“ทนายซ่งอย่าใจร้อนไปเลยครับ มีอะไรก็ค่อยๆ พูดกันเถอะ ผมจะคอยเตือนให้เขาระวังวิธีการสอบปากคำเอง โปรดรอสักครู่นะครับ พวกคุณดื่มน้ำรอกันไปก่อน ไม่สิ ไปเรียกคนมาสิ เอากาแฟสองแก้วมาให้คุณหนูหลี่กับทนายซ่งที กาแฟที่สถานีเราเป็กาแฟดีนะครับ”
ฉือผิงฮุยยิ้มแย้ม จากนั้นจึงลากจ้าวอี้ออกไป เขารู้สึกว่าคำถามของจ้าวอี้สร้างปัญหามากเกินไป และจำเป็ต้องคุยกับเขาให้เรียบร้อยเสียก่อน
เกือบจะเป็การบีบบังคับ เขาลากจ้าวอี้ออกไปนอกประตู และเอ่ยกับเขาเสียงเบาว่า “ทำไมเล่า คุณก็เห็นความคะยั้นคะยอของทนายฮ่องกงแล้วไม่ใช่เหรอ เรียกได้ว่าตราบใดที่ยังมีเขาอยู่ พวกเราก็ยากที่จะถามคำถามที่เป็ประโยชน์ออกมาได้ คุณต้องระวังเทคนิคการถามของคุณหน่อยนะ”
ท่าทางที่ดูหงุดหงิดในห้องสอบปากคำของจ้าวอี้หายไปในทันที จากนั้นเขาก็เอ่ยขึ้นพลางหัวเราะไปด้วยว่า “ผู้ตรวจการฉือ คุณไม่เห็นเหรอครับ? ยิ่งเป็แบบนี้ เธอก็ยิ่งเหมือนกลัวความผิดไม่ใช่เหรอ? นี่ก็แปลว่าหลี่เยว่หรูยิ่งผิดปกติ ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่เชิญทนายมาด้วยหรอก ผมว่าค่าจ้างของทนายซ่งคนนี้น่าจะไม่น้อยเลยทีเดียวล่ะ? แม้เงินก้อนนี้จะดูเล็กน้อยสำหรับตระกูลหลี่ แต่ผมว่าเธอก็คงจ่ายเงินไปไม่น้อยเพื่อน้องชายของเธอแน่ ยิ่งไปกว่านั้น ค่าใช้จ่ายก้อนนี้ สำหรับเธอแล้วยังไม่ถือว่าน้อยอีกด้วย ถึงอย่างนั้น ธุรกิจของตระกูลหลี่ก็ต้องอาศัยเงินหมุนเวียนเป็อย่างมากอยู่ดี”
เมื่อได้ฟัง ฉือผิงฮุยก็ครุ่นคิดก่อนจะพยักหน้า “สิ่งที่คุณพูดก็ไม่ผิด แต่คุณต้องระวังวิธีการสอบปากคำของคุณสักหน่อย ผมก็ไม่อยากให้ไอซีเอซีกับกระทรวงตรวจสอบมาก่อความวุ่นวายให้ผมถึงที่หรอกนะ หรือไม่ก็ให้ผมเป็คนสอบปากคำหลักแทนไหม?”
ผู้สอบปากคำหลักรับบทตำรวจใจร้าย ตำรวจใจร้ายคนนี้จะคอยเอาผิดอย่างเดียว แต่ตำรวจใจดีจะคอยปลอบโยน เทคนิคนี้เป็เทคนิคเล็กๆ น้อยๆ ที่จ้าวอี้ได้เรียนรู้จากคดีในครั้งก่อน
“ให้ผมทำนั่นแหละครับ คุณเคยบอกไว้นี่ว่า พอผมปิดคดีนี้ได้เดี๋ยวก็สะบัดก้นกลับไป แต่คุณยังต้องอยู่ที่นี่ต่อ”
ที่จ้าวอี้ทำหน้าที่เป็คนสอบปากคำหลักก็เพราะมีเหตุผลหลักเช่นนี้ และทั้งสองก็ได้ปรึกษากันเรียบร้อยแล้วด้วย
ฉือผิงฮุยยอมถอยหลังพิจารณาดีแล้ว
“เอาล่ะ ผมจะระวังก็แล้วกัน”
พวกเขากลับเข้ามาในห้องสอบปากคำอีกครั้ง จ้าวอี้นั่งลง เขาขี้คร้านจะมองทนายซ่งแล้ว
“ถ้าอย่างนั้น คุณหลี่ช่วยอธิบายหน่อยได้ไหมครับว่า ทำไมตอนที่พวกเราส่งเ้าหน้าที่เดินทางไปที่บ้านตระกูลหลี่ วันนั้นคุณได้รับโทรศัพท์สายหนึ่งด้วย เื่นี้พวกเรามีการจดบันทึกที่สามารถตรวจสอบได้อยู่นะครับ”
นี่ก็เป็หลักฐานอย่างหนึ่งเช่นกัน
“ฉันว่าโทรศัพท์สายนั้นเป็การโทรผิดค่ะ ฉันไม่รู้หรอกค่ะว่าเขาเป็ใคร”
ท่าทางของหลี่เยว่หรูดูผ่อนคลาย และตอบกลับคล้ายบ่ายเบี่ยง
“แต่เวลาพูดคุยคือสามนาทีกว่าเลยนะครับ หรือคุณต้องคุยกับคนที่โทรผิดนานขนาดนี้เลยเหรอครับ? ใครเป็คนโทรมากันแน่ ผมคิดว่าคุณหลี่คงจะตอบคำถามนี้อย่างตรงไปตรงมานะครับ”
จ้าวอี้ถาม
“ผมขอคัดค้าน ผู้สอบปากคำถามคำถามซ้ำนี่ครับ และมีแนวโน้มเป็ความเห็นส่วนตัวอย่างชัดเจนด้วย”
ระหว่างการสอบปากคำนั้น ตามหลักการแล้ว พวกเขาควรจะหลีกเลี่ยงความเห็นส่วนตัวไว้
“เป็การโทรผิดจริงๆ ค่ะ เขาเอาแต่ถามหาคนที่ฉันไม่รู้จักซ้ำๆ ซากๆ ฉันเลยพูดกับเขาไปสองสามประโยคตามมารยาท เื่นี้มีปัญหาอะไรเหรอคะ?”
หลี่เยว่หรูถามกลับ
“ฮ่าๆ คุณหลี่มีเวลาว่างเหลือเฟือเลยนะครับ ทั้งที่ถือหางเสือบริษัทใหญ่ขนาดนี้ไปด้วย แถมต้องวุ่นกับการจัดงานศพของพ่อและอาไปด้วย แล้วคุณยังมีอารมณ์มาคุยกับคนแปลกหน้านานขนาดนี้อีก คุณคิดว่า ถ้าคุณไม่บอกแล้วพวกเราจะไม่รู้ว่าเขาคือใครงั้นเหรอครับ?”
จ้าวอี้โน้มตัวมาด้านหน้า ท่าทางเช่นนี้ โดยทั่วไปแล้วมักสร้างความกดดันต่อสภาพจิตใจของผู้ต้องสงสัยได้เป็อย่างมาก
“ผมขอคัดค้านครับ ผู้สอบปากคำใช้คำพูดที่โจมตีสภาพจิตใจอย่างชัดเจน และนั่นจะทำให้ลูกความของผมได้รับความกดดันทางจิตใจอย่างมาก ผมคิดว่า อารมณ์ของผู้สอบปากคำไม่มั่นคงเกินไป ผมขอเสนอให้ทางเ้าหน้าที่เปลี่ยนตัวเพื่อทำการสอบปากคำต่อครับ เขามองว่าลูกความของผมเป็ผู้ต้องสงสัยอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งมันไม่เป็ไปตามข้อกำหนดเลยครับ”
ทนายซ่งยืนขึ้นด้วยความไม่พอใจอย่างรุนแรง และเข้ามาขวางตรงหน้าหลี่เยว่หรู
“โปรดตอบคำถามของผมด้วยครับ แล้วก็...ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่คุณจะพูด คุณหลีกทางให้ผมเดี๋ยวนี้! ไม่อย่างนั้นผมจะแจ้งความคุณโทษฐานขัดขวางการปฏิบัติงานของหน้าที่ และคุมตัวคุณสี่สิบแปดชั่วโมง!”
จ้าวอี้โมโหจริงๆ แล้ว!
เขายืนขึ้นและเผชิญหน้ากับทนายซ่งอย่างไม่เกรงใจ
“ผมจะร้องเรียน ผมจะร้องเรียนคุณ ท่าทางแบบนี้มันอะไรกัน!”
ทนายซ่งโกรธจนแทบจะเป็บ้าแล้ว! ั้แ่เขาเริ่มมีชื่อเสียงขึ้นมามาก เขาไม่เคยเจอคู่ต่อสู้แบบนี้มาก่อน คู่ต่อสู้ที่เขาพบมักจะอ่อนให้ถึงสามส่วน ทว่าเขาไม่เคยพบเ้าหน้าที่ตำรวจที่ก้าวร้าวขนาดนี้มาก่อนเลย
“เสี่ยวหลิน นำตัวทนายซ่งไปขังไว้! โทษฐานขัดขวางการปฏิบัติงานของหน้าที่! และถ้าคุณจะร้องเรียนผมล่ะก็ ช่วยจำรหัสประจำตัวของผมไว้ให้ดีล่ะ ผมจะรอคำร้องเรียนจากคุณเสมอ! แต่ผมคิดว่าทางฮ่องกงคงไม่รับคำร้องเรียนของคุณหรอก เพราะถ้าคุณ้าร้องเรียนผมจริง คุณคงต้องไปร้องเรียนที่เมือง J เอาเอง”
จ้าวอี้นึกออกแล้ว ถ้าเขายังปล่อยให้ทนายซ่งก่อความวุ่นวายอยู่ที่นี่ล่ะก็ ใช่แล้ว ในสายตาของเขา มันเป็การก่อความวุ่นวายจนทำให้เขาถามอะไรไม่ได้ และการจับกุมทนายคนนี้ออกไปนั้น ถึงแม้จะเป็การละเมิดการร้องเรียน แต่นั่นก็เป็เื่ที่จะเกิดขึ้นในวันข้างหน้า หลังผ่านไปหลายวันแล้ว ใครจะรู้ ว่าเื่ราวจะคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว?
เสี่ยวหลินเชื่อฟังอย่างมาก เขากับคู่หูเข้ามาพาตัวทนายซ่งออกไปด้านนอก!
“ผมขอคัดค้าน ผมจะร้องเรียนพวกคุณ! ผมจะเปิดโปงการบังคับกฎหมายอันหยาบคายแบบนี้ของพวกคุณกับสื่อ!” ทนายซ่งพยายามขัดขืนอย่างหนัก ทว่าท่าทางของจ้าวอี้ก็แข็งกร้าวเช่นกัน เสี่ยวหลินและคนอื่นย่อมต้องเชื่อฟังจ้าวอี้เป็ธรรมดา
่เวลานี้ ถึงแม้หลี่เยว่หรูไม่ได้พูดจาใดๆ แต่ท่าทางของเธอก็ดูร้อนรนขึ้นมาเล็กน้อย เพราะเธอคิดไม่ถึงว่าจ้าวอี้จะไม่ทำตามกฎได้ขนาดนี้!
“ในที่สุดก็ไล่แมลงวันน่ารำคาญไปได้สักที เพราะฉะนั้นคุณหลี่ครับ โปรดตอบคำถามของผมด้วย”
ฉือผิงฮุยแอบยกนิ้วโป้งให้จ้าวอี้ เพราะเขาอดทนกับทนายซ่งมานานแล้วเช่นกัน จนเรียกได้ว่าตราบใดที่คุณยังสวมชุดเครื่องแบบนี้อยู่ คุณจะไม่มีความรู้สึกดีๆ ต่ออาชีพทนายแม้แต่น้อย และบางครั้ง พวกเขาที่จับกุมผู้ร้ายมาอย่างยากลำบาก ทว่าทางศาลกลับพลิกคดีพวกเขาเสียอย่างนั้น ความรู้สึกแบบนี้เป็อะไรที่เลวร้ายจริงๆ
ฉือผิงฮุยอยากทำแบบนี้มาก ทว่าเขากลับทำไม่ได้ แต่จ้าวอี้กลับทำในเื่ที่เขาไม่กล้าทำ เขาจึงรู้สึกเหมือนตนได้ระบายความโกรธไปด้วยเช่นกัน
ท่าทางของหลี่เยว่หรูดูประหลาดใจไม่น้อย เธอคงคิดไม่ถึงว่าการบังคับใช้กฎหมายอย่างหยาบคายเช่นนี้จะเกิดขึ้นกับตัวเธอเอง การเห็นทนายซ่งถูกคุมตัวออกไป ทำให้ท่าทางที่ดูใจเย็นของเธอเริ่มมีความร้อนรนปรากฏขึ้น
“พวกคุณทำแบบนี้ไม่ได้นะคะ การกระทำของพวกคุณมันผิดกฎหมายนี่คะ”
หลี่เยว่หรูยืนขึ้นพร้อมเอ่ยเสียงดัง
“คุณจะไปร้องเรียนพวกเราหลังจากที่สอบปากคำเสร็จแล้วก็ได้ครับ แต่ตอนนี้คุณต้องตอบคำถามของผมก่อนนะ คุณหลี่เยว่หรู” จ้าวอี้มองหลี่เยว่หรูอย่างไม่หวั่นไหว
“นี่เป็สิ่งที่ผู้ตรวจการฉือ้าเหรอคะ?”
หลี่เยว่หรูจ้องฉือผิงฮุย ฉือผิงฮุยไม่ได้ตอบอะไรในทันที แต่เขากลับเริ่มมีหยาดเหงื่อผุดออกมาจากหน้าผาก
ความกดดันตกมาอยู่ที่ฉือผิงฮุยแล้ว
เขารู้ดีอยู่แก่ใจว่าถ้าเขาพยักหน้ารับล่ะก็ ถ้าเขาโค่นหลี่เยว่หรูไม่ได้ เกรงว่าการผิดใจกับมหาเศรษฐีอย่างหลี่เยว่หรูนั้น คงทำให้ชีวิตของเขาหลังจากนี้ไม่มีความสุขอีกต่อไป ไม่ต้องพูดถึงอำนาจที่สามารถถอดถอนตำแหน่งผู้ตรวจการหลักอย่างเขาได้ อีกทั้งยังส่งผลกระทบต่อความสงบสุขในพื้นที่ของเขาอีกด้วย
เื่นี้ไม่ใช่เื่เกินจริงเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการจ้างคนมาคอยจับผิดหรือให้คนมาคอยร้องเรียนอยู่ตลอดเวลา กระทั่งการจ้างคนมาทะเลาะต่อยตีกันก็จะไม่ถึงขั้นเป็คดีอาญา แต่มันกลับสร้างความวุ่นวายให้แก่ความสงบในพื้นที่ได้เป็อย่างมาก และเื่นี้ก็แทบจะแก้ไขอะไรไม่ได้อีกด้วย
“ขอโทษครับ แต่นั่นไม่ใช่ความ้าของผม...” ฉือผิงฮุยชั่งน้ำหนักอยู่ในใจอยู่ครู่หนึ่ง ท้ายที่สุดเขาจึงตัดสินใจประนีประนอม
ในใจจ้าวอี้ค่อนข้างผิดหวัง เพราะที่จริงแล้ว เขาตั้งใจจะรับมือกับขี้ปากของหลี่เยว่หรูอยู่ แต่เขากลับลังเลเล็กน้อย และความลังเลนี้ก็ไม่ใช่ความกังวลว่าเขาจะผิดใจกับหลี่เยว่หรู แต่เพราะเขาอยากเห็นทางเลือกที่แท้จริงของฉือผิงฮุย และทางเลือกนี้ก็ทำให้เขาผิดหวังจริงๆ แต่เมื่อคิดอย่างถี่ถ้วนแล้ว ทางเลือกนี้ก็ถือว่าสมเหตุสมผลดี
“คุณหลี่เยว่หรู คุณอย่าเปลืองแรงเลยครับ เพราะคดีนี้ผมมีระดับเทียบเท่ากับผู้ตรวจการฉือ เขาเลยออกคำสั่งกับผมไม่ได้ เว้นแต่ตอนนี้คุณจะไปหาผบ. แล้วให้เขาถอดผมออกจากทีมสืบสวนคดีพิเศษนี้แทน แล้วก็อีกอย่าง ถึงเขาจะอยู่ที่นี่ แต่ผมก็ยังยืนกรานในวิธีการของผมอยู่ดี”
จ้าวอี้มองหลี่เยว่หรูอย่างเ็า และสายตาอันนิ่งเฉยที่มองมายังเธอนั้น ก็ทำให้หลี่เยว่หรูรับรู้ได้ถึงการตัดสินใจของจ้าวอี้
หลี่เยว่หรูสูดลมหายใจลึก จากนั้นก็ยิ้มออกมาอย่างมีความสุข ค่อยๆ กลับไปมีท่าทีใจเย็นดังเดิม “ฉันไม่รู้หรอกนะคะว่าทำไมคุณจ้าวถึงตั้งแง่เป็ศัตรูกับฉันได้ขนาดนี้ แต่ในฐานะประชาชนที่เคารพกฎหมายคนหนึ่ง ฉันเองก็เต็มใจจะให้ความร่วมมือกับการทำงานของเ้าหน้าที่ ส่วนการกระทำทุกอย่างของทนายซ่งก็เป็เพียงการแสดงออกของเขาเท่านั้น ไม่ใช่ความ้าของฉันเลย คุณจะเชื่อไหมคะ?”
จะเชื่อหรือไม่นั้นมันไม่สำคัญ เพราะจ้าวอี้รู้อยู่แก่ใจ ว่าเขาแค่ฟังคำพูดของหลี่เยว่หรูไว้เท่านั้นพอ
คำตอบของจ้าวอี้คือคำว่า “อืม” ที่พ่นออกมาทางจมูกเท่านั้น
หลี่เยว่หรูเอ่ยต่อ “ฉันเสียใจกับการตายของพวกเขาจริงๆ ค่ะ แต่ถึงฉันจะรู้ว่าถ้าฉันเลิกจ้างพวกเขาแล้วจะเกิดโศกนาฏกรรมแบบนี้ บางทีฉันอาจจะทำแบบเดิมก็ได้ค่ะ”
แม้หลี่เยว่หรูจะพูดว่าเสียใจก็จริง แต่ใบหน้าของเธอกลับไม่มีความละอายใจใดๆ ทั้งนั้น เธอหยุดไปเล็กน้อย จากนั้นจึงพูดต่อว่า “ส่วนสาเหตุที่ฉันเลิกจ้างอาหลงกับอาหู่นั้น ความจริงแล้ว ที่ฉันไม่อยากบอกมันง่ายมากเลยค่ะ นั่นก็เพราะพวกเขาเคยทำเื่ละเมิดศีลธรรมกับฉัน”
“ทำเื่ละเมิดศีลธรรมงั้นเหรอครับ?”
จ้าวอี้มองเธอด้วยความสงสัย รอฟังคำอธิบายจากหลี่เยว่หรู
“ตามความ้าของพ่อฉันแล้ว ตระกูลหลี่ของเราต้องแต่งลูกเขยเข้ามา และพวกเขา้าใช้วิธีบีบบังคับด้วย แล้วฉันจะกล้าปล่อยให้คนแบบนี้อยู่ใกล้ตัวได้ยังไงล่ะคะ? แต่ก่อนที่พ่อของฉันจะเสีย ฉันยังต้องดูแลความรู้สึกของคุณพ่อไปก่อน เพราะไม่ว่าอย่างไร พวกเขาก็มีความสัมพันธ์ที่ดีไม่น้อยกับพ่อของฉัน”
“เอ๊ะ? แล้วทำไมพวกเขาถึงกล้าทำอย่างนั้นล่ะครับ คุณเป็เ้านายพวกเขานะ พวกเขาไม่กลัวว่าคุณจะส่งพวกเขาเข้าคุกด้วยความโกรธบ้างเลยเหรอ?” จ้าวอี้สงสัยในเหตุผลนี้เป็อย่างมาก
“เื่นี้ไม่มีอะไรน่าแปลกใจหรอกค่ะ เพราะมันมีความเสี่ยงสูงเกินกว่าจะย้อนกลับไปได้ และบางคนก็อยากเสี่ยงอันตรายด้วย การแต่งเข้านั้นย่อมถูกจำกัดสถานะ หลังจากที่รู้เื่นี้แล้ว พวกเขาก็ไปขอคุณพ่อของฉันโดยตรงเพื่อย้ายมาอยู่ข้างกายฉันแทน ผลก็คือ ฉันได้รู้ถึงเจตนาของพวกเขา ฉันว่าพวกเขาคงอ่านนิยายมากเกินไปจนคิดว่าคุณหนูที่ร่ำรวยอย่างฉันจะเกิดความรู้สึกบางอย่างกับบอดี้การ์ดยากจนอย่างพวกเขาได้ พวกเขาช่างไร้เดียงสาจริงๆ”
สีหน้าของหลี่เยว่หรูเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับนึกถึงบอดี้การ์ดสองคนที่เป็คางคกอยากกินเนื้อห่านฟ้า
เมื่อคิดอย่างถี่ถ้วนแล้ว เื่แบบนี้ก็แทบเป็ไปไม่ได้
เหตุผลนั้นง่ายมาก เพราะระดับความรู้ที่แตกต่างกัน พูดถึงบอดี้การ์ดแล้ว ในสายตาของคนรวยมักคิดว่า พวกเขาเป็คนที่อาศัยร่างกายและหมัดมวยในการหากินเท่านั้น และทั้งสองคนก็พูดคนละภาษา พวกเขาจะเกิดความรักได้อย่างไรกัน?
เป็วีรบุรุษช่วยสาวงามเหมือนในนิยายงั้นเหรอ?
ขอโทษด้วยนะ ถ้าคุณเป็บอดี้การ์ดของผู้ว่าจ้าง การคุ้มครองผู้ว่าจ้างก็เป็หน้าที่ของคุณไม่ใช่เหรอ? เมื่อเผชิญอันตรายจริงๆ และคุณไม่อาจจัดการได้ล่วงหน้า มันถึงจะเป็การบกพร่องต่อหน้าที่ ถ้ามีมหาเศรษฐีคนอื่นตกอยู่ในอันตรายแล้วคุณอยากช่วยชีวิตพวกเขาล่ะก็ ย่อมมีโอกาสไม่ถึงเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นแน่ เพราะพวกเขาเองก็มีบอดี้การ์ดอยู่แล้ว จะอนุญาตให้คนแปลกหน้าเข้ามาใกล้ตนทำไมกัน?
ดังนั้น นิทานความรักของบอดี้การ์ดกับคุณหนูเศรษฐีนั้น ตามหลักแล้วเป็เหตุการณ์ที่มีความเป็ไปได้น้อยมาก
“เพราะอย่างนั้นคุณเลยเลิกจ้างพวกเขางั้นเหรอครับ? แล้วทำไมถึงมาเกิดเื่ตอนที่พวกเราเตรียมสอบปากคำจากพวกเขาล่ะครับ? เื่นี้ไม่บังเอิญไปหน่อยเหรอครับ?”
“บางทีเื่นี้อาจเป็เื่บังเอิญก็ได้ค่ะ บริษัทของเราวุ่นวายมาก คุณก็เห็นสถานการณ์ของตระกูลหลี่ในตอนนี้แล้ว ใครจะรู้ล่ะคะว่าเมื่อวานอาหลงกับอาหู่จะมาสับปลับต่อหน้าฉันอีก เพราะงั้นฉันเลยไล่พวกเขาออกไป มันก็ง่ายๆ แบบนี้แหละค่ะ”
มันง่ายขนาดนี้จริงเหรอ?