หลังจากมู่เยี่ยและยอดฝีมือระดับหยวนตานคนอื่นๆ จากไปแล้ว เหล่าบัณฑิตหน้าใหม่ที่เพิ่งจะมาถึงก็พากันทยอยเดินเข้าไปรวมตัวกับบัณฑิตกลุ่มใหญ่ซึ่งเป็บัณฑิตใหม่ที่มาถึงก่อนพวกเขา เหล่าบัณฑิตหน้าใหม่นั้นเดินทางมาจากหลายอาณาจักร โดยรวมแล้วมีบัณฑิตที่เข้าศึกษาใหม่จำนวนกว่าพันคน แต่ละคนล้วนเป็คนรุ่นเยาว์ที่อยู่ในวัยสิบสี่ถึงสิบแปดปี และส่วนใหญ่มีวรยุทธ์ระดับทงม่ายขั้นเก้า ส่วนคนที่สามารถบรรลุระดับจื่อฝู่ได้นั้นมีอยู่น้อยมาก
ขณะนี้บนลานจัตุรัสมีบัณฑิตหน้าใหม่มารวมตัวกันจำนวนมากกว่าหนึ่งพันคน นอกจากนี้ยังมีคนของสำนักศึกษาที่อยู่ในชุดคลุมสีครามอีกหลายคนซึ่งเข้ามาช่วยกำกับดูแลความเรียบร้อย
บนแท่นเวทีที่ยกสูงเหนือพื้นดิน มีบุรุษร่างสูงใหญ่หุ่นกำยำในชุดคลุมสีน้ำเงินผู้หนึ่งยืนอยู่ ดวงตาที่กำลังเปล่งประกายของเขากวาดมองเหล่าบัณฑิตหน้าใหม่จำนวนกว่าพันคนด้านล่าง จากนั้นก็ตะเบ็งเสียงออกมา
“โปรดอยู่ในความสงบ!”
เสียงของเขาดังก้องกังวานไปทั่วจัตุรัสราวกับเสียงระฆัง เหล่าบัณฑิตนับพันคนที่กำลังคุยกันต่างก็เงียบเสียงลงทันใด จากนั้นสายตาของพวกเขาก็จับจ้องไปยังบุรุษผู้นั้น
“ข้าผู้นี้มีนามว่าเจิ้งเยว่เซิง เป็ผู้าุโใหญ่ที่คอยดูแลศิษย์สายนอกของสำนักศึกษาเทียนอวิ่น นับั้แ่วันนี้เป็ต้นไป ทุกคนที่อยู่ในที่แห่งนี้จะถือเป็ศิษย์สายนอกของสำนักศึกษาเทียนอวิ่นอย่างเต็มตัวแล้ว หลังจากได้รับการถ่ายทอดทักษะวิชาและฝึกฝนวรยุทธ์จนสามารถบรรลุถึงระดับหนิงกังได้ เมื่อนั้นก็จะสามารถเลื่อนขั้นขึ้นเป็ศิษย์สายในของสำนักศึกษา เมื่อถึงเวลานั้นพวกเ้าจะมีสิทธิ์เข้าสู่สถานฝึกฝนที่ดีที่สุดของสำนัก ในแต่ละรุ่นจะมีผู้แข็งแกร่งจบการศึกษาจากสำนักศึกษาของเราจำนวนนับไม่ถ้วน และในจำนวนพวกเขาเ่าั้ยังมีผู้แข็งแกร่งระดับหยวนตานอยู่ไม่น้อย”
ผู้าุโเจิ้งเยว่เซิงกวาดสายตามองใบหน้าของบรรดาศิษย์รุ่นเยาว์ ขณะกล่าวด้วยเสียงอันทรงพลัง
“เมื่ออยู่ในสำนักศึกษาก็ต้องปฏิบัติตามกฎของสำนักศึกษา ที่นี่มีกฎเหล็กว่าห้ามสังหารศิษย์ร่วมสำนักเป็อันขาด ไม่ว่าภูมิหลังของพวกเ้าจะเป็อย่างไร หรือต่อให้เป็ถึงองค์ชายก็ไม่สามารถฝ่าฝืนกฎข้อห้ามนี้ได้ ไม่เช่นนั้นพวกเ้าจะได้รับความตายเป็บทลงโทษ”
ทันใดนั้นดวงตาของเจิ้งเยว่เซิงก็ทอประกายคมกริบ
“เอาละ แจกจ่ายบัตรผลึกสีน้ำเงิน”
เจิ้งเยว่เซิงเอ่ยขึ้น ทันใดนั้นเหล่าผู้ช่วยในชุดคลุมสีครามต่างก็นำบัตรผลึกสีน้ำเงินออกมาแจกจ่ายให้กับเหล่าบัณฑิตหน้าใหม่คนละหนึ่งแผ่น
มู่เฟิงยกบัตรผลึกขึ้นมาพิจารณามอง เขาพบว่าบนบัตรผลึกนี้มีลายเส้นพลังปราณสลักอยู่บนนั้น เพียงแต่เขาไม่รู้ว่ามันมีประโยชน์อันใด
หลังการแจกจ่าย เจิ้งเยว่เซิงก็กล่าวต่อว่า “บัตรเหล่านี้จะบันทึกคะแนนเรียนของพวกเ้าเอาไว้ เวลานี้ทุกคนต่างก็มีคะแนนหนึ่งร้อยคะแนนเท่ากันหมด ส่วนประโยชน์ของคะแนนพวกนี้ก็คือพวกเ้าสามารถนำคะแนนเรียนที่มีอยู่ไปแลกกับอาวุธปราณ หรือใช้ในการยืมตำราในหอคัมภีร์ได้ สิ่งเหล่านี้พวกเ้าจำเป็ต้องใช้คะแนนเรียนในการแลกเปลี่ยน สำหรับวิธีที่จะได้รับคะแนนเรียนเพิ่มนั้น จะมีคนบอกพวกเ้าในภายหลัง เอาละ ผู้ดูแลทุกท่านพาพวกเขาไปยังหอพักตามที่ทางสำนักศึกษาจัดเตรียมเอาไว้เถอะ”
หลังจากเจิ้งเยว่เซิงกล่าวจบ กลุ่มผู้ดูแลก็เข้ามาช่วยกันแบ่งกลุ่ม โดยหนึ่งคนรับผิดชอบดูแลบัณฑิตจำนวนหลายสิบคน เมื่อจัดสรรกลุ่มได้แล้ว พวกเขาก็พาเหล่าบัณฑิตหน้าใหม่ไปยังเขตหอพักในทันที
มู่เฟิงและคนอื่นๆ เดินตามผู้ดูแลคนหนึ่งไป ภายในกลุ่มของพวกเขาล้วนเป็คนรุ่นเยาว์ที่มาจากเมืองหลวงของอาณาจักรหนานหลิง
บนลานจัตุรัส มีเหล่าบัณฑิตจากสำนักศึกษาจำนวนหนึ่งออกมาหาคนในตระกูลของตน
ขณะนี้มีเงาร่างของเด็กสาวสองคนกำลังกวาดตามองเข้าไปในฝูงชน เด็กสาวคนหนึ่งสวมใส่ชุดสีฟ้าสดใสที่ดูสง่าและประณีต ดวงตากลมโตกำลังทอประกายแวววาวราวกับหยดน้ำ ผิวกายของนางก็ขาวใสดั่งหิมะ ความมีชีวิตชีวาที่แผ่ออกมาทำให้นางดูเหมือนกับเทพเซียน
ส่วนเด็กสาวอีกคนนั้นอยู่ในชุดสีดำที่ดูทะมัดทะแมง ขาเรียวยาวคู่นั้นของนางดึงดูดความสนใจของผู้คนได้ไม่น้อย เส้นผมสีแดงเข้มของนางก็เปล่งประกายงดงามอย่างแปลกประหลาด
เด็กสาวทั้งสองกำลังขยับตัวไปมาอยู่ท่ามกลางฝูงชนด้วยความตื่นเต้นยินดี โดยพวกนางไม่รู้ตัวเลยว่ารูปลักษณ์ของตนนั้นสามารถดึงดูดสายตาของเหล่าบัณฑิตหน้าใหม่ได้มากเพียงใด
“จุ๊ๆ ช่างเป็สตรีที่งดงามยิ่งนัก”
“พวกนางน่าจะเป็ศิษย์เก่าที่อยู่ในสำนักศึกษา”
ขณะที่เด็กสาวทั้งสองกำลังกวาดตามองเพื่อตามหาคน มู่เฟิงที่กำลังเดินตามผู้ดูแลไปพร้อมกับคนอื่นก็กำลังกวาดตามองไปรอบๆ เพื่อหาคนเช่นกัน
“พี่เฟิง ไม่ใช่ว่าท่านเคยบอกว่าพี่สะใภ้เองก็อยู่ที่นี่ด้วยหรือ? เหตุใดจึงไม่เห็นเลยเล่า?”
ไป๋จื่อเยว่กวาดตามองไปรอบๆ ในขณะที่มู่ขวงเองก็ทำเช่นกัน
“คนมากมายเช่นนี้จะหาอย่างไร พี่เฟิง ท่านดูข้านะ”
เมื่อมู่ขวงเห็นว่าโดยรอบล้วนเต็มไปด้วยบัณฑิตใหม่ จำนวนคนที่มากเช่นนี้คงเป็การยากที่จะตามหาใครสักคน ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงะโขึ้นไปบนความสูงเจ็ดถึงแปดเมตรก่อนจะะโขึ้นว่า “พี่หลิงเอ๋อร์ พี่สะใภ้ว่านเอ๋อร์! พี่เฟิงอยู่ที่นี่!”
เสียงะโดังลั่นของมู่ขวงทำให้ผู้คนบนลานจัตุรัสพากันใ และมันก็สามารถดึงดูดความสนใจของบัณฑิตทุกคนได้เป็อย่างดี
“ดูนั่นสิพี่หลิงเอ๋อร์ นั่นมู่ขวง เฟิงอยู่ที่นั่น”
อวิ๋นชิงว่านเอ่ยขึ้นด้วยความดีใจ
“เป็มู่ขวงจริงด้วย ในเมื่อมู่ขวงอยู่ที่นั่น เสี่ยวเฟิงเองก็คงจะอยู่ที่นั่นด้วยเช่นกันรีบไปกันเร็วเข้า”
เด็กสาวทั้งสองรีบวิ่งไปหามู่เฟิงในทันที
หลังจากร่างของมู่ขวงลงมา เขาก็พบว่าสายตาของผู้คนรอบข้างต่างก็จับจ้องมายังเขา ภาพนี้ทำให้เด็กหนุ่มหน้าแดงขึ้นมาในทันที
ส่วนมู่เฟิงก็ถึงกับมุมปากกระตุก เ้าเด็กนี่ช่างเก่งในเื่ก่อความวุ่นวายเสียจริง
“เฟิง!”
“เสี่ยวเฟิง!”
แต่ทันใดนั้นก็มีเสียงหวานใสดังขึ้น เมื่อมู่เฟิงได้ยินเสียงเขาก็หันไปมองตามเสียงทันที ไม่นานเขาก็ได้พบกับเด็กสาวสองคนที่กำลังวิ่งมาจากระยะไกล หลังจากเห็นพวกนางมู่เฟิงก็ตกตะลึงไปชั่วขณะ และเพียงพริบตาแววตาของเขาก็ดูอ่อนโยนขึ้นมา
เด็กสาวทั้งสองมองเด็กหนุ่มด้วยรอยยิ้มกว้าง
“ว่านเอ๋อร์ พี่หญิง!”
มู่เฟิงหัวเราะออกมาอย่างดีใจ แต่ทันใดนั้นดวงตาของเด็กสาวทั้งสองก็พลันแดงก่ำ พวกนางวิ่งเข้าไปสวมกอดมู่เฟิงพร้อมกัน
มู่เฟิงอ้าแขนและสวมกอดเด็กสาวทั้งสองเอาไว้พร้อมกัน ฉากนี้ดึงดูดความสนใจทั้งยังสร้างความอิจฉาให้กับผู้คนได้เป็จำนวนมาก
“ให้ตายเถอะ เ้าเด็กนั่นเป็ใครกัน เข้ามาสำนักศึกษาวันแรกก็มีศิษย์พี่สองคนโผเข้าไปกอดเขาแบบนั้น”
“เฮอะ ์ช่างไม่มีตา ข้าหล่อเหลาสง่างามถึงเพียงนี้ เหตุใดไม่มีศิษย์พี่หน้าตางดงามเช่นนั้นมาสวมกอดข้าบ้าง”
ยามนี้มู่เฟิงกำลังได้รับความสนใจจากผู้คนจำนวนมาก
“พี่หญิง ว่านเอ๋อร์ ข้าคิดถึงพวกท่านยิ่งนัก”
มู่เฟิงสวมกอดเด็กสาวสองคนเอาไว้ พร้อมกับสูดกลิ่นกายหอมจากเด็กสาวทั้งสองคน น้ำเสียงที่เอ่ยออกมานั้นฟังดูอ่อนโยนเป็อย่างยิ่ง กระทั่งดวงตาของเขายังเริ่มแดงระเรื่อขึ้นมาเล็กน้อย
“เ้าเด็กคนนี้ ตลอดเวลากว่าหนึ่งปีที่พี่สาวเขียนจดหมายไปหาเ้า เหตุใดจึงไม่ตอบกลับมาสักฉบับ แท้จริงแล้วเกิดเื่อะไรขึ้นกันแน่ ผู้คนภายนอกต่างก็บอกว่าเ้าตายไปแล้ว”
มู่หลิงเอ๋อร์ชกหมัดหนักๆ ลงไปบนหน้าอกของมู่เฟิงอย่างขุ่นเคือง
มู่เฟิงกระชับกอดว่านเอ๋อร์ที่ดวงตากำลังแดงก่ำ เด็กสาวเอ่ยถามเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เฟิง ดีนักที่เ้าไม่เป็อะไร พวกเขาต่างก็บอกว่าเ้าเกิดเื่ขึ้น ข้า...ข้าไม่เคยเชื่อเลยสักนิด”
“ข้าต้องขอโทษด้วย แต่เื่นี้ค่อนข้างยาว พี่หญิง ว่านเอ๋อร์ เเอาไว้ข้ามีเวลา จะเล่าให้พวกท่านฟังอย่างละเอียดดีหรือไม่ พี่หญิง ว่านเอ๋อร์ ไม่พบกันสองปีพวกท่านงดงามขึ้นมากทีเดียว”
มู่เฟิงโอบกอดร่างของว่านเอ๋อร์เอาไว้ขณะกล่าวขึ้นด้วยรวยยิ้ม จากนั้นเขาก็จูบลงไปบนแก้มใสของนาง
ใบหน้าของว่านเอ๋อร์พลันแดงระเรื่อขึ้นมาในทันที นางหยิกเอวของมู่เฟิงก่อนคำรามออกมาเสียงต่ำว่า “มีคนมากมายกำลังดูอยู่นะ”
“คิกๆ...เ้าเด็กคนนี้ยังปากหวานไม่เปลี่ยน”
มู่หลิงเอ๋อร์ป้องปากหัวเราะอย่างมีเลศนัย
“พี่หลิงเอ๋อร์ ไม่ได้พบกันนานเลยนะขอรับ”
มู่ขวงกล่าวทักทายด้วยรอยยิ้ม
“เด็กดี เ้าแข็งแกร่งขึ้นอีกแล้ว ในเมื่อเ้ามาถึงสำนักศึกษาแล้ว พี่สาวคนนี้จะแนะนำให้เ้าได้รู้จักกับพี่สาวคนสวยมากมายเอง”
นิ้วเรียวยาวของมู่หลิงเอ๋อร์บีบลงไปบนใบหน้าของมู่ขวง ก่อนจะยิ้มกว้างออกมา
“พี่หลิงเอ๋อร์ พี่สะใภ้ ข้ามีนามว่าไป๋จื่อเยว่ขอรับ ข้าเป็น้องของพี่เฟิง พวกท่านอย่าลืมแนะนำพี่สาวคนสวยให้ข้าบ้างนะขอรับ”
ไป๋จื่อเยว่รีบเอ่ยแนะนำตัวเองในทันที
“มู่เฟิง เ้าปล่อยน้องสาวข้า”
แต่ทันใดนั้น เสียงะโเยือกเย็นก็ดังขึ้นอย่างกะทันหัน ไม่นานคนกลุ่มหนึ่งก็เดินตรงมาทางมู่เฟิงและคนอื่นๆ
ในบรรดาคนกลุ่มนี้มีอวิ๋นอี้ที่สวมใส่ชุดคลุมสีน้ำเงินรวมอยู่ด้วย คนกลุ่มนี้ทำหน้านี้คอยปกป้องชายหนุ่มในชุดสีขาวผู้หนึ่งที่กำลังเดินนำหน้าพวกเขา และคนผู้นี้ก็มิใช่ใครอื่น เป็หนานหลิงนั่นเอง
อวิ๋นอี้ หนานหลิง และคนอื่นๆ ต่างก็เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าของมู่เฟิง ทันทีที่เด็กหนุ่มเห็นอีกฝ่าย ดวงตาของเขาก็พลันเปลี่ยนเป็เ็าในทันใด
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้