บนูเายามค่ำคืนเงียบสงัดอย่างมาก เวลาแบบนี้ไม่น่าจะมีคนอยู่ได้
แต่วันนี้ ทั่วบริเวณกลับเสียงดังมาก เหตุการณ์ไม่ปกติอยู่บ้าง
ไฟฉายแรงสูงรวมกันเป็แสงไฟสว่างไสว ส่องใหู้เาสว่างเหมือนตอนกลางวัน สามารถเห็นได้อย่างชัดเจน
จ้าวอี้กระซิบกับทุกคน “กระจายกันไป จากนั้นก็ล้อมเอาไว้”
การออกคำสั่งเป็เื่ที่ช่วยไม่ได้ ถ้าเป็เพื่อนร่วมรบเมื่อก่อนล่ะก็ แค่มองตาก็เข้าใจความหมายของจ้าวอี้แล้ว มันอาจจะซับซ้อนไปสักหน่อย แต่ทำท่าทางก็พอจะเข้าใจแล้ว เพียงแต่คนเหล่านี้กับตัวเขาไม่เคยร่วมมือกันมาก่อน จึงมีแค่วิธีนี้วิธีเดียวเท่านั้น
หลังระมัดระวังอยู่นาน ผลลัพธ์กลับเป็การแจ้งข้อมูลที่ผิดพลาด
สุนัขตำรวจสองสามตัวยืนอยู่บนเขา หมุนตัวไปรอบๆ มองจากภายนอกแล้วดูจะปกติดี
จ้าวอี้และคนอื่นเข้าไปดูใกล้ๆ จึงพบว่าดินตรงนี้ค่อนข้างนิ่ม และท่าทางของสุนัขตำรวจก็แสดงให้เห็นว่าที่ตรงนี้มีปัญหา
“ขุดขึ้นมา!”
จ้าวอี้ออกคำสั่ง พื้นดินตรงนี้ถูกขุดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
มีปัญหาตามคาด
ศพร่างหนึ่งถูกขุดขึ้นมา จ้าวอี้และคนอื่นต่างขมวดคิ้ว
“นิติเวช แจ้งนิติเวชซะ”
จ้าวอี้สูดลมหายใจเฮือกหนึ่ง ข่มแรงกระตุ้นที่อยากจะตรวจดูศพเอาไว้ เพราะต้องให้มืออาชีพจัดการถึงจะได้รับข้อมูลมากขึ้น
เมื่อได้รับแจ้งจากจ้าวอี้ว่าพบศพเพิ่ม ก็ได้รับความสนใจจากเบื้องบนทันที แพทย์นิติเวชรีบมาอย่างรวดเร็ว และผลชันสูตรเบื้องต้นก็ออกมาอย่างรวดเร็วเช่นกัน
“ท่านครับ ผู้ตายอายุประมาณสามสิบปี เป็เพศชาย เสียชีวิตมาแล้วประมาณสี่ถึงห้าชั่วโมง สาเหตุการเสียชีวิตก็คือ ถูกะุปืนเข้าที่ศีรษะและหัวใจอย่างแรงจำนวนสองนัด มีแผลฉกรรจ์ทั้งหมดสองแห่ง ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็สไนเปอร์ไรเฟิลแรงสูงครับ ตอนนี้ยังไม่ทราบรุ่นอย่างแน่ชัด ต้องให้ฝ่ายเทคนิคประเมินในขั้นต่อไปครับ...ของพวกนี้เป็ของมีค่าของเขาครับ เงินสด บัตรประชาชน กระเป๋าเงิน ทั้งหมดอยู่นี่แล้วครับ”
จ้าวอี้เกือบแน่ใจตัวตนของผู้ตายแล้ว เขายังสวมถุงมือขาวเอาไว้ และหยิบบัตรประชาชนมาดู เป็ซุนหงโปตามคาด
“กลับกันเถอะ”
เขารู้สึกปวดหัว ปวดหัวจริงๆ
ใครก็ตามที่พบเบาะแสนี้ จะส่งผลให้ผู้ต้องสงสัยเสียชีวิตทันที ทำให้รู้สึกปวดหัวอยู่บ้าง
“คุณจ้าวครับ ถึงเราจะต้องเปรียบเทียบดีเอ็นเอในขั้นต่อไปเพื่อยืนยันตัวตนสุดท้ายของผู้ตายก็ตาม แต่เบื้องต้นยืนยันได้แล้วว่าเขาคือซุนหงโปครับ แล้วคุณเอาทำยังไงต่อเหรอครับ?”
“กลับไปแล้วค่อยคุยกันเถอะ”
แม้ปากจ้าวอี้จะบอกว่ากลับไปแล้วค่อยคุย แต่ในใจเขาได้ตัดสินไปแล้วว่าต้องจับกุม หรือจะเรียกว่าปกป้องก็ได้ หลี่เยว่หรูทำอะไรบางอย่างกับคนที่เกี่ยวข้อง แม้หลักฐานสองอย่างนี้จะหายไปแล้ว แต่มันก็ยังบ่งชี้ไปที่เธอ!
เมื่อกลับมาถึงสถานีตำรวจ ฉือผิงฮุยก็รออยู่ที่นี่แล้ว
“ไปสูบบุหรี่กัน คดีนี้จัดการยากมาก ยังเหลืออีกสามวันก่อนถึงวันที่ผบ. กำหนด คุณว่าตอนนี้ควรทำยังไงกันดี? ทุกคนพูดกันหน่อย ตอนนี้เราควรทำยังไง ช่วยกันออกความเห็นสิ”
ฉือผิงฮุยดูจะหงุดหงิดมากเช่นกัน เขาส่งบุหรี่มวนหนึ่งให้จ้าวอี้ และจุดอีกมวนให้ตัวเอง เ้าหน้าที่ทุกคนที่รับผิดชอบคดีนี้นั่งรวมกันอยู่ในห้องประชุม พริบตาเดียว ห้องประชุมโอ่โถงก็เต็มไปด้วยกลุ่มควัน
“จับกุมหลี่เยว่หรู!”
ในใจจ้าวอี้ปรากฏความดุร้าย แม้หลี่เยว่หรูคนนี้จะทำให้เกิดผลกระทบอันใหญ่หลวง แต่จ้าวอี้คิดว่าไม่อาจปล่อยให้เธอทำเื่แบบนี้ต่อไปได้อีกแล้ว
“อะไรนะ? ไม่ได้ ทำแบบนั้นไม่ได้!”
แค่ได้ยิน ฉือผิงฮุยก็รีบท้วง
แม้จะเรียกหลี่เยว่หรูมาที่สถานีเพื่อสอบปากคำ เขาก็ต้องพิจารณาคำพูดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ยิ่งไม่ต้องพูดถึงจ้าวอี้ใช้ที่ใช้คำว่าจับกุมเลย นั่นเกือบจะเป็การยืนยันความผิดของเธอแล้วด้วยซ้ำ
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ ตอนนี้เธอน่าสงสัยมากที่สุดเลยนะครับ”
จ้าวอี้โต้กลับอย่างไม่เกรงใจ ด้วยท่าทีที่แข็งกร้าว
“คุณไม่รู้จักอิทธิพลของเธอ ยิ่งไปกว่านั้น เธอต้องเชิญทนายมาด้วยแน่ๆ มันยากสำหรับเราที่จะถามถึงเื่ราวที่เกิดขึ้น ไหนจะพวกสื่อภายนอกที่อาจจะแห่กันมาอีก พวกเราไม่มีหลักฐานอะไรเลยนะคุณ! แถมพวกเราจะคุมตัวเธอไว้ได้กี่วันกันล่ะ? อีกสามวันก็เป็วันฝังศพของหลี่ต้าเฮิงแล้ว ถ้ามันส่งผลต่องานศพของเขา ผลกระทบที่ตามมาจะเลวร้ายอย่างมาก การกล่าวหาแบบนี้น่ะ ไม่ต้องพูดถึงคุณหรือผมเลย แม้แต่ผบ. ก็ไม่กล้าแบกมันไว้ง่ายๆ หรอก”
ฉือผิงฮุยกังวลอย่างมาก หลี่เยว่หรูไม่ใช่คนธรรมดา แต่เธอมีฐานะเป็ประธานสาวแสนสวย ไม่เพียงแต่มีอิทธิพลอย่างมากในโลกธุรกิจ แม้แต่ในวงการบันเทิง เธอก็มีชื่อเสียงอย่างมากเช่นกัน เธอมักจะโดนขึ้นพาดหัวข่าวบันเทิงอยู่เสมอ
ข่าวกอสซิป โดยเฉพาะข่าวกอสซิปคนดัง มักจะเป็ที่สนใจของผู้คนทั่วไป
“อิทธิพลเหรอ? แล้วยังไงล่ะ? จากลำดับขั้นของโจวเหวินิแล้ว เขาเป็ข้าราชการตำแหน่งไม่ธรรมดาในแผ่นดินใหญ่เลยนะ ไม่ใช่ว่าพวกคุณจะคุมตัวเขาไว้ในห้องกักตัวตลอดหรอกนะ?”
พูดตามตรง จ้าวอี้ข้องใจในจุดนี้อยู่บ้าง
เห็นได้ชัดว่าเป็การแบ่งแยก การเลือกปฏิบัติ
ฉือผิงฮุยเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “ผมก็ยังไม่เห็นด้วยกับความคิดของคุณอยู่ดี ถ้าคุณอยากทำแบบนี้จริงๆ ล่ะก็ ผมจะรายงานต่อผบ.”
"ถ้าอย่างนั้นคุณมีเบาะแสที่ดีกว่าไหมล่ะครับ? ตอนนี้เราเหลือเวลาแค่สามวันเท่านั้น แถมยังมีเบาะแสที่เป็ประโยชน์อยู่ไม่มากด้วย ทุกอย่างต้องใช้เวลา ทั้งที่มาของยาที่ทำหลี่ต้าเฮิงเสียชีวิต ทั้งที่มาของยาที่น้องชายเขาใช้ฆ่าตัวตาย ไหนจะเบาะแสของมอเตอร์ไซค์อีก การสืบสวนพวกนี้มันต้องใช้เวลาทั้งนั้นแหละครับ คุณคิดว่าต้องใช้เวลากี่วันถึงจะไขความจริงนี้ได้ล่ะ?"
จ้าวอี้ถามอย่างไม่เกรงใจ
“ผมเกรงว่ามันจะยาก ยาทั้งสองชนิดนี้ค่อนข้างพบได้บ่อย เราต้องตรวจสอบตามโรงพยาบาลหลักๆ เพื่อดูว่ามีการซื้อขายยาผิดกฎหมายหรือเปล่า นอกจากนี้ ถ้ามันมาจากตลาดมืดล่ะก็ น่าจะต้องใช้เวลามากกว่านี้ การหาเบาะแสของมอเตอร์ไซค์ก็ยากไม่แพ้กัน แม้ตอนนี้จะมีมอเตอร์ไซค์หายอยู่บ้างตามรายงานด้านล่าง แต่ถ้าผ่านการตกแต่งพ่นสีใหม่แล้วส่งเข้าตลาด มันก็ยิ่งหายากเข้าไปใหญ่”
ที่ฉือผิงฮุยพูดล้วนเป็ความจริง ไม่ใช่ว่าหาไม่ได้ แต่มันต้องใช้เวลา
“ไม่ใช่ว่าพวกเราปรึกษากันแล้วเหรอว่า้าสอบปากคำหลี่เยว่หรูก่อนน่ะ? งั้นเอาอย่างนี้ พวกเรามาตกลงกันดีกว่า ถ้าระหว่างที่สอบปากคำอยู่เกิดพบข้อสงสัยใหม่เข้า เราก็ขอกักตัวเธอไว้ก่อน ถ้าทำแบบนั้น แรงกดดันของเราก็จะลดลงไปเยอะเลย”
ฉือผิงฮุยใช้วิธีประนีประนอม
ตอนนี้เขา้าหลีกเลี่ยงการสร้างความไม่พอใจให้กับอี้เกอ เพราะไม่กี่วันมานี้ อี้เกอแสดงความไม่พอใจต่อการทำงานของเขาอย่างชัดเจน เขายังไม่อยากให้อี้เกอคิดมากขนาดนั้น
“ก็ได้ครับ!”
จ้าวอี้ครุ่นคิด ในที่สุดจึงตกลง
“พวกนายทุกคน ถ้าใครแพร่งพรายข้อมูลนี้ออกไปล่ะก็ อย่าหาว่าฉันไม่นึกถึงมิตรภาพเก่าๆ ซะล่ะ ฉันฉีกเนื้อพวกนายเป็ชิ้นๆ แน่!” ในตอนท้ายของการประชุม ฉือผิงฮุยไม่ลืมที่จะเตือนทุกคนที่อยู่ในห้องนี้ มันเป็เื่ที่ช่วยไม่ได้ ถ้าปล่อยให้ความลับรั่วไหลไปอีกครั้ง เกรงว่าไม่ต้องให้เขาลงมือหรอก แต่อี้เกอจะต้องช่วยเขาเปลี่ยนคนในสถานีตำรวจเขตใต้แน่ๆ!
เช้าตรู่วันถัดมา จ้าวอี้มานั่งรักษาการณ์ที่สถานีตำรวจแต่เช้า เขาสวมชุดทางการมาเต็มตัว
เขาให้ความสำคัญกับหลี่เยว่หรูเป็อย่างมาก หากฆาตกรที่อยู่เื้ัเป็เธอจริง จ้าวอี้ก็อดที่จะเขียนคำว่ายกย่องในใจไม่ได้ นอกจากอารมณ์ที่ฉุนเฉียวเล็กๆ น้อยๆ ของเธอแล้ว ก็ยากที่จะหาข้อบกพร่องอื่นได้
เวลาที่นัดไว้คือตอนแปดโมงเช้า เป็เวลาที่หลี่เยว่หรูตกลงเอง แต่เธอกลับไม่ปรากฏตัวตามนัด
เสี่ยวหลินที่รออยู่เช่นกันก็ถามขึ้นอย่างอดไม่ได้ “จะให้ผมโทรหาไหมครับ?”
“ไม่!”
“อย่า!”
จ้าวอี้และฉือผิงฮุยปฏิเสธพร้อมกัน
“ทำไมล่ะครับ?”
เสี่ยวหลินไม่เข้าใจ
ฉือผิงฮุยมองเขา คิดว่าอย่างไรเสียนี่ก็เป็คนที่อี้เกอส่งมาช่วยงาน ดังนั้นเขาจึงอธิบายไปไม่กี่คำ ซึ่งพอจะเรียกได้ว่าเป็คำแนะนำ
“ที่แท้นี่เป็กลยุทธ์จิตวิทยาอย่างหนึ่งนี่เอง! ตอนนี้ใครเป็ตั๊กแตนหรือใครเป็จิ้งหรีดยังไม่แน่ชัด แต่คนที่กังวลจะปลิวไปตามลมแทน”
“ใช่แล้ว ก็เหมือนอยู่ในสนามรบนั่นแหละ เมื่อได้รับข้อมูลว่าอีกฝ่ายจะปรากฏตัวที่ไหนเวลาเท่าไร ผลคือเมื่อถึงเวลากลับไม่ปรากฏตัวออกมา แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ปรากฏตัวเสียหน่อย ก่อนจะได้รับการรายงานใหม่ เราต้องรอต่อไป เพราะมันจะอาจเป็การหยั่งเชิงของศัตรู ใช้ความอดทน บางครั้งความอดทนก็สำคัญมากทีเดียว”
จ้าวอี้นึกถึงอดีต เมื่อก่อนเคยเกิดเื่แบบนี้ขึ้นไม่น้อยเลย ครั้งหนึ่ง เขาเคยต้องซุ่มโจมตีผู้มีอิทธิพล จ้าวอี้นำทีมไปซุ่มโจมตีที่ชายแดนอยู่สามวันสามคืนเต็ม เมื่อหิวก็กินขนมปังกรอบสักหน่อย การกระทำเช่นนี้ต้องแบ่งเป็่เวลาเล็กๆ น้อยๆ นับครั้งไม่ถ้วน ไม่อาจกินหมดชิ้นได้ในคราเดียว อย่างต่ำก็ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง เมื่อกระหายก็ต้องใช้หลอดจิบน้ำเอา การปฏิบัติเช่นนี้ก็ต้องระวังอย่างมากเช่นกัน เมื่ออยากเข้าห้องน้ำก็ต้องทำมันให้เสร็จในกางเกงตัวเอง ฟังแล้วอาจดูน่าขยะแขยง แต่นี่เป็เื่จริงที่เกิดขึ้นในสนามรบอันโหดร้าย
เวลาค่อยๆ ผ่านไป ถ้าเป็คนธรรมดาอาจอดทนกับบรรยากาศที่กดดันเช่นนี้ได้ยาก แต่จ้าวอี้กลับรู้สึกสบายอย่างมาก และผ่อนคลายอยู่ไม่น้อย
ครึ่งชั่วโมงผ่านไป หนึ่งชั่วโมงผ่านไป ฉือผิงฮุยหงุดหงิดเล็กน้อย เขากระซิบอย่างอดไม่ได้ “คนใหญ่คนโตแบบเธอทำไมไม่รักษาเวลาได้ขนาดนี้เนี่ย? ต่อให้เธอยืดเยื้อไปเรื่อยๆ ก็ไม่มีความหมายหรอก”
ในที่สุด ประมาณสิบโมงเช้า หลี่เยว่หรูก็มาถึงสถานีตำรวจ
สีหน้าของเธอย่ำแย่มาก แม้จะแต่งหน้าอ่อนๆ ก็ตาม แต่มันยากที่จะปกปิดความเหน็ดเหนื่อยบนใบหน้าของเธอได้
คนที่มาด้วยกันมีสามคน คนหนึ่งชัดเจนว่าเป็บอดี้การ์ด จ้าวอี้เคยเจอเขามาก่อน ส่วนอีกคนเป็ชายวัยกลางคนดูสุภาพเรียบร้อย
“ขอโทษค่ะ การจราจรของฮ่องกงนี่แย่จริงๆ รถติดมากเลยค่ะ ฉันเลยมาสายเลย” ท่าทางของหลี่เยว่หรูเ็าอย่างมาก ปากพูดว่าขอโทษ แต่สีหน้ากลับไม่มีความรู้สึกขอโทษใดๆ เลย
“ผมเป็ทนายของเธอครับ ไม่ว่าจะเป็การสอบปากคำใดๆ ผมคงต้องขอเข้าร่วมด้วย”
ชายวัยกลางคนที่สุภาพเรียบร้อยยื่นมือมา หมายจะจับมือกับจ้าวอี้ แต่จ้าวอี้กลับไม่มองเขาเลยแม้แต่น้อย ตอนนี้เขาไม่มีความรู้สึกดีใดๆ ต่อทนายของฮ่องกงเลยด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตาม เหมือนฉือผิงฮุยรู้จักทนายคนนี้เป็อย่างดี เขาก้าวเท้าไปหาก่อนจะเอ่ยด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “คาดไม่ถึงเลยครับ ว่าการสอบปากคำเล็กๆ นี่จะมีทนายอันดับหนึ่งของฮ่องกงมาร่วมด้วย ทนายซ่ง เป็แขกที่หาได้ยากจริงๆ เชิญครับ เชิญ คำขอที่สมเหตุสมผลของคุณหลี่ เราจะทำให้พวกคุณพอใจแน่นอนครับ”
จ้าวอี้ได้ยินอย่างนั้นก็คิ้วขมวด การสอบปากคำในวันนี้ เขากลัวว่ามันจะไม่ง่ายขนาดนั้น ชื่อเสียงของทนายคนนี้ไม่ใช่ย่อยเลย ทนายที่มีชื่อเสียงอย่างมากย่อมต้องเคยทำคดีที่ปราดเปรื่องมาก่อน เพื่อทำให้ผู้คนยกย่องด้วยหัวใจ
เมื่อมาถึงห้องสอบปากคำ ทุกคนก็แยกกันนั่งลง
“เมื่อวานเราได้รับรายงานเป็จำนวนมากว่าพบศพสองศพที่วิกตอเรียพาร์ค ตัวตนของทั้งสองศพนี้ถูกยืนยันได้แล้วว่าเป็บอดี้การ์ดของพ่อคุณ อาหลงกับอาหู่ ขอถามได้ไหมครับว่าคุณไล่พวกเขาออกตอนไหน ทำไมถึงไล่พวกเขาออก”
“ฉันไล่พวกเขาออกเมื่อวานตอนเช้า ทำไมล่ะ พ่อฉันเสียไปแล้ว แล้วฉันก็ไม่ได้เชื่อใจพวกเขาสักหน่อย มันเป็การปลดพนักงานตามปกตินี่นา!” หลี่เยว่หรูตอบอย่างง่ายดาย
“ถ้าอย่างนั้น ทำไมถึงเกิดเื่นี้ขึ้นตอนที่เราจะแจ้งให้พวกเขามาสอบปากคำล่ะครับ? ในสถานีตำรวจนี้ ใครเป็คนแจ้งข้อมูลลับให้แก่คุณ?”
จ้าวอี้ถามไปหนึ่งประโยค ขณะเดียวกันก็จ้องเขม็งไปที่หลี่เยว่หรู เขาหวังว่าจะได้รับเบาะแสมากขึ้นผ่านการแสดงออกบนใบหน้าของหลี่เยว่หรู แม้ว่าจะใช้เป็หลักฐานทางตรงไม่ได้ แต่ก็ช่วยเพิ่มการตัดสินใจของเขาได้
“คัดค้าน! ผมขอคัดค้าน! ใน่ที่ตำรวจไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดแบบนี้ ถือเป็การใส่ไฟให้ลูกความของผมชัดๆ!”
หลี่เยว่หรูยังไม่ทันได้ตอบอะไร ทนายซ่งของเธอก็คัดค้านขึ้นมาก่อนแล้ว จ้าวอี้เกือบจะสำลักประโยคนี้จนตายแล้ว! เขารู้สึกว่ามันเป็แค่คำถามธรรมดาไม่ใช่เหรอ?
ฉือผิงฮุยกระแอมไปที่หนึ่ง แล้วดึงจ้าวอี้ไว้ “ก็จริงที่เราไม่มีหลักฐานพิสูจน์ว่ามีคนเผยความลับให้คุณหลี่”
ใบหน้าของทนายซ่งไร้อารมณ์ “พวกคุณจะมาใส่ความลูกความของผมแบบนี้ไม่ได้ การคาดเดาแบบนี้ไร้ความรับผิดชอบมากเลยนะครับ ถ้าคุณสอบปากคำด้วยวิธีเช่นนี้ล่ะก็ ไม่ใช่อีกสักพักคุณจะทึกทักว่าลูกความของผมเป็ฆาตกรในคดีนี้งั้นเหรอครับ? กรุณาใช้หลักฐานมาประกอบการสอบปากคำด้วยครับ ไม่อย่างนั้นผมจะส่งจดหมายให้ไอซีเอซี1และกระทรวงตรวจสอบ2แน่”
“เห็นเราเป็คนโง่หรือไงกัน? ถ้าไม่มีคนเผยความลับ งั้นทำไมถึงได้บังเอิญขนาดนี้ล่ะครับ? ทางเราเพิ่งจะส่งเื่ขอสอบปากคำพวกเขาสองคนไป คุณก็ชิงไล่พวกเขาออกซะก่อน”
จ้าวอี้ตบโต๊ะอย่างโมโห
“อาจเป็เื่บังเอิญก็ได้ใครจะรู้? ถ้าคุณมีหลักฐานก็กรุณาชี้มาเลยว่าใครเป็คนเผยความลับ อีกอย่างผม้าคัดค้าน! การปฏิบัติของคุณต้องสงสัยว่าจะเป็การคุกคาม ผมคิดว่าถ้าผู้สอบปากคำไม่ใจเย็น ผมก็ไม่เสนอให้ลูกความของผมได้รับการสอบปากคำต่อ!” ทนายซ่งเอ่ยเป็ฉากๆ จ้าวอี้รู้สึกเหมือนถูกปิดกั้นจริงๆ
-------------------------------------------
1 ไอซีเอซี (Independent Commission Against Corruption, ICAC) คือ คณะกรรมการอิสระป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งฮ่องกง หรือ องค์กรปราบโกงแห่งฮ่องกง
2 กระทรวงตรวจสอบ (Ministry of Supervision) เป็กระทรวงหนึ่งของจีน มีลักษณะการทำงานคล้ายๆ กับไอซีเอซี