อวิ๋นอี้เชื่อว่ามีเื่บังเอิญในโลกนี้ ทว่านางไม่เชื่อว่าจะมีเื่บังเอิญถึงเช่นนี้
แม้ว่านางจะมิได้พิสูจน์กับเสี่ยวมู่อวี่ด้วยตนเอง แต่สิ่งที่นางคาดเดาต้องไม่ไกลจากความจริงแน่
เวลาและสถานที่ที่เจอกับเสี่ยวมู่อวี่ ใกล้เคียงกับการหายตัวไปขององค์หญิงน้อยราชวงศ์เป่ยินัก
บวกกับเมื่อพูดถึงพวกเผยยวนอี้สองคนที่มาจากเป่ยิแล้ว ปฏิกิริยาของเสี่ยวมู่อวี่ก็ผิดปกติเกินสังเกตได้
สัญญาณที่น่าสงสัยทุกอย่างบ่งบอกถึงบางสิ่งบางอย่าง
เสี่ยวมู่อวี่น่าจะเป็องค์หญิงน้อย!
การคาดเดาครั้งนี้ทำให้อวิ๋นอี้รู้สึกตื่นเต้นมาก นางนั่งอยู่ในห้องหนังสือเป็เวลานานโดยไม่ขยับ
ดวงตะวันตกลับขอบฟ้าไปแล้ว แทนที่ด้วยดวงจันทร์ที่สว่างไสว เคลื่อนตัวจากขอบฟ้าสู่กลางท้องฟ้า มิทันได้รู้สึกตัวค่ำคืนก็พลันเคลือบคลานเข้ามา สภาพแวดล้อมเงียบสงบ
ในห้องไม่มีไฟ มืดสนิท
ทันใดนั้น ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าจากระยะไกลเข้ามาใกล้ อวิ๋นอี้ได้สติกลับมา ประตูเปิดออกในทันใด
หรงซิวก้าวเข้ามา สังเกตได้ถึงใครบางคนในห้องทันที พลันพูดอย่างระมัดระวังว่า “ผู้ใดน่ะ?”
ในความมืดมิด เขาหันหน้าไปมองนางด้วยแววตาที่เร่าร้อน
อวิ๋นอี้ขยับริมฝีปากและตอบสายตาของเขาว่า "ข้าเอง"
"เมียจ๋า?” เขาแปลกใจและงุนงง จึงเดินเข้าไปตามเสียง “เหตุใดมานั่งอยู่ตรงนี้ไม่จุดตะเกียง? ”
“เมื่อครู่สติหลุดไปกับเื่ที่คิดเพคะ” อวิ๋นอี้บอกความจริง "กลับมามีสติได้เพราะฝ่าาเสียงดัง"
เขาหัวเราะและจุดตะเกียงอย่างรวดเร็ว แสงสีเหลืองอบอุ่นส่องประกายทั้งห้อง นางเงยหน้าขึ้นมองเขา บุรุษที่คิ้วตางดงามหล่อเหลาและริมฝีปากที่แฝงด้วยรอยยิ้ม
หัวใจที่มิมีที่พักของอวิ๋นอี้ได้อ่อนลงในทันที
นางยิ้มและเอื้อมมือออกไป บุรุษหนุ่มใกล้เข้ามาเองปล่อยให้นางกอด น้ำเสียงอ่อนโยนที่ราวกับน้ำจะหยดลงมา "คิดถึงข้าจนมิได้สติหรือ?"
"เปล่าเพคะ" นางยิ้มตอบ
หรงซิวเบิกตากว้างแสร้งทำเป็โกรธ “มิใช่หรือ? พูดสิ! บุรุษป่าเถื่อนผู้ใดมาขโมยหัวใจเมียข้า?”
เขายิ่งแสดงยิ่งติดเล่น อวิ๋นอี้ยิ้มแล้วหยิกเขา “หรงซิว ข้าจะคุยกับท่านเื่จริงจัง!”
“เมียจ๋าพูดเถิด” เขาทำหน้าจริงจัง หูของเขาตั้งตรงขึ้น
อวิ๋นอี้ไม่สามารถเก็บซ่อนความลับได้ ยิ่งตัดสินใจเองมิได้ หากว่าเสี่ยวมู่อวี่เป็องค์หญิงเป่ยิจริงๆ นางมิรู้จะทำอย่างไร จึงได้แต่ขอให้หรงซิวช่วย
นางบอกหรงซิวในเื่การคาดเดาของนาง
“ฝ่าาคิดว่าอย่างไรเพคะ?” อวิ๋นอี้เม้มปาก “เพียงมองตาก็รู้สึกว่าเหมือนมากเลยใช่หรือไม่?”
หรงซิวขมวดคิ้ว กางม้วนภาพในมือดูอยู่นาน จากนั้นกลับไปพิงตัวบนเก้าอี้แล้วหัวเราะออกมาเบาๆ
เขายิ้มทำเอาอวิ๋นอี้หัวชา ตีเขาเบาๆ "พูดสักทีสิเพคะ ใช่เขาหรือไม่?"
“เป็ไปได้อย่างมาก” หรงซิวมั่นใจ “คิดไม่ถึงเลยว่าย่ำจนรองเท้าเหล็กสึกไม่พบพาน [1] หลังจากค้นหาไปทั่วทุกทิศ ที่แท้เขาจะอยู่ใต้จมูกของเรา”
"เช่นนั้นเพลานี้... " อวิ๋นอี้ลังเล "พวกเราควรทำอย่างไรเพคะ? เราควรบอกองค์ชายไปเลย หรือว่าควรจะคุยกับเสี่ยวมู่อวี่ก่อน ให้เขายอมรับ"
"เ้าคิดอย่างไร" หรงซิวยักไหล่แล้วถามความคิดเห็นของนาง "ทางองค์ชายมิต้องรีบร้อน ข้าแนะนำให้ไปคุยกับเด็กน้อยก่อน ทำความเข้าใจสถานการณ์จากเขาก่อน"
"ข้าคิดเช่นเดียวกัน"
หลังจากทานอาหารเย็นอย่างรวดเร็ว หรงซิวและอวิ๋นอี้ก็นำขนมมาให้เสี่ยวมู่อวี่ ทว่าก่อนที่จะไปถึงเรือนดันพบเผยยวนอี้โดยบังเอิญเสียก่อน จึงใกันมาก
เหตุใดเขาถึงอยู่ที่นี่?
“องค์ชายใหญ่” หรงซิวพูดอย่างสงบ "ได้พบกันที่นี่เชียว"
"พวกท่านมาที่นี่..." เผยยวนอี้ถามครึ่งหนึ่งพลันรู้สึกว่าไม่ดี จึงเปลี่ยนคำพูด “หลังจากอาหารค่ำ ข้ามาเดินเล่น เมื่อครู่เห็นเด็กคนหนึ่ง มองดูรู้สึกคุ้นตาจึงอยากจะตามไปดู ไม่คิดเลยว่าจะพบพวกท่าน"
เด็ก!
อวิ๋นอี้ประหม่าจนเล็บจิกลงไปในเนื้อ เสียงของนางสั่น "เด็กที่องค์ชายเห็น เกรงว่าจะเป็หลานชายของพวกเราน่ะเพคะ"
"หลานชายหรือ?” เผยยวนอี้หันหน้ามา ถามอย่างลังเล “เหตุใดจึงมิเคยได้ยินพระชายาพูดถึง? ”
"หลานชายของข้าผู้นี้ชอบเก็บตัว ไม่ชอบพบปะผู้คน ญาติข้าฝากเลี้ยงไว้สักพักน่ะเพคะ" นางอธิบาย คิดคำตอบให้วุ่น
เผยยวนอี้เข้าใจในทันใด "เช่นนี้นี่เอง ข้าคงคิดมากไปเอง"
"องค์ชายพักผ่อนเถิด ข้ากับอวิ๋นอี้ยังมีธุระ ขอตัวนะพ่ะย่ะค่ะ" หรงซิวรีบตัดจบอย่างสุภาพ ทั้งสองเฝ้าดูเผยยวนอี้ออกไป พลันมองตากันและนั้นรีบเข้าไปในเรือน
เรือนนี้คนยังไม่หลับ การมาถึงของพวกเขาทำให้เสี่ยวมู่อวี่แปลกใจมาก
ต่อหน้าอวิ๋นอี้ เสี่ยวมู่อวี่ร่าเริงมาก ทว่าต่อหน้าหรงซิวเขาทั้งฉลาดและเชื่อฟัง
หลังจากที่เขาทพความเคารพแล้ว หรงซิวพลันสั่งให้คนใช้ทั้งหมดออกไป และทันทีที่ประตูปิด บรรยากาศโดยรอบก็ตึงเครียดและจริงจัง
เสี่ยวมู่อวี่งุนงงเล็กน้อย ทั้งกลัวด้วย เขามองดูอวิ๋นอี้อย่างระมัดระวังและถามว่าเกิดกระไรขึ้นเบาๆ
อวิ๋นอี้ส่ายหัวและมองเขาอย่างปลอบโยน "อย่าได้กลัวไป"
ทั้งสองคนมองกันไปมา หรงซิวมองเห็นทุกอย่าง นิ้วเรียวของเขาเคาะลงบนโต๊ะแล้วพยักหน้าให้เสี่ยวมู่อวี่ "มานั่งนี่สิ"
เสี่ยวมู่อวี่ก้าวไปข้างหน้าและพูดว่า "องค์ชาย มีกระไรหรือพ่ะย่ะค่ะ?"
“เสี่ยวมู่อวี่ ที่ข้าและแม่เ้ามาที่นี่ เพราะอยากจะถามคำถามเ้า” หรงซิวมิอยากอ้อมค้อม จึงพูดไปตรงๆ “เ้ามิต้องกลัว เราจะไม่โกหกกัน มีกระไรก็พูดกันได้หรือไม่?”
“เหตุใด จู่ๆ …” เสี่ยวมู่อวี่หดคอ สีหน้าเปลี่ยนไป ตอนที่เผชิญหน้ากับหรงซิว ั์ตาของเขาเหมือนจะมองเห็นทุกสิ่ง จึงทำให้เขามิมีความกล้าใดๆ “พ่ะย่ะค่ะ”
ทั้งสองเห็นเช่นนั้น การคาดเดาในใจยิ่งชัดเจนขึ้นไปอีก
หรงซิวไม่รีบร้อน เขารินชาหนึ่งถ้วย มิได้ถามในทันที แต่ถามก่อนว่าเขาอยู่ในจวนองค์ชายรู้สึกอย่างไรบ้าง
เสี่ยวมู่อวี่ตอบทีละคำถาม
เมื่อเห็นว่าถึงเวลาแล้ว หรงซิวยิ้มเล็กน้อยแล้วยื่นดาบตรงเข้าไป "เ้าคือองค์หญิงน้อยที่หายไปของเป่ยิใช่หรือไม่?"
"......"
เสี่ยวมู่อวี่มือสั่น ทำเอาถ้วยน้ำชาบนโต๊ะหก เขารีบจะเก็บกวาดแต่ถูกอวิ๋นอี้ขวางไว้ก้าวหนึ่ง เขาจึงทำได้เพียงจับชายเสื้อผ้าของเขาและก้มหน้าลง
เวลาผ่านไปนาทีแล้วนาทีเล่า
หรงซิวไม่รีบ รอคอยคำตอบช้าๆ
ความเงียบและความเฉยของเขาเป็เหมือนนักล่าที่ชาญฉลาด ตาข่ายถูกวางไว้หมดแล้ว เหยื่อมิมีที่หลบหนี ทั้งหมดที่เขาต้องทำคือรอให้เหยื่อยอมรับความพ่ายแพ้และหยุดดิ้นรน
หรงซิวรอจนได้คำตอบ
เสี่ยวมู่อวี่กำหมัดแน่นและร้องว่า "ใช่! ข้านี่แหละ! แต่ฝ่าาพ่ะย่ะค่ะ ได้โปรดอย่าส่งข้ากลับ! ขอร้องนะพ่ะย่ะค่ะ!"
ประโยคหลังของเขาแทบจะะโทั้งหมด ในกลางดึก ผู้คนต่างตกตะลึงเมื่อได้ยินเสียง
อวิ๋นอี้ก้าวไปข้างหน้าทันที อยากจะอุ้มเขาขึ้นมา
ทว่าผู้ใดจะคิดล่ะว่าเสี่ยวมู่อวี่จู่ๆ ก็คุกเข่าลงกับพื้น โขกหัวลงพื้นติดต่อกัน พูดมิหยุด "ได้โปรด! ข้ากลับไปมิได้! ข้ากลับไปมิได้!"
เด็กน้อยร้องไห้หนัก น้ำตาและน้ำมูกไหลนองหน้าเขา เห็นเช่นนั้นนางพลันอดรู้สึกเ็ปมิได้น้ำตาคลอเบ้า
อวิ๋นอี้อุ้มเขาขึ้น เสี่ยวมู่อวี่ซุกตัวอยู่ในอ้อมแขน ร้องไห้อย่างทรมานมากกว่าเดิม
“มิต้องร้องไห้” นางปลอบเขา “ข้าจะไม่ส่งเ้ากลับ แต่ข้าต้องรู้เหตุผล”
เชิงอรรถ
[1] ย่ำจนรองเท้าเหล็กสึกไม่พบพาน 踏破铁鞋无觅处 หมายถึง พยายามหาแทบตายก็ไม่เจอ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้