โจวชิงหวาไม่อาจทำอันใดได้ นอกจากต้องจัดการกับสตรีเหล่านี้อย่างเด็ดขาด รอยยิ้มบนใบหน้าอันหล่อเหลาจึงเต็มไปด้วยความสุภาพห่างเหิน และเว้นระยะกับคนแปลกหน้าอย่างชัดเจน ต่างจากแววตาที่ใช้มองหนีเจียเอ๋อร์ในยามปกติโดยสิ้นเชิง
แต่นี่กลับทำให้เหล่าสตรีผู้สูงศักดิ์ซึ่งมั่นอกมั่นใจในตัวเอง ตั้งแง่ไม่พอใจหนีเจียเอ๋อร์เป็อย่างมาก โดยเฉพาะในวันนี้ที่ได้ประจักษ์แล้ว ว่าความงามของคุณหนูรองสกุลหนีนั้น หาได้ยิ่งหย่อนไปกว่าผู้ใด ความริษยาในใจของพวกนางจึงเพิ่มขึ้นเป็ทบทวี
นอกจากติดตามสวีเพ่ยหรานแล้ว หนีจวิ้นหว่านยังแอบสอดส่องสถานการณ์ทางด้านของหนีเจียเอ๋อร์ด้วย เมื่อพบว่าอีกฝ่ายกลายเป็เป้าโจมตีอย่างเอิกเกริกในวงสังคม ดวงตานางก็ฉายแววใคร่ครวญ
หญิงสาวเดินไปอยู่ข้างๆ ผู้เป็น้อง พลางมองไปยังโจวชิงหวา ที่กำลังถูกสตรีมากหน้าหลายตารายล้อม พร้อมแกว่งถ้วยชาในมือ
“น้องหญิง กลอนความรักบทสุดท้ายของคุณชายโจว ช่างเขียนได้ดียิ่งนัก เ้าว่าผู้ที่ไร้ซึ่งคนรัก ทั้งยังมิได้แต่งงานเช่นเขา จะเขียนถึงผู้ใด?”
หนีเจียเอ๋อร์กล่าวอย่างเฉยชา “พี่หญิงถามผิดคนแล้ว ท่านควรจะไปถามโจวชิงหวามากกว่า ว่าเขาเขียนถึงผู้ใด”
“ข้าก็อยากถามเขาเช่นกัน แต่ตอนนี้จะแทรกตัวเข้าไปได้หรือ?”
จากนั้นก็โน้มตัวเข้ามาใกล้หู พลางกระซิบเสียงแ่ “ดูสิ! สตรีที่ยืนอยู่ข้างคุณชายโจว ก็คือคุณหนูฉินเหยียน บุตรสาวท่านแม่ทัพฉิน ซึ่งสนิทสนมกับเขาเป็การส่วนตัว
คนทางขวาที่สวมชุดสีชมพู คือคุณหนูหยางซีหรง บุตรสาวเสนาบดีหยาง ส่วนแม่นางผู้นั้นเป็พระญาติของฮองเฮา หวังเจินเจิน บุตรสาวจากภรรยารองของนายท่านหวัง
แต่ละคนล้วนมีฐานะสูงส่งและรูปโฉมงดงาม ทั้งยังมีสินเดิม[1]มากมาย ผู้ใดได้แต่งงานกับพวกนาง ย่อมไม่ต่างอันใดกับได้รับโชคใหญ่ เ้าคิดว่าคุณชายโจวจะเลือกสตรีคนใดมาแต่งงานด้วย”
หนีเจียเอ๋อร์ทำหน้าเบื่อหน่าย ยกมือซ้ายขึ้นมาลูบกาย โดยไม่เงยหน้าขึ้นมามอง... น่ารำคาญนัก!
หนีจวิ้นหว่านมิได้สังเกตเห็นความเหนื่อยหน่ายของอีกฝ่าย จึงยั่วยุต่อ “น้องหญิงไม่รู้สึกขุ่นเคืองเลยหรือ ทั้งๆ ที่คุณชายโจวเป็คนใกล้ชิดของเ้า?”
หนีเจียเอ๋อร์เงยหน้าขึ้นมองพี่สาวอย่างจริงจัง “หรือท่านคิดว่าข้าควรจะหึงหวง เข้าไปกระชากแขนพวกนางออกมาโดยไม่ไว้หน้าผู้ใด?”
พอเห็นท่าทีขึงขังของอีกฝ่าย หนีจวิ้นหว่านก็หลบตา “ข้าแค่ล้อเล่น”
ขณะเดียวกัน โจวชิงหวาก็ปลีกตัวจากวงสนทนามาหาหนีเจียเอ๋อร์ พลางยิ้มเป็เชิงขอโทษ แล้วเอ่ยว่า “เสี่ยวเอ๋อร์ ไปกันเถอะ”
พอเขาพูดจบ หญิงสาวอีกคนที่ดูรีบร้อนผู้หนึ่ง ก็ถลาเข้ามาชนไหล่ของหนีจวิ้นหว่านโดยบังเอิญ จนทำให้จอกชาของนางหลุดมือ
“อ๊ะ! น้องหญิง ระวัง…”
ยังพูดไม่จบ น้ำชาก็กระฉอกใส่ชุดของหนีเจียเอ๋อร์
เมื่อโจวชิงหวาเห็นเช่นนั้น พลันรีบดึงร่างหญิงสาวออกมาจากเหตุสุดวิสัยได้อย่างทันท่วงที ทั้งสองหมุนตัวจนชายกระโปรงกรุยกรายสะบัดพลิ้ว ประหนึ่งบุปผาบานสะพรั่ง
การกระทำของชายหนุ่ม ดึงดูดความสนใจของผู้คนยิ่งนัก หากแต่ยามนี้ ดวงตาของเขากลับวาวโรจน์ไปด้วยแรงโทสะ
ความโกรธเกรี้ยวพลุ่งพล่านไปทั่วร่าง ดวงตาเยียบเย็นดั่งอสรพิษจับจ้องเหยื่อ ทิ่มแทงไปยังหนีจวิ้นหว่านและสตรีแปลกหน้าอย่างไม่ลดละ จนพวกนางตัวสั่นเทา
หนีเจียเอ๋อร์จึงดึงแขนเสื้ออีกฝ่ายเพื่อเตือนสติ “ฮ่องเต้กำลังมองดูพวกเราอยู่ ช่างมันเถิด”
โจวชิงหวาค่อยๆ คลายโทสะลง “รอสักครู่ ข้าขอตัวไปลาฮ่องเต้ก่อน แล้วค่อยไปส่งเ้า”
หญิงสาวพยักหน้า ความจริงแล้ว นางก็ไม่อยากอยู่ในงานเลี้ยงอันน่าเบื่อนานๆ ไม่ว่าจะสะดวกสบายและสวยงามเพียงใด ก็ไม่เท่ากับเรือนหลังเล็กที่ตนคุ้นเคย
ขณะที่โจวชิงหวาผละออกไป ฉินเหยียนก็เดินเข้ามาพร้อมหยางซีหรงและหวังเจินเจิน
แม้หนีเจียเอ๋อร์จะเบื่อหน่าย แต่ก็ต้องรักษาเกียรติของบุตรสาวขุนนางใหญ่ จึงกล่าวทักทาย “คารวะคุณหนูฉิน คุณหนูหยาง คุณหนูหวัง”
ฉินเหยียนพลันเอ่ยขึ้น “คุณหนูสกุลหนีช่างเก่งกาจนัก การร่ายรำเช่นนั้น หากข้าเป็บุรุษคงอดใจเต้นมิได้”
หนีเจียเอ๋อร์ค้อมศีรษะเล็กน้อย “คุณหนูฉินล้อเจียเอ๋อร์เล่นแล้ว ท่าทางเมื่อครู่ของข้าจะเรียกว่าร่ายรำได้อย่างไร สิ่งที่ข้าทำก็เป็เพียงเื่ตลกให้ทุกคนขบขันเท่านั้น”
หยางซีหรงจึงกล่าวว่า “คุณหนูรองหนีถ่อมตัวเกินไปแล้ว การเคลื่อนไหวของท่าน ดูไม่ต่างอันใดจากนางรำที่ถวายการแสดงให้ฮ่องเต้ทอดพระเนตรเมื่อครู่เลย ความสามารถเช่นนี้ช่างยอดเยี่ยมนัก จนข้าไม่อาจหักห้ามใจ ใคร่อยากเห็นท่านร่ายรำให้ดูสักเพลง”
คุณหนูหวังก็เสริมขึ้น “พี่หญิงฉิน เหตุใดท่านไม่ลองไปทูลขอฮ่องเต้ ให้คุณหนูรองร่ายรำให้พวกเราดูสักหน่อยเล่า?”
ที่เมืองหลวงฉีหลานแห่งนี้ ถือคติว่าบุตรีเปรียบดั่งทองคำพันชั่ง นอกจากความรู้ที่สตรีพึงเล่าเรียนแล้ว ทุกบ้านย่อมไม่ยินยอมให้พวกนางได้ฝึกการร่ายรำ เพราะมีเพียงนางคณิกาเท่านั้น ที่ต้องฝึกฝนทักษะเช่นนี้เพื่อเอาใจเหล่าเศรษฐี
ซึ่งนั่นก็หมายความว่า สตรีทั้งสามจงใจหาเื่ดูแคลน เพื่อเหยียดหยามสถานะอันต่ำต้อยของหนีเจียเอ๋อร์นั่นเอง
ั้แ่ก้าวเข้ามาในงาน หญิงสาวก็สงวนท่าทีให้สงบเสงี่ยมอยู่เสมอ ทั้งยังไม่เคยสร้างความบาดหมางใดๆ ให้อีกฝ่ายมาก่อน ความเป็ไปได้เพียงหนึ่งเดียวที่ทำให้ถูกดูิ่เช่นนี้ คงจะเป็ความริษยาที่เห็นโจวชิงหวาออกหน้ามาปกป้องนางอย่างโจ่งแจ้ง
หนีเจียเอ๋อร์ยังคงใจเย็น และตอบโต้ด้วยความสุภาพ “ขออภัยด้วย ข้าไม่เคยฝึกร่ายรำมาก่อน คิดว่าสตรีผู้มีการศึกษาเช่นพวกท่าน คงจะไม่บีบบังคับให้ผู้อื่นทำเื่ที่ไม่ยินดีเป็แน่”
แท้จริงแล้ว หญิงสาวทั้งสามก็มิได้้าจะก่อเื่ ให้รู้ไปถึงหูฮ่องเต้ แต่ที่ลงมือก็เพื่อถากถางอีกฝ่ายเท่านั้น นอกจากพูดจาเสียดสีสองสามคำแล้ว ก็ไม่คิดจะทำสิ่งใดอีก
ทว่าจู่ๆ หนีจวิ้นหว่านก็ก้าวเข้ามาสมทบ ก่อนพูดเสียงหวานปานน้ำผึ้งอาบยาพิษ “คุณหนูโปรดเมตตาด้วย น้องสาวของข้าไม่ถนัดการร่ายรำ หากแต่เชี่ยวชาญการบรรเลงกู่ฉินเป็อย่างยิ่ง ให้นางบรรเลงเพลงสักบทเพื่อขอโทษพวกท่าน ดีหรือไม่?”
หนีเจียเอ๋อร์ขบฟันแน่น ขอโทษอย่างนั้นหรือ? ตลกสิ้นดี จะให้นางขอโทษด้วยเื่อันใด!
ฉินเหยียนเข้าใจคำว่า ‘เชี่ยวชาญการบรรเลงกู่ฉิน’ ได้อย่างว่องไว
เท่าที่รู้มา หนีจวิ้นหว่านกับหนีเจียเอ๋อร์นั้นไม่ลงรอยกันอยู่แล้ว ทั้งตนก็ยังเป็พยานรู้เห็นเหตุ ‘บังเอิญ’ ทำจอกชาหลุดมือของอีกฝ่ายเต็มสองตา ย่อมตีความออก ว่าหนีจวิ้นหว่านหาได้หวังดีต่อน้องสาวอย่างที่เอ่ย แต่คงอยากจะซ้ำเติมให้นางมีเื่อับอายขายหน้าเพิ่มขึ้นมากกว่า
เมื่อคิดเช่นนี้ ฉินเหยียนก็ยิ้มอย่างมีชัย “น้องซีหรง โปรดให้คุณหนูรองหนียืมกู่ฉินสักครา ส่วนคุณหนูหวัง ตามข้าไปทูลขอฮ่องเต้”
แม้หนีเจียเอ๋อร์จะโกรธปานใด ก็ไม่อาจระบายโทสะในที่สาธารณะได้ มิฉะนั้นเหตุการณ์คงจะบานปลาย กลายเป็เื่ร้ายแรง
ฉินเหยียนช่างลงมือได้รวดเร็วนัก ฮ่องเต้เอ่ยปากอนุญาตให้หนีเจียเอ๋อร์ขึ้นแสดงบนเวที ท่ามกลางสายตาผู้คนในงานได้ทันที
หญิงสาวไร้ทางเลือก จึงได้แต่ปล่อยตามน้ำ นางเดินไปกลางเวทีทรงกลม ทำความเคารพฮ่องเต้และผู้ชม แล้วเตรียมบรรเลงดนตรี แต่กลับพบว่าสายทั้งสี่ของกู่ฉินนั้น หาได้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ ทว่าขาดจนดีดมิได้เสียแล้ว
หญิงสาวเงยหน้า และมองไปยังพวกฉินเหยียนที่อยู่ด้านล่าง พบว่าอีกฝ่ายกำลังส่งยิ้มอย่างสาแก่ใจมาให้ นางจึงเลิกคิ้วแล้วยิ้มตอบ ก่อนมองสายกู่ฉินที่ขาดออกจากกัน ด้วยสายตาครุ่นคิด
“ทำไมยังไม่เริ่มอีก?”
“ใช่! นางจะบรรเลงได้จริงๆ หรือ?”
“ปล่อยให้ฝ่าารอนานแล้วนะ!”
เสียงติฉินนินทาดังขึ้นเรื่อยๆ หนีเจียเอ๋อร์ตั้งกู่ฉินขึ้น แล้วกล่าวว่า “ทุกท่านโปรดรอสักครู่ สายกู่ฉินขาด ข้าขอลองดูก่อน ว่าจะสามารถใช้การได้หรือไม่”
คำพูดของนางทำให้ผู้คนพากันหัวเราะ ยกเว้นบุรุษสามคน อันได้แก่สวีเพ่ยหราน ผู้ที่กำลังวิตกกังวลแทน และโจวชิงหวา ซึ่งยังคงมีท่าทีสงบนิ่ง รวมไปถึงฮ่องเต้กู่หังจิ่น ที่กำลังรอชมอย่างเงียบๆ
หนีเจียเอ๋อร์ปรับท่าทางการบรรเลง โดยการตั้งกู่ฉินไว้บนตัก และบรรเลงเพลงด้วยท่าทีผ่อนคลาย จากนั้นท่วงทำนองอันไพเราะ ซึ่งทำให้นึกถึงภูผาและสายน้ำไหล ก็ถาโถมเข้าใส่ผู้คน จนต้องเบิกตากว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ
ส่วนโจวชิงหวาก็มองไปยังหญิงสาวบนเวที ซึ่งดูงดงามไม่ต่างจากเทพธิดา ด้วยดวงตาที่เปล่งประกายชื่นชมและภาคภูมิใจ ก่อนเดินไปหานักดนตรีภายในงาน เพื่อจะขอยืมเครื่องดนตรีมาบรรเลงให้สอดรับกับเสียงกู่ฉินของเสี่ยวเอ๋อร์ จากนั้นก็เดินขึ้นเวทีไปนั่งเคียงข้างอีกฝ่าย
หนีเจียเอ๋อร์เงยหน้าขึ้น แล้วส่งยิ้มบางๆ มาให้ พลางสบตาที่ฉายแววอ่อนโยนและเปี่ยมเสน่ห์ของเขา
ฉินเส้อ[2]สอดประสานกันอย่างกลมกลืน...
ผู้บรรเลงทั้งสองนำเสนอบทเพลงอันไพเราะ ที่ไม่เคยได้ยินที่ไหนมาก่อนให้ผู้ชมได้รับฟัง
พอจบเพลง กว่าทุกคนจะเรียกสติกลับมาได้ ก็ต้องใช้เวลาอยู่พักใหญ่
ฮ่องเต้เป็คนแรกที่ตื่นจากภวังค์สะกดของบทเพลง พระองค์ปรบมืออย่างชื่นชม พร้อมพูดว่า “ข้าไม่เคยได้ยินท่วงทำนองอันไพเราะเช่นนี้มาก่อน งานเลี้ยงชมบุปผาในครั้งนี้ คุ้มค่ายิ่งนัก”
จากนั้นก็มีขันทีผู้หนึ่ง เข้ามากระซิบบางอย่างที่ข้างหู...
---------------------------------
[1] สินเดิม คือ ทรัพย์สินที่บ้านเดิมยกให้บุตรี เป็ทรัพย์สินติดตัวตอนออกเรือน ยิ่งมีสินเดิมมาก ก็แสดงว่าเ้าสาวมีฐานะเป็ที่ยอมรับ หรือโปรดปราน เป็สิ่งที่บ่งชี้ถึงการสนับสนุนจากบ้านแม่ (ครอบครัวเดิม) ดังนั้นพอแต่งงานไป ทางบ้านสามี (ครอบครัวใหม่) ก็จะให้ความสำคัญและเกรงใจเช่นกัน
[2] เส้อ เป็เครื่องดนตรีจีนโบราณ ที่มีมากว่า 4,000 ปีแล้ว
มีรูปทรงเป็สี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาดไม่แน่นอน มี 25 สาย มีหลักยึดสายที่ท้ายเครื่อง 4 หลัก แบ่งเป็ 2 ชุด ชุดในมี 16 สาย ใช้บรรเลงโน้ต F Major Pentatonic ชุดนอกมี 9 สาย บรรเลงโน้ต E Major Pentatonic รวม 10 ครึ่งเสียง (อ้างอิงจากเอกสารการวิจัยของอ. ติงเฉิงอวิ้น: 丁承运)
ส่วนคำว่า ‘ฉินเส้อสอดประสาน’ (琴瑟和鸣: ฉินเส้อเหอิ) มักจะนำมาใช้ในเชิงเปรียบเทียบ หมายถึงสามีภรรยา ที่รักกันอย่างเหนียวแน่น
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้