[หน้าตา แยกออกมาจากสีสัน ให้ความสำคัญกับหน้าตา รูปร่างของอาหารและการประดับตกแต่ง]
“ความหมายเล่า”
[ความหมาย แยกออกมาจากสีสันและหน้าตาอีกทีหนึ่ง เปรียบเช่นการดื่มชา ต้องให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมและบรรยากาศ อาหารแสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรมที่แฝงอยู่ในนั้นเช่นกัน เช่น ชื่อเรียกของอาหารต้องเหมาะสมกับวัตถุดิบที่นำมาใช้ อาหารที่ทำเสร็จเป็จานแล้วนั้นต้องมีชื่อเรียกที่เหมาะสม]
“อ้อ นี่ก็คือความหมาย เช่นนั้น โภชนาการ เล่า”
[โภชนาการ อธิบายได้ว่าเป็เื่ของ อายุวัฒนะ มีคำพูดโบราณประโยคหนึ่งกล่าวไว้ว่า อาหารทำให้คนอายุยืนได้ บำรุงด้วยยาไม่สู้บำรุงด้วยอาหาร อาหารที่ดี ไม่เพียงแต่จะทำให้มีอายุวัฒนะ ยังทำให้ร่างกายแข็งแรง และยังรักษาโรค ช่วยชีวิตคนได้อีกด้วย!]
“รักษาโรค ช่วยชีวิตคนหรือ”
[เ้านายอ่านตำราแพทย์ไปมากมาย ในตำราแพทย์ได้กล่าวถึงลักษณะพิเศษของข้าวสารและการนำมาใช้ทางการแพทย์หรือไม่]
“ข้าวให้รสชาติหวาน มีความเป็กลาง บำรุงร่างกาย แก้อ่อนเพลีย บำรุงโลหิต เชื่อมโยงชีพจรกับอวัยวะทั้งห้า มีสรรพคุณทำให้การได้ยินและการมองเห็นชัดเจน ลดอาการหงุดหงิด กระหายน้ำ และอาการท้องเสีย”
[แล้วไข่ไก่เล่า]
“ไข่ไก่มีรสหวานเช่นกัน เป็กลาง บำรุงหยิน ทำให้จิตใจสงบ ไข่มีรสหวาน เย็น ทำความสะอาดปอด แก้พิษ ไข่แดงมีรสหวาน เป็กลาง บำรุงหยินและบำรุงเื บำรุงกระเพาะ”
[เช่นนั้นถ้าทั้งสองรวมกันเล่า]
เฟิ่งเฉี่ยนพลันกระจ่างแจ้ง “ข้าเข้าใจแล้ว นับแต่โบราณมาก็กล่าวกันว่าอาหารคือยาบำรุง ตอนนี้ที่พวกเราใช้คือวัตถุดิบเทพ เพราะวัตถุดิบเหล่านี้เต็มไปด้วยกลิ่นอายเทพ ย่อมต้องนำวัตถุดิบเหล่านี้ไปใช้ให้คุ้มค่ากับคุณค่าทางการแพทย์ นำสรรพคุณของมันมาใช้ในการรักษาคนไข้!”
[เ้านายฉลาดจริงๆ! แค่ชี้แนะก็กระจ่างแจ้ง!]
เฟิ่งเฉี่ยนหัวเราะแล้วพูดอีกว่า “เช่นนั้นเื่เชื้อไฟจุดิญญามันคือเื่อะไรกัน”
[วัตถุดิบที่นำมาทำหมูสามชั้นซอสน้ำแดง คือ เนื้อบริเวณท้องของหมูเทพ นั่นก็คือหมูสามชั้นที่ชาวบ้านเรียกกัน แต่หมูเทพเป็สัตว์ที่มีชีวิต เมื่อเปรียบเทียบกับข้าวและไข่ไก่ซึ่งเป็วัตถุดิบที่ไม่มีชีวิตแล้ว ในร่างกายของหมูเทพจะมีไอเย็นของหยินมากกว่า จำเป็ต้องใช้เชื้อไฟจุดิญญาจึงจะสามารถขับไอเย็นของธาตุหยินเหล่านี้ออกไปได้ให้ผู้กินอาหารสามารถดูดซับพลังเทพจากวัตถุดิบที่เราใช้ได้ดีขึ้น!]
“แต่เราจะไปหาเชื้อไฟจุดิญญาได้ที่ไหนกัน”
[เื่นี้ต้องอาศัยตัวเ้านายเองแล้ว!]
เฟิ่งเฉี่ยนเบะปาก นางรู้ดีว่าสุดท้ายแล้วอย่างไรก็ต้องพึ่งตัวเอง
“ถูกต้องแล้ว ข้ายังต้องจับรางวัล!”
ติ๊ง—เริ่มจับรางวัล!
จานทรงกลมสีรุ้งเคลื่อนตัวขึ้นมา ใจของเฟิ่งเฉี่ยนลอยขึ้นมาถึงลำคอ “ยาสมุนไพรร้อยชนิด ยาสมุนไพรร้อยชนิด...จะต้องเป็ยาสมุนไพรร้อยชนิดนะ!”
ติ๊ง—ได้รับยันต์โชคร้ายจำนวนสองแผ่น (คำอธิบาย: มีผล 5 นาที)
เฟิ่งเฉี่ยนโมโหจนต้องตบโต๊ะ!
เหตุใดจึงไม่ใช่ยาสมุนไพรร้อยชนิดกัน
ระบบ้าเป็ปรปักษ์กับนางกระมัง นางยิ่งอยากได้สมุนไพรร้อยชนิด ระบบยิ่งไม่ให้ยาสมุนไพรร้อยชนิดแก่นาง แทบทำให้นางโมโหตาย!
นางที่เหนื่อยหน่ายไม่มีกะจิตกะใจจะไปวิเคราะห์ว่ายันต์โชคร้ายคืออะไร จึงเริ่มกินอาหารเพื่อเป็การระบายความคับแค้นใจ!
อีกด้านหนึ่ง มู่ชิงหว่านตื่นขึ้นมาแล้ว หน้าอกของนางมีรอยแผลทิ้งไว้สามรอยใหญ่ๆ อย่างชัดเจนจากกรงเล็บสุนัข กระดูกหัวไหล่ด้านซ้ายหักไปชิ้นหนึ่ง เ็ปเสียจนนางแทบเป็แทบตาย
“อ๊า อ๊า ข้าเจ็บจะตาย ข้าเจ็บจะตายอยู่แล้ว!”
“ท่านแม่ ข้าเจ็บเหลือเกิน ข้าไม่อยากมีชีวิตอีกแล้ว ท่านปล่อยให้ข้าตายเถิด!”
“เฟิงเฉี่ยน ข้าจะฆ่าเ้า เ้าไม่ได้ตายดีแน่—“
หลันเยว่หรูเดินเข้ามาในห้อง เห็นภาพที่มู่ชิงหว่านถูกมู่ฮูหยินกดอยู่บนเตียงกำลังร่ำไห้และกรีดร้อง นางถึงกับตกตะลึงพรึงเพริด! นางคิดว่าถูกกัดเพียงเล็กน้อย ใครเลยจะรู้ว่าเพิ่งเข้ามาในเรือนจะเห็นภาพเืสาดเช่นนี้
“อาจารย์ เกิดเื่อันใดขึ้นเ้าคะ” นางเดินเข้าไป
มู่ชิงหว่านเห็นนาง จึงเหลือกตาแดงฉานราวกับเืนั้นะโเรียกนาง “ศิษย์พี่หญิงหลัน ท่านมาได้จังหวะดีนัก! ท่านจะต้องแก้แค้นแทนข้าให้ได้นะเ้าคะ! เฟิงเฉี่ยน เป็เฟิงเฉี่ยนที่ทำร้ายข้า! ข้าขอสาบานว่าไม่ขออยู่ร่วมกับนาง!”
“เกิดเื่อะไรขึ้น” หลันเยว่หรูประหลาดใจ
สาวใช้ก้าวเข้ามาเล่าเื่ราวที่เกิดขึ้น
หลันเยว่หรูมีสีหน้าเ็า “เฟิงเฉี่ยนผู้นี้จะกำเริบเสิบสานเกินไปแล้ว! นางวางยาพิษไท่ฟู่ก่อน ตอนนี้ยังมาทำให้ศิษย์น้องชิงหว่านาเ็สาหัส ตามที่ข้ามอง นางไม่ได้เห็นจวนสกุลมู่อยู่ในสายตาเลย!”
หลันเยว่หรูหันไปพูดกับมู่ฮูหยิน “อาจารย์ ท่านจะใจอ่อนกับนางไม่ได้นะเ้าคะ! รับมือกับคนเช่นนางจะมีเมตตาเกินไปไม่ได้ ท่านยิ่งมีใจเมตตาต่อนาง นางยิ่งไม่เห็นพวกท่านอยู่ในสายตา! หาก้ายาถอนพิษ ต้องใช้ทัณฑ์ทรมานบีบบังคับจึงจะใช้ได้! หากอาจารย์ไม่สะดวกที่จะลงมือก็มอบนางให้กับข้าได้ ข้ามีวิธีที่จะทำให้นางยอมมอบยาถอนพิษ!”
มู่ฮูหยินขมวดคิ้วส่ายหน้า “อย่างไรนางก็เป็คนที่ฝ่าาส่งมา ก่อนหน้าที่ฝ่าาจะเสด็จมา ข้าไม่ปรารถนาให้เกิดเื่ราวไม่คาดฝันขึ้นอีก!”
นางลุกขึ้นกล่าวว่า “เยว่หรู เ้ามาได้จังหวะ เ้าอยู่ที่นี่เป็เพื่อนหว่านเอ๋อร์ ข้ายังมีเื่ต้องออกไปจัดการ”
มู่ชิงหว่านกลับไม่ยินยอม นางตะเบ็งเสียงเอะอะ “ท่านแม่ ลูกถูกคนรังแกจนมีสภาพเช่นนี้แล้ว ท่านยังไม่เข้าข้างลูก ลูกไม่อยากมีชีวิตแล้ว...”
นางดิ้นรนคิดจะคลานลงมาจากเตียง าแจึงปริออกอีก เจ็บเสียจนนางร้องโอดโอยเหงื่อออกท่วมตัว
มู่ฮูหยินถอนใจอย่างจนปัญญาก่อนเดินออกไปจากห้อง
หลันเยว่หรูเข้าประคองมู่ชิงหว่านพร้อมกับปลอบโยนว่า “ศิษย์น้องชิงหว่านอย่าได้รีบร้อน อาจารย์ไม่จัดการเื่นี้ ข้าจะจัดการเอง!”
มู่ชิงหว่านได้ยินเช่นนั้น ดวงตาทั้งคู่เปล่งประกาย นางจับข้อมือหลันเยว่หรูด้วยความหวัง “ศิษย์พี่หญิงหลัน ท่านจะต้องแก้แค้นแทนข้านะเ้าคะ! โทสะนี้ข้ากลืนไม่ลง!”
หลันเยว่หรูจับมือนาง แววตามุ่งมั่น “วางใจ ข้ามีวิธีต่อกรนาง! เ้ากลืนโทสะนี้ไม่ลง ข้าก็กลืนไม่ลงเช่นกัน!”
คิดถึงความอับอายที่นางได้รับที่หอตำรา โทสะในใจของหลันเยว่หรูก็ลุกท่วมราวกับเปลวเพลิง เพราะเื่นี้ ตอนนี้ศิษย์ของสำนักศึกษาแต่ละคนล้วนนินทานางลับหลัง ไม่ว่านางจะเดินไปที่ใด ก็เหมือนกับได้ยินเสียงหัวเราะเยาะเย้ยและเห็นสายตาเย้ยหยันของทุกคน
ทำข้าวผัดไข่สิบจานเสร็จแล้ว เฟิ่งเฉี่ยนถูกพาตัวกลับไปที่อุโมงค์น้ำแข็ง มีคนเข้ามาทำความสะอาดอุโมงค์น้ำแข็งทว่ายังคงได้กลิ่นคาวเือยู่นั่นเอง
ความเหน็บหนาวที่เสียดแทงกระดูกและส่งผ่านทุกๆ รูขุมขนนั้น หากมิใช่เพราะเมื่อสักครู่กินข้าวผัดไข่มาสิบจานเพื่อสะสมพลังงานในร่างกายให้เพียงพอ นางเกรงว่าเพียงแค่ห้านาทีก็ยืนไม่อยู่แล้ว
นางไม่กล้านั่งลง ได้แต่ใช้สองแขนกอดตัวเองเอาไป เดินไปเดินมาอยู่ในอุโมงค์น้ำแข็งเพื่อสร้างความอบอุ่นให้กับร่างกาย
นาทีนี้นางอยากพบเซวียนหยวนเช่อมากกว่าใครๆ นางมีลางสังหรณ์ที่อธิบายไม่ได้ นางแน่ใจว่าเซวียนหยวนเช่อจะต้องเชื่อนาง!
พิษในร่างกายของมู่ไท่ฟู่ เกิดขึ้นบังเอิญเกินไป ไม่โทษมู่ฮูหยินที่สงสัยนาง แต่นางไม่ได้วางยาพิษจริงๆ! แต่ผู้ใดเล่าที่เป็ผู้วางยาพิษ? นางคิดเป็ร้อยครั้งก็ไม่ได้คำตอบ!
ประตูอุโมงค์น้ำแข็งพลันเปิดออกในตอนนี้เอง มีคนๆ หนึ่งเดินเข้ามา
เฟิ่งเฉี่ยนหรี่ตาลง “หลันเยว่หรู เ้ามาทำอะไร?”
หลันเยว่หรูเดินเข้ามากวาดตามองไปรอบๆ แล้วพูดขึ้นด้วยสีหน้านิ่งสนิท “ข้าเห็นว่าสถานที่ที่เ้าอยู่ไม่มีอะไรเลย จึงได้นำของขวัญเล็กน้อยมามอบให้เ้า”
เฟิ่งเฉี่ยนหัวเราะเสียงเย็น “เ้าใจดีถึงเพียงนี้หรือ”
“รู้อยู่แล้วว่าเ้าต้องใช้จิตใจคับแคบของเ้ามาตัดสินน้ำใจของวิญญูชน...” หลันเยว่หรูหันไปโบกมือให้คนด้านหลัง มีคนใช้ประคองน้ำชาร้อนๆ เข้ามาถ้วยหนึ่งทันที นางประคองถ้วยชาเข้ามาด้วยตนเองแล้วยื่นไปข้างหน้า “นี่เป็น้ำขิงที่เพิ่งเคี่ยวเสร็จเมื่อสักครู่ ดื่มขณะยังร้อนเถิด ข้าคิดว่าตอนนี้เ้า้ามันมาก”
จ้องมองน้ำขิงในมือของนางแล้ว เฟิ่งเฉี่ยนหรี่ตาลงไม่พูดอะไร ใช้หัวแม่เท้าคิดก็รู้ว่านางไม่มีจิตใจดีเช่นนี้
หลันเยว่หรูเห็นนางระแวง จึงพูดกลั้วหัวเราะ “เ้าคงไม่คิดว่าข้าวางยาพิษในนี้หรอกนะ ได้ ข้าดื่มให้เ้าดู”