เฟ่ยเฉิงเจ๋ออยู่ข้างกายเฉินเจวี๋ยมา 5 ปีกว่าแล้ว การที่เขาสามารถดิ้นรนมาถึงตำแหน่งนี้จากการเป็เลขาธรรมดาๆ ได้ แน่นอนว่าเขาต้องมีความสามารถมาก เขาคิดว่าตัวเองสามารถวิเคราะห์ความคิดของเ้านายได้เป็อย่างดี ด้วยตำแหน่งที่สูงขึ้นในทุกวันทำให้ยิ่งทะนงตนขึ้นตามไปด้วย และในตอนนี้เขาก็คิดว่าตัวเองสามารถเป็ตัวแทนของเ้านายได้อย่างสมบูรณ์
เฟ่ยเฉิงเจ๋อจึงรำคาญใจในความไม่รู้อะไรของฉินซีเป็อย่างมาก เขามาทำแผลที่โรงพยาบาลอยู่นาน คิดไม่ถึงเลยว่าภายใต้รูปร่างภายนอกที่บอบบางราวกับดอกไม้ประดับแจกันนั้น ความจริงแล้วจะดุร้ายขนาดนี้ หมอบอกกับเขาว่า อีกเพียงนิดเดียวกระดูกของเขาก็สามารถหักได้ และอาจมีการสมองกระทบกระเทือนอีก ไม่เพียงเท่านั้น ตอนทำแผลอยู่ที่โรงพยาบาล เฟ่ยเฉิงเจ๋อก็รู้สึกเวียนหัวไปหมด เขาโมโหจนเกือบจะบีบแก้วในมือแตก
วันต่อมาเฟ่ยเฉิงเจ๋อก็ไปทำแผลที่โรงพยาบาลอีกครั้ง
“เรียบร้อยแล้ว คุณเฟ่ยต้องระวังอย่าให้าแติดเชื้อนะครับ ถ้ามีอาการเวียนหัวหรืออยากอาเจียนก็รีบมาตรวจที่โรงพยาบาลอีกครั้งทันทีนะครับ...” หมอเก็บขวดยาไปพร้อมเอ่ยกำชับ
เฟ่ยเฉิงเจ๋อพยักหน้าตอบช้าๆ ในตอนนั้นเองโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น เดิมทีไฟโทสะยังคงสุมอกของเฟ่ยเฉิงเจ๋อ แต่เมื่อเห็นชื่อบนจอมือถือ ความไม่พอใจบนใบหน้าก็สลายไปทันที เขารับโทรศัพท์ไปพร้อมรอยยิ้ม แม้แต่หมอที่อยู่ตรงข้ามก็ยังต้องถอนหายใจให้กับอารมณ์บนใบหน้าที่เปลี่ยนไปแทบจะทันทีนั้น
“ครับ… ครับ ผมเข้าใจแล้วครับ ครับ...” หลังจากนั้นไม่กี่วินาที เฟ่ยเฉิงเจ๋อก็วางสาย สีหน้าของเขาดูไม่สู้ดีนัก ความกังวลเริ่มเข้าปกคลุมจิตใจของเขา
เฟ่ยเฉิงเจ๋อต้องรีบเรียกรถไปยังโรงแรมที่เมื่อ 2 วันก่อนเพิ่งจะไปมา หรือว่าประธานจะเอาความไม่พอใจและความโมโหของฉินซีมาลงที่เขา? เฟ่ยเฉิงเจ๋อส่งเสียง “หึ” ขึ้นในใจ หลังจากไปถึงแล้ว เขาจะต้องเปิดโปงเ้าคนหน้าใหม่ที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ทั้งยังอยากจะได้เงินให้มากขึ้นคนนั้นต่อหน้าท่านประธานแน่!
เขาขึ้นไปยังชั้น 5 ของโรงแรมด้วยความโมโห เขาเคาะประตูห้อง ก่อนจะเดินเข้าไปและเอ่ยเรียกเฉินเจวี๋ยขึ้นด้วยความนอบน้อม “ท่านประธาน”
ในใจของฉินซีรู้สึกไม่ชอบใจในการกระทำของผู้ช่วยคนนี้เป็อย่างมาก ก่อนหน้านี้ต่อหน้าเขาก็เชิดคางขึ้นจนปลายคางแทบจะแตะท้องฟ้า ทว่ามาตอนนี้มาอยู่ต่อหน้าเฉินเจวี๋ยกลับมีท่าทีนอบน้อมเสียยิ่งกว่าใคร
เฉินเจวี๋ยไม่แม้แต่จะหันไปมองเฟ่ยเฉิงเจ๋อ ก็แค่ผู้ช่วยคนหนึ่งเท่านั้น เฉินเจวี๋ยไม่จำเป็ต้องใส่ใจอะไรเขานัก
“ทำไมถึงเซ็นสัญญากับฉินซีไม่สำเร็จล่ะ?” เฉินเจวี๋ยส่งเสียงถาม
เฟ่ยเฉิงเจ๋อเดาะลิ้นในใจ ดูเหมือนประธานจะโดนเล่นของถึงได้ออกหน้าแทนฉินซีขนาดนี้! ความโมโหในใจของเฟ่ยเฉิงเจ๋อยิ่งพลุ่งพล่าน แต่เขาก็ยังแสดงสีหน้าใพร้อมพูดขึ้น “เขาไม่ได้บอกท่านประธานเหรอครับ? ผมกับฉินซีตกลงเื่เงินกันไม่ได้ ดังนั้น… ก็เลยทำสัญญาไม่สำเร็จน่ะครับ...”
เฉินเจวี๋ยเอ่ยถามเสียงเย็น “นายเสนอให้เขาไปยังไง? แล้วเขา้ายังไง?”
“ผมก็ทำไปตามที่ท่านสั่งมาครับ แต่คิดไม่ถึงว่า… คุณชายฉินจะไม่พอใจกับจำนวนเงินนี้เป็อย่างมาก แถมยังทำร้ายผมด้วย ท่านดูสิครับ...” เฟ่ยเฉิงเจ๋อแสดงสีหน้าของผู้ถูกกระทำออกมา
ถ้าเป็หัวหน้าคนอื่นก็คงถูกการแสดงของเขาหลอกลวงไปแล้ว แต่เฉินเจวี๋ยเชี่ยวชาญด้านการอ่านใจคนเป็อย่างมาก แล้วเขาจะถูกคนอย่างเฟ่ยเฉิงเจ๋อมาทำให้สับสนไปได้อย่างไร?
“ฉันสั่ง? ฉันสั่งให้นายให้เงินฉินซีเดือนละ 200,000 หยวน รับเลี้ยงเขาอย่างกับขอทานแบบนั้นเหรอ?” เมื่อเห็นเฟ่ยเฉิงเจ๋อหน้าด้านหน้าทนขนาดนั้น เฉินเจวี๋ยก็พูดออกมาด้วยความโมโห เฟ่ยเฉิงเจ๋อถึงกับเข่าอ่อน แทบเกือบจะทรุดตัวลงต่อหน้าเฉินเจวี๋ย
เขารีบเช็ดหยาดเหงื่อบนใบหน้า ความมั่นใจค่อยๆ ลดลง หรือว่าก่อนหน้านี้ที่ประธานปกป้องฉินซีขนาดนั้นจะไม่ได้ทำไปเพราะอยากเลี้ยงดูเขา? ไม่ใช่ว่าพวกประธานบริษัทมักจะเป็แบบนี้หรอกเหรอ? มีตรงไหนที่ผิดพลาดไป? เขาคาดเดาความคิดของประธานผิดไปเหรอ? ไม่! นี่มันเป็ไปไม่ได้!
เฟ่ยเฉิงเจ๋อพยายามสงบสติลง เขารู้สึกดีใจที่ตัวเองฉีกสัญญาพวกนั้นทิ้งไปแล้ว ดังนั้นตอนนี้จึงไม่มีหลักฐานอะไร เขายังสามารถโยนความผิดให้ฉินซีได้อยู่ ทางที่ดีก็ควรทำให้ประธานไม่พอใจในตัวฉินซีไปเลย
“ท่านประธานคงจะเข้าใจผิดแล้ว ผมจะเอาสัญญาแบบนั้นไปให้ฉินซีได้ยังไงครับ?” เฟ่ยเฉิงเจ๋อพูดด้วยความซื่อสัตย์และยังเจือไปด้วยความน้อยใจ
ฉินซีที่อยู่ข้างๆ เหยียดยิ้ม โชคดีที่เขาเตรียมตัวไว้ก่อน ไม่อย่างนั้นเกรงว่าถ้าเฟ่ยเฉิงเจ๋อไม่ยอมรับขนาดนี้ ผลสุดท้ายจะเป็อย่างไรก็ไม่แน่
สัญญาในมือของฉินซี เฉินเจวี๋ยได้ดูมาก่อนแล้ว เฉินเจวี๋ยย่อมรู้ดีว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่ฉินซีปลอมแปลงขึ้น เนื่องจาก้านั้นมีตราบริษัท รอยตราประทับสีแดงนั่นไม่มีทางโกหก และเฉินเจวี๋ยก็เชื่อว่าฉินซีไม่มีทางพูดปด ดังนั้นคนที่โกหกทั้งยังไม่รู้จักสำนึกก็คือเฟ่ยเฉิงเจ๋อ!
สีหน้าของเฉินเจวี๋ยยิ่งเย็นะเื สายตาที่มองไปยังเฟ่ยเฉิงเจ๋อดูราวกับกำลังมองคนที่ไม่อาจจะช่วยเหลือกลับมาได้แล้ว เขานำกระดาษ A4 ปึกหนึ่งออกมาจากด้านหลัง เมื่อเฟ่ยเฉิงเจ๋อเห็นท่าทางของเขา หนังตาก็กระตุกขึ้นมาพร้อมกับลางไม่ดี
ในวินาทีต่อมา เฉินเจวี๋ยก็สะบัดกระดาษปึกนั้นลงตรงหน้าเฟ่ยเฉิงเจ๋อ “เก็บขึ้นมาดูเอาเองเถอะ” น้ำเสียงของเฉินเจวี๋ยราบเรียบ ทว่ากลับทำให้เฟ่ยเฉิงเจ๋อหวาดกลัว ครั้งหนึ่งเขาเคยเห็นเฉินเจวี๋ยจัดการคนข้างกายที่ทรยศเขาด้วยใบหน้านิ่งเฉย ใจคอของเฉินเจวี๋ยถือได้ว่าโเี้มาก และภายนอกที่สุขุมมีมารยาทเ่าั้ก็เป็ภาพลวงที่ดีที่สุดของเขา
ยิ่งเป็คนแบบนี้ก็ยิ่งน่ากลัว...
เฟ่ยเฉิงเจ๋อเก็บสัญญาบนพื้นขึ้นมาด้วยมือที่สั่นเทา เมื่อเปิดออกดู ก็รู้ว่าตัวเองไม่อาจอธิบายอะไรได้อีก
ฉินซีนั่งอยู่ข้างๆ เฉินเจวี๋ย สิ่งที่ผิดไปจากคาดก็คือ แม้ตอนนี้เขาจะเห็นเฉินเจวี๋ยโมโหถึงขีดสุด เขาก็ไม่ได้รู้สึกว่าเฉินเจวี๋ยห่างไกลไม่ควรเข้าใกล้อย่างตอนแรก ดูเหมือนจะเป็เพราะหลังจากคุ้นเคยกันแล้ว เขาก็ไม่ได้มองเฉินเจวี๋ยเป็พระเ้าอย่างก่อนหน้านี้...
ความคิดของฉินซีหลุดลอยไปชั่วครู่...
ในตอนที่ฉินซีได้สติกลับมา เฟ่ยเฉิงเจ๋อก็กำลังมองเฉินเจวี๋ยด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ เขาเกือบจะพุ่งไปถึงแทบเท่าของเฉินเจวี๋ยอยู่แล้ว เขาะโอย่างไม่พอใจ “ท่านจะไล่ผมออกไม่ได้นะครับ! ท่านจะไล่ผมออกโดยไร้เหตุผลไม่ได้! ไม่! ไม่ได้นะครับ!” เมื่อฉินซีได้เห็นแบบนี้ ก็ยิ่งสมเพชคนคนนี้มากขึ้น ดูถูกคนอื่น ทั้งยังชอบรังแกผู้น้อยตบตาผู้ใหญ่ เมื่อถูกจับได้ก็ยังไม่ยอมรับ นอกจากมีวิธีการขั้นตอนและความสามารถในการทำงานอยู่บ้าง คนแบบนี้ก็เป็ที่น่ารังเกียจของสังคมมากทีเดียว
ความไม่พอใจของเฉินเจวี๋ยทะยานถึงขีดสุด เขาขมวดคิ้วเข้าหากัน ในแววตาเผยประกายความเกลียดชัง “เฟ่ยเฉิงเจ๋อ การเป็ผู้ช่วยของฉันคงทำให้นายได้ประโยชน์ไม่น้อยสินะ? ที่นายรับเงินอั่งเปามามากมายนั้น คิดว่าฉันจะไม่รู้เหรอ มีความสามารถก็จริง แต่เมื่อเทียบกับนิสัยของนายแล้ว มันก็ไม่ได้ถือว่ามีอะไรดีนัก ฉันไล่นายออกไปตอนนี้ นายก็ยังสามารถออกไปดีๆ ได้ อย่าสร้างปัญหาอะไรอีกเลย ไม่อย่างนั้นทั้งสายงานนี้ก็คงไม่มีใครกล้ารับนายเข้าทำงานแล้ว”
เฉินเจวี๋ยเพียงพูดขู่เท่านั้น แต่เฟ่ยเฉิงเจ๋อกลับกลัวขึ้นมาจริงๆ เขากวาดสายตาไปทางฉินซีด้วยความดุดัน มันแฝงความโศกเศร้าราวกับวีรบุรุษที่ไม่อาจเอาชนะคนงามได้อยู่ หลังจากนั้นเขาก็ออกจากโรงแรมไปด้วยความมืดมน
อารมณ์ของเฉินเจวี๋ยยังไม่ดีนัก เขาหันไปถามฉินซี “ถ้ามีสัญญาชุดใหม่ นายยินดีจะเซ็นสัญญาด้วยไหม?”
เมื่อสบเข้ากับดวงตาที่ล้ำลึกไร้จุดสิ้นสุดและไม่อาจเดาอารมณ์ใดได้ของเฉินเจวี๋ย ฉินซีก็หลุดปากพูดออกไปโดยไม่ทันรู้ตัว “ยินดีครับ”
เฉินเจวี๋ยพยักหน้า “ฉันจะเตรียมสัญญาใหม่ให้นาย”
ฉินซีพยักหน้าตาม หลังจากนั้นก็ถามขึ้นอย่างอดไม่ได้ “ช่วยส่งผมกลับไปยังที่อยู่ของผมได้ไหมครับ?” แม้ตอนอยู่ที่โรงแรมจะได้รับการบริการรอบด้าน แต่มันก็ทำให้เขารู้สึกเหมือนไร้ที่อยู่ ดังนั้นการกลับไปอยู่บ้านของตัวเองนั้นย่อมสบายใจกว่า
เฉินเจวี๋ยมองเขาสักพัก เมื่อเห็นฉินซีเริ่มจะจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว เฉินเจวี๋ยก็รู้ว่าฉินซียืนยันจะกลับบ้านให้ได้จากวิธีนี้ สุดท้ายเขาจึงลุกขึ้นยืน “ฉันจะขับรถไปส่ง”
ฉินซีคุ้นชินกับการกระทำแบบนี้ของเฉินเจวี๋ยแล้ว จึงไม่ได้ใกับการถูกดูแลใส่ใจแบบนี้อย่างแต่ก่อน ทั้งสองออกจากโรงแรมด้วยความรวดเร็ว และครั้งนี้ฉินซีก็ไม่ได้พบเจอกับแฟนคลับที่บ้าคลั่งอีก
ทางฝั่งนี้เฉินเจวี๋ยออกตัวจัดการเฟ่ยเฉิงเจ๋อไป ส่วนอีกด้านจงซิงอู๋ก็เพิ่งจะลงแถลงการณ์ไป ผู้จัดการของเขาอย่างอันน่าโพสต์แถลงอย่างเป็ทางการก่อน จากนั้นจงซิงอู๋ก็โพสต์แนะนำแฟนคลับของตัวเองอย่างนุ่มนวลลงในเวยป๋อของตัวเองอีกครั้ง ทั้งยังบอกเล่าเื่ที่ฉินซีได้พบเจอลงไปด้วย จงซิงอู๋กล่าวถึงความปวดใจของเขาหลังจากฉินซีถูกโจมตี รวมทั้งยังบอกว่า ไม่ว่าจะเป็แฟนคลับของใครต่างก็ต้องมีสติเอาไว้ การที่มีคนมาชอบ ดาราทุกคนต่างก็ดีใจมากกันทั้งนั้น แต่เวลาแฟนคลับทำอะไร ศิลปินจะต้องเป็คนรับหน้า ดังนั้นจึงหวังว่าทุกคนจะไม่หุนหันทำเื่ที่จะทำให้ทุกคนเสียใจ และทำให้ศิลปินผิดหวังลงไป
คำพูดของจงซิงอู๋มีอิทธิพลมากพอ ท่าทางถูกบีบบังคับจนถึงสถานการณ์สิ้นหวังของเขาเรียกสติของเหล่าแฟนคลับได้ไม่น้อย เหล่าแฟนคลับจึงหันกระบอกปืนเพ่งเล็งไปที่เหล่าปาปารัสซี่ทันที พวกเขาแสดงความเห็นออกมาว่าพวกปาปารัสซี่ทำให้ศิลปินของพวกเขาต้องเสียใจขนาดนี้ และยังมีแฟนคลับที่เปิดใจมากขึ้นจึงแสดงความเห็นลงในเวยป๋อทั้งน้ำตา
“เทพบุตร คุณไปมีความรักเถอะค่ะ เทพบุตรต้องฝ่าฟันในวงการมานานหลายปีแล้ว แต่ข้างกายกลับไม่มีใครอยู่เคียงข้าง มีความรักแล้วจะเป็อะไรไปล่ะ? พวกคนบางส่วนน่ะ เลิกบีบบังคับได้แล้ว ถ้ารักเทพบุตรจริงก็ควรให้เขาได้มีความรักที่ดีสิ...”
“ความจริงมองๆ แล้ว เด็กผู้ชายคนนั้นก็เหมาะกับเทพบุตรมากเลยนะ หน้าตาดีมากเลยอ่ะ!”
“ฉันจะชิปคู่ ‘จงซิงอู๋xฉินซี’ แล้วนะ!”
“…"
เฉินเจวี๋ยเลื่อนอ่านคอมเมนต์มากมายในเวยป๋อ ฉินซีที่อยู่ข้างๆ ได้ยินเสียงแจ้งเตือนเวยป๋อดัง “ติ๊ง~” “ติ๊ง~” จากโทรศัพท์ของเฉินเจวี๋ยไม่หยุดหย่อน เขาอ้าปากค้างด้วยความใ ที่แท้เฉินเจวี๋ยก็เป็คนเข้าถึงง่ายขนาดเล่นเวยป๋อแบบนี้เลยเหรอ?
เพียงแต่สีหน้าของเฉินเจวี๋ยนั้นกลับดูหม่นหมองลงเรื่อยๆ ฉินซีราวกับถูกบรรยากาศรอบตัวเฉินเจวี๋ยทำให้รู้สึกอึดอัดตามไปด้วย เขาจึงอดถามขึ้นไม่ได้ “คุณเฉิน เป็อะไรไปหรือเปล่าครับ?”
เฉินเจวี๋ยขยับคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะเก็บโทรศัพท์ลงทันที มุมปากของเขามีรอยยิ้มบางๆ ปรากฏอยู่ มันดูเหมือนกับพวกหัวหน้าที่ใจดีและเป็กันเอง เขาถามขึ้น “นายรู้สึกยังไงกับจงซิงอู๋?”
หนังตาของฉินซีกระตุกขึ้นมา เขาไตร่ตรองอยู่สักพักว่าควรตอบคำถามนี้กลับไปอย่างไร “อืม… ผมไม่ได้รู้สึกอะไรนะครับ ก็… เป็รุ่นพี่ในวงการที่ดีมากคนหนึ่ง… เป็อาจารย์ในสายอาชีพที่ดีมาก” ฉินซีคิดว่าเขาจะชมจงซิงอู๋มากไปไม่ได้ ถ้าเฉินเจวี๋ยหึงขึ้นมาจะทำอย่างไร? อ๊า เฉินเจวี๋ยจะต้องชอบจงซิงอู๋แน่ๆ ไม่อย่างนั้นคงจะไม่ถามแบบนี้...
ดูเหมือนว่ารอยยิ้มบนใบหน้าของเฉินเจวี๋ยจะอ่อนโยนขึ้นมาเล็กน้อย “อ้อ แบบนั้นก็ดี” พอพูดไปแล้ว สีหน้าของเขาก็เคร่งเครียดขึ้นมาอีก “นักแสดงไม่ควรมีความรัก อย่างน้อยก็ไม่ใช่ว่าเร็วขนาดนี้”
ฉินซีรู้สึกสับสน พูดจนลิ้นพันกันวุ่นวาย “... ผม… ต่อให้ผมมีความรัก ก็ไม่มีทางเป็เทพเ้าจงหรอกครับ” เขาไม่ได้มีความรู้สึกแบบนั้นกับจงซิงอู๋จริงๆ! และไม่ต้องพูดถึงว่าเมื่อชาติก่อนเขาลำบากเพราะความรักมามาก ชาตินี้เขาคงไม่มีกำลังใจไปคิดถึงเื่แบบนี้นักหรอก