช้บทเวทย์ต่างเพื่อให้ร่างกายคุ้นชินกับสิ่งเหล่านี้มากที่สุดยามที่ต้องลงการประลอง โดยแต่ละครั้งจะมีกฎข้อห้ามในการประลองฝีมือซึ่งจะเปลี่ยนไปในทุกครั้งไม่เหมือนเดิม บางครั้งใช้ได้เพียงแค่วรยุทธ์ บางครั้งงดใช้ปราณธาตุในการต่อสู้ บางครั้งห้ามใช้บทเวทย์หรือแม้กระทั่งมีการกำหนดพื้นที่เล็ก ๆ หากถูกผลักออกจากเขตดังกล่าวก็จะเป็ผู้แพ้ไป ข้อดีของการฝึกแบบนี้ก็คือยิ่งมีข้อจำกัดหรือกฎข้อห้ามในการประลองเท่าใดก็จะยิ่งท้าทายความสามารถมากยิ่งขึ้นตามไปด้วย
สำหรับหนิงอ้ายแล้วต่อให้เขาออกกำลังและฝึกฝนวรยุทธ์ได้คล่องแคล่ว รวมไปถึงการใช้บทเวทย์ในการต่อสู้หรือสถานการณ์ต่าง ๆ ร่างกายของหนิงอ้ายในตอนนี้ก็ยังคงรูปลักษณ์บอบบางเช่นเดิมแทบไม่เปลี่ยน มีเพียงความสูงเท่านั้นที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อย แม้รูปร่างของเขาจะดูสูงโปร่งกว่าสตรีในวัยเดียวกันหรือกับท่านแม่แล้วด้วยความสูงถึงร้อยเจ็ดสิบห้า แต่เมื่อเทียบกับบุรุษทั่วไปหนิงอ้ายก็ยังสูงน้อยกว่าถึงครึ่งศรีษะ
บรรดาพี่น้องร่วมบิดาที่เป็บุรุษอีกสองคนต่างมีร่างกายที่สูงใหญ่แม้จะอายุน้อยกว่าเขาก็ตาม หนิงอ้ายได้แต่ปลอบใจว่าตอนนี้เขาเป็เพียงแค่อายุสิบห้าปีเท่านั้นยังมีเวลาให้ร่างกายได้เติบโตมากกว่านี้อีก แต่ถึงอย่างไรก็ตามพละกำลังของเขานั้นพูดได้ว่าเกือบเทียบเท่ากับร่างเดิมในโลกเก่าของเขาเสียด้วยซ้ำ เมื่อชั่งใจดูและหาเหตุผลปลอบใจได้แล้วเขาก็พอทำใจยอมรับได้อยู่บ้าง
''ตอนนี้เจียวซิ่นเป็อย่างไรบ้างขอรับหลังจากกินร่างไร้ิญญาของพวกนักฆ่าเมื่อคืนที่ผ่านมามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นหรือไม่ขอรับ?'' ลู่ซีเอ่ยถามขึ้น จริงอยู่ที่ว่าสัตว์อสูรของหนิงอ้ายสามารถจะดูดซับลมปราณจากร่างไร้ิญญาของสัตว์อสูรเพื่อยกระดับพลังิญญา เเต่กับร่างของผู้ฝึกตนนั้นทั้งเขาและคุณชายต่างไม่แน่ใจเท่าใดนักว่าจะเกิดผลดีหรือผลเสียต่อมันเท่าใดเมื่อคิดอย่างนี้จึงเป็กังวลใจอยู่บ้างด้วยความเป็ห่วง
''ข้าลองเรียกเเล้วเเต่เจียวซิ่นไม่มีการตอบกลับ คงต้องใช้เวลาในการปรับสมดุลอยู่เป็แน่เพราะเหล่าบรรดาร่างไร้ิญญาของนักฆ่าเ่าั้ต่างมีระดับสูงไม่น้อย...'' หนิงอ้ายเอ่ยตอบกลับลู่ซีไป เเต่เขาเชื่อว่าสิ่งนี้ย่อมส่งผลดีแก่เจียวซิ่นมากกว่าผลเสีย เพราะหากสามารถดูดซับพลังปราณจากร่างของสัตว์อสูรได้แล้ว สำหรับร่างไร้ิญญาของผู้ฝึกตนก็คงให้ผลลัพธ์ที่ไม่แตกต่าง
''คุณชายอยู่คนเดียวได้ใช่หรือไม่? ข้าต้องขอตัวไปจัดการความเรียบร้อยที่เรือนช่วยบ่าวรับใช้คนอื่น ๆ ขอรับ''
''เ้าไปเถอะไม่ต้องห่วงข้า อย่างไรโดยรอบนี้ต่างอยู่ในเขตแดนที่ท่านลุงฮุ่ยได้เสริมความแข็งแกร่งแล้ว อีกทั้งบรรดาองครักษ์ก็อยู่ไม่ไกลจากจุดนี้อีกด้วย...'' เมื่อลู่ซีเห็นว่าทุกอย่างเป็ไปตามที่คุณชายของตนได้กล่าว เขาจึงสบายใจขึ้นไม่น้อยก่อนที่จะแยกตัวกลับไปทางเรือนพัก
สองเท้าของหนิงอ้ายก้าวเดินอย่างมั่นคงไปยังบริเวณส่วนกลางป่าไผ่อันเป็ที่ประจำในการดูดซับลมปราณฟ้าดิน สถานที่ลับแห่งนั้นเต็มไปด้วยความสงบร่มรื่น เวลาที่ลมพัดมาบรรดาต้นไผ่สีเขียวสบายตาต่างเอนไปตามเเรงลมส่งเสียงเสียงเบา ๆ ราวกับ้าปลอบประโลม เมื่อไปถึงใจกลางของป่าไผ่เเล้วหนิงอ้ายจึงทรุดตัวนั่งลงครุ่นคิดในบางสิ่ง
กลางคืนที่ผ่านมาหนิงอ้ายรู้สึกตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าทุกสิ่งที่อยู่รอบตัวของเขานั้นว่างเปล่าไร้ซึ่งสรรพสิ่งหันมองไปทางใดมีเเต่ความมืดมิดสุดลูกหูลูกตา…
'นี่มันที่ใดกัน?' หนิงอ้ายเอ่ยพร้อมมองไปโดยรอบสังเกตทุกอย่างอย่างระมัดระวัง
วูบ!
ขณะที่หนิงอ้ายเดินสำรวจไปพื้นที่โดยรอบนั้นพลันปรากฏเเสงสีขาวรัศมีเจิดจ้าขึ้นบริเวณตรงหน้า เมื่อรัศมีเเสงสีขาวหายไปจึงปรากฏเป็เงาร่างบางเบา ใบหน้างามนั้นประดับด้วยรอยยิ้ม ดวงตากลมโตสีดำบริสุทธิ์ชวนให้หลงไหล เส้นผมสีปีกกายาวสยายไปถึงกลางหลังที่ถูกมัดเพียงครึ่ง ปิ่นหยกแกะสลักเนื้องามที่ปักอยู่ดูคุ้นตายิ่ง ไม่ต้องเรียกใช้เนตรแห่ง์ก็รับรู้ได้ทันทีว่าเงาของร่างกายดังกล่าวที่มีรูปร่างหน้าตาที่เหมือนกับเขาราวกับแกะแตกต่างกันเพียงสีผม หนิงอ้ายมั่นใจว่าร่างที่ปรากฏตรงหน้าจางหนิงอ้ายเ้าของร่างตัวจริง
'เ้า้าร่างกายของเ้าคืนใช่หรือไม่? จางหนิงอ้าย...' หนิงอ้ายถามออกไปอย่างคาดเดา
'ในที่สุดเราก็เจอกันเสียทีนะขอรับ...พี่ชาย' ร่างิญญาของเด็กหนุ่มไม่เลือกที่จะตอบคำถาม
'พี่ชาย? เ้าหมายถึงอย่างไรกัน...' นทีถามกลับไปด้วยความสงสัย
'ความจริงแล้วท่านแม่เยว่ซินได้ให้กำเนิดบุตรชายถึงสองคนในคืนนั้น แต่ด้วยเพราะโชคชะตา์ลิขิตท่านจึงได้จากโลกใบนี้ไปอย่างน่าเสียดายและได้เกิดใหม่ในโลกที่ท่านจากมา...'
'เมื่อถึงคราวที่ข้าสิ้นวาสนาแล้ว ประจวบเหมาะกับท่านในโลกนั้นได้สิ้นใจเช่นกัน ด้วยสายใยแห่งพันธะที่พันผูกจึงได้หนุนนำให้ท่านเข้ามาอยู่ในร่างกายของข้าเช่นนี้ขอรับ...'
'เ้ามาพบข้าเพื่ออะไรหรือ้าเอาร่างนี้คืนใช่หรือไม่?'
'ไม่เลยขอรับเวลาของข้าได้หมดลงแล้ว... '
'เช่นนี้ไม่ต่างไปจากข้าเป็ฝ่ายที่แย่งร่างกายของเ้าคงไม่ผิดไปนัก'
'หาได้เป็เช่นนั้นไม่ ยังมีเื่ราวอีกมากมายที่ข้ายังไม่อาจบอกท่านได้ในตอนนี้ แต่อยากให้ท่านระลึกไว้เสมอว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ล้วนมีเหตุผลทั้งสิ้นขอรับ...'
'ข้าก็ได้เเค่คิดอยู่เช่นกันว่าจะได้เจอเ้าบ้างหรือไม่ แล้วที่นี่เป็ที่ใดโลกแห่งิญญาอย่างนั้นรึ?' นทีเปลี่ยนเื่คุยพร้อมกับสังเกตไปโดยรอบ
'ใช้คำนั้นได้เช่นกันขอรับ สถานที่เเห่งนี้มีเพียงจิติญญาที่ได้รับการยอมรับเท่านั้นจึงจะเข้ามาได้…' ร่างโปร่งเเสงของเด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นพร้อมกับยกยิ้มเล็กน้อย
'เ้าเสียใจหรือไม่?' หนิงอ้ายถามกลับไป
'เสียใจ? ข้าเพียงเสียใจที่หลังจากนี้จะไม่ได้รับการโอบกอดจากท่านแม่แล้วเพียงเท่านั้น อย่างไรข้าฝากท่านดูเเลมารดาของเราให้ดีที่สุดและขอฝากลู่ซีบ่าวรับใช้คนสนิทที่คอยอยู่เคียงข้างข้าเสมอด้วยนะขอรับ...' หนิงอ้ายรู้สึกราวกับว่าถูกฝากฝังสิ่งที่สำคัญที่สุดของอีกฝ่ายไว้ สิ่งที่ิญญาเด็กหนุ่มเรียกร้องนั้นไม่ได้หนักหนาเลยสักนิด แม้เขาจะอยู่ในร่างนี้ได้ไม่นานเเต่ก็ััได้ถึงความรักที่ตนได้รับจากมารดาและการดูเเลที่ได้รับโดยเฉพาะลู่ซีนั้นไม่ใช่เป็เเค่บ่าวคนสนิทเเต่เป็เพื่อนสนิทคนเเรกในโลกนี้ของเขาเสียด้วยซ้ำ
'จากนี้เ้าไม่ต้องเป็กังวลสิ่งใด สัญญาว่าจะทำให้ดีที่สุดไว้ใจข้าได้อย่างแน่นอน...' หนิงอ้ายตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงมั่นคง เป็ดั่งคำสัตย์สัญญาระหว่างทั้งสอง
'ถึงเวลาที่ข้าต้องไปในที่ที่สมควรเเล้ว หวังว่าซักวันหนึ่งเราทั้งสองจะได้พบกันอีกนะขอรับ...' ทันทีที่กล่าวจบ ใบหน้างดงามเผยยิ้มออกมาราวกับว่าได้ปลดค้างสิ่งที่อยู่ในใจไปเสียสิ้น
'จากนี้ไปร่างกายนี้เป็ของท่านแล้วอย่างสมบูรณ์...' เสียงของเด็กหนุ่มดังขึ้นก่อนที่สติของหนิงอ้ายจะดับวูบไปโดยไม่ทันตั้งตัว
ร่างิญญาของเด็กหนุ่มได้สลายกลายเป็รัศมีแสงสีขาวนวลเลือนรางเป็กลุ่มหมอกควันลอยไปทั่วบริเวณ บางส่วนล่องลอยโอบล้อมไปทั่วทั้งตัวของหนิงอ้ายและร่างิญญาของเด็กหนุ่มตรงหน้า ไม่ถึงชั่วจิบชาก็พลันเลือนหายไปสิ้น บริเวณพื้นดังกล่าวเหลือเพียงเเต่สถานที่อันมืดมิดสุดสายตาไร้ที่สิ้นสุดราวกับว่าเหตุการณ์เมื่อครู่นี้ไม่เกิดขึ้น ต่อไปนับจากนี้ หนทางจะเป็อย่างไรล้วนขึ้นอยู่กับว่าหนิงอ้ายผู้นี้จะขีดเขียนเส้นทางเดินใหม่อย่างไร?
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้