พริบตาเดียวข้าก็แสดงพลังของวิชาลมหายใจัขั้นที่หกในระดับสูงสุดและพลังระดับเซียนในขั้นที่สองของเคล็ดวิชาาออกมาพร้อมกันก่อนจะวาดมือเรียกกระบี่คมจันทรา ปรากฏเป็ม้าสีขาวที่สง่างามและน่าเกรงขามพุ่งทะยานไปที่หมัดของคู่ต่อสู้ด้วยพลังแห่งการทำลายล้าง!
พลังระดับเซียนในขั้นที่สองของเคล็ดวิชาาที่เพิ่งจะสำเร็จมาหมาดๆได้ใช้งานก็คราวนี้!
ตูม!
ข้าปล่อยพลังการโจมตีออกไปสุดแรงแต่กลับไม่เป็อย่างที่คาดไว้เมื่อแรงสั่นะเืจากการปะทะทำให้ตัวข้าลอยออกไปอย่างกับะุปืนใหญ่และตรงดิ่งไปกระแทกเข้ากับกำแพงของโรงเกลากระบี่
ตูม!
เสียงกระแทกดังสนั่นก่อนที่ร่างจะร่วงลงมาชันเข่ากับพื้นพลังที่รุนแรงเกือบทำให้ข้าต้องบอบช้ำและกระอักเืออกมา
ผิดจากเขาที่ยังยืนสงบนิ่งและปรายตามองข้าขณะกำลังหยัดยืนขึ้น “เป็แค่ศิษย์สำรองเท่านั้นแต่โดนเล่นงานขนาดนั้น เ้ายังลุกขึ้นมาได้อีกเหรอ? ช่างแปลกจริงๆ...”
ขณะเดียวกันไม่ไกลออกไปเงาตะคุ่มกำลังเหาะผ่านเข้ามาบังตัวของข้าไว้เงานั้นก็คือซ้งเชียนนั่นเอง เขายืนอยู่ตรงนั้นแล้วพูดอย่างเดือดดาล“เ้าลาหัวโล้นเ้าทำอะไรน่ะ ทำไมเ้าต้องทำร้ายพี่เชวียนด้วย!?”
เ้าโล้นย่นคิ้ว“เ้าอ้วน! เ้าเรียกใครลาหัวโล้น?”
ซ้งเชียนเอ่ยตอบ“แล้วตรงนี้ยังมีใครหัวโล้นนอกจากเ้าอีกล่ะ?!”
เห็นได้ชัดว่าข้ากับซ้งเชียนต่างก็มีศีรษะดกดำหนาทึบเส้นผมเจริญงอกงามดี ถ้าอย่างนั้นเ้าโล้นก็มีอยู่เพียงคนเดียวเท่านั้น
“เสี่ยวเชียน เ้าไม่ต้องพูดแล้ว”
ข้าลุกขึ้นยืนก่อนจะพ่นลมหายใจจากนั้นจับไหลของซ้งเชียนแล้วก้าวไปข้างหน้ามองจากเครื่องแบบปราดเดียวก็รู้ว่าเ้าโล้นคนนี้เป็ศิษย์ของสำนักสีเลี้ยนหนึ่งในสามสำนักใหญ่ที่แข็งแกร่งที่สุด พอเห็นแบบนั้นข้าจึงพูดแนะนำตัวและถามถึงการมาของเขาด้วย “ข้าคือปู้อี้เชวียนอยู่ที่โรงเกลากระบี่แล้วเ้าเป็ใคร ทำไมถึงได้บุ่มบ่ามลงมือทันทีโดยไม่แยกถูกผิด?”
“ที่แท้เ้าก็คือปู้อี้เชวียนนี่เอง...”
เ้าโล้นฉีกยิ้มเล็กน้อย“งั้นก็ไม่แปลกเลยว่าทำไมคนที่อยู่ในฐานะศิษย์สำรองคนหนึ่งจึงรับมือกับหมัดของข้าได้เ้าควรรู้ไว้ว่า...ขนาดผู้มีฝีมือสิบลำดับแรกของสำนักสีเลี้ยนยังไม่มีใครกล้าประจันกับหมัดของข้าสักคนไม่อย่างนั้นแท็งก์น้ำคงไม่พังครืนลงมาจนข้าต้องถูกลงโทษให้ล้างโถส้วมที่นี่หรอก”
ข้าถามสีหน้ากังขา“ตกลงว่าเ้าเป็ใครกันแน่?”
เ้าโล้นโค้งคำนับแล้วกล่าวแนะนำตัว“ข้าคือศิษย์ของสำนักสีเลี้ยนนามว่าจ้าวห้าวเมื่อคืนข้านัดประลองกับหนึ่งในสิบยอดฝีมือของสำนักสีเลี้ยนและพลาดทำแท็งก์น้ำพังลงมาโดยไม่ตั้งใจ พลอยให้ไก่ที่เ้าเลี้ยงจมน้ำตายเื่นี้ข้าต้องขอโทษด้วยจริงๆ”
ซ้งเชียนพูดอย่างเข้าใจ“ที่แท้เ้าลาหัวโล้นก็มีเหตุมีผล”
ข้าถลึงตาใส่เขา
จ้าวห้าวพูดเสียงเย็น“เ้าอ้วน! ทั้งที่เ้าอ่อนแอแต่กลับกล้ารับหมัดแทนเพื่อนของเ้าถือว่าใจเด็ดไม่เบาเลย แต่ถ้าจะให้ดีอย่างเรียกข้าว่าเ้าลาโล้นดีกว่าไม่อย่างนั้นจะมาว่าข้าทีหลังไม่ได้ล่ะ!”
ซ้งเชียนกัดฟันกรอดแล้วเริ่มเจรจา“แล้วเรียกท่านว่าเ้าโล้นได้หรือเปล่า?”
“ก็ไม่ได้เหมือนกัน”
“เ้าโล้นน้อยล่ะ?”
“ยิ่งไม่ได้ไปใหญ่!”
“ถ้าอย่างนั้นพี่โล้นล่ะ?”
“เ้านี่ช่างเป็เ้าอ้วนน้อยที่ไร้มารยาทจริงๆ!”
“เห็นได้ชัดว่าข้าหนักไม่ถึงเจ็ดสิบด้วยซ้ำ ท่านกลับหาว่าข้าอ้วนพี่โล้นท่านนี่ช่างไร้เหตุผลจริงๆ!”
ข้ารีบร้อนเข้าไปไกล่เกลี่ย“พอได้แล้วน่า ในเมื่อเื่นี้ก็อธิบายกันเข้าใจแล้วลูกผู้ชายไม่สู้กันสักครั้งก็ถือว่าไม่รู้จักกันแล้ว พี่โล้น อืมไม่สิ...จ้าวห้าวเมื่อท่านถูกลงโทษให้มาทำงานที่นี่ หลังจากนี้พวกเราคงได้เจอกันบ่อยๆ แล้วล่ะฉะนั้นก็ควรจะเป็มิตรที่ดีต่อกันไว้ท่านคิดว่าอย่างไร?”
จ้าวห้าวพยักหน้าหัวเราะ“ปู้อี้เชวียน ศิษย์สำรองอย่างเ้านี่น่าสนใจจริงๆ ทั้งยังแข็งแกร่งด้วยเ้าเหมาะสมพอที่จะเป็เพื่อนกับ ส่วนเ้าอ้วนนี่...”
ซ้งเชียนถลึงตาใส่“พี่โล้น พี่เชวียนคือพี่ชายของข้า ท่านเป็เพื่อนกับเขาก็ถือว่าเป็เพื่อนของข้าเหมือนกันทำไม...หรือท่านคิดจะดูถูกพี่เชวียนของข้าอย่างนั้นเหรอ?”
จ้าวห้าวถึงกับพูดไม่ออกไปพักหนึ่ง“อย่างนั้นก็ได้ ถือว่าเ้าเป็เพื่อนของข้าด้วย”
ข้าเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะถามบางอย่างออกไป “พี่โล้น เอ๊ย! ไม่สิ...จ้าวห้าวพลังแปลกประหลาดบนหมัดของเ้าคืออะไรกันแน่ข้าเดาว่าต้องไม่ต่ำกว่าหนึ่งพันชั่งใช่ไหม?”
จ้าวห้าวยิ้มอย่างภาคภูมิใจแต่จู่ๆ กลับสลดลงทั้งยังถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ตอนนั้นข้าเพิ่งอายุได้แค่สิบสองปีทันทีที่ปลุกพลังจนแข็งแกร่ง หัวของข้าจึงโล้นอย่างที่เห็น...”
สิ้นเสียงอธิบายพวกเราทั้งสามคนก็ตกอยู่ในความเงียบ
กระทั่งพักใหญ่ข้าจึงพูดทำลายความเงียบนั้น “ไม่เป็ไร สำหรับพวกเราที่เป็ผู้ฝึกฝนิญญาการได้รับพลังคือสิ่งที่สำคัญที่สุด อาศัยแค่พละกำลังั้แ่กำเนิดเ้าก็ไม่น้อยหน้าเหล่าผู้กล้าคนอื่นๆ ได้แล้วแตสำหรับพวกเราเพียงแค่ฝันถึงวันนั้นยังถือเป็เื่ยากเสียด้วยซ้ำ”
จ้าวห้าวใคร่ครวญอยู่เป็เวลานานจากนั้นก็พูดขึ้นว่า“หากว่าผมและความสามารถยังอยู่ คงจะดีกว่านี้”
ข้าพูดปลอบ“จะได้ทั้งปลาและอุ้งเท้าหมีพร้อมกันคงไม่ได้ ั้แ่โบราณกาลมีคำกล่าวที่ว่าโลกนี้ไหนเลยที่จะได้สิ่งดีๆมาพร้อมกันโดยไม่ละทิ้งสิ่งใดสิ่งหนึ่งคนเราต่างต้องเลือกสิ่งหนึ่งไว้และสละบางสิ่งไปทั้งนั้น ท่านคิดว่าอย่างไร?”
จ้าวห้าวพยักหน้า“อืม ปู้อี้เชวียนเ้าช่างเป็คนมีเหตุผลและเข้าใจผู้อื่นจริงๆเทียบกับเ้าอ้วนน้อยที่อ่อนเอ เ้าแข็งแกร่งกว่ามากทีเดียว ข้าล่ะไม่เข้าใจจริงๆว่าทำไมเ้าถึงได้มาเป็เพื่อนกับคนแบบนี้?”
ข้าได้ยินแล้วก็ไม่รู้จะตอบอย่างไร
ซ้งเชียนใบหน้าแดงก่ำ“เ้าลาหัวโล้นสมควรตาย ข้าจะขอประลองกับเ้าสักตั้ง!”
จ้าวห้าวกลั้นขำไว้ไม่อยู่“เอาล่ะ เ้าอ้วนน้อย ข้าแค่ล้อเ้าเล่นนะเ้าเป็เพื่อนของปู้อี้เชวียนก็ต้องเป็เพื่อนของข้าด้วยนับแต่วันนี้ไปจะไม่เหงาอีกต่อไปแล้ว เพราะข้ามีเพื่อนถึงสองคนคนหนึ่งชื่อว่าปู้อี้เชวียน คนหนึ่งชื่อว่าเ้าอ้วนน้อย”
ซ้งเชียนพูดอย่างเหลืออด“ข้าชื่อซ้งเชียน ไม่ได้ชื่อเ้าอ้วนน้อย เ้าลาหัวโล้นนี่!”
จ้าวห้าวเงียบไปพักหนึ่งก็พูด“เ้าอ้วนน้อยซ้ง...”
ซ้งเชียน“ให้ตายสิ!...”
...
จ้าวห้าวมองดูดวงอาทิตย์บนศีรษะแล้วพูดต่อ“ใกล้จะถึงเวลาอาหารกลางวันแล้วถ้าอย่างนั้นถือเป็การไถ่โทษที่ข้าทำให้ไก่ของเ้าจมน้ำตายและยังทำร้ายเ้าอีกเที่ยงนี้พวกเราออกไปกินข้าวกัน ข้าเป็คนเลี้ยงเอง ดีไหม?”
“แต่ข้าค่อนข้างกินจุนะ เ้าต้องเตรียมใจไว้หน่อยล่ะ”
จ้าวห้าวหัวเราะ“เ้าล้อเล่นข้าเล่นเหรออย่างไรก็เถอะข้าผู้นี้เป็ถึงนายน้อยของหมู่บ้านจ้าวเจียนอกเมืองหลินเสี่ยเฉิงเลี้ยงอาหารเ้ามื้อหนึ่งไม่ถึงกับทำให้ข้าจนหรอกนะถ้าอย่างนั้นพวกเราไปร้านอาหารที่ดีที่สุดอย่างร้านจุ้ยเซียนนอกสำนักก็แล้วกัน!”
ร้านจุ้ยเซียนสถานที่ที่ข้าเคยได้ยินมาบ้างว่ากันว่าเป็ที่รวมตัวของพ่อครัวจากทุกสารทิศมาไว้ที่นี่มีอาหารขึ้นชื่อชั้นหนึ่งจากทุกภูมิภาคที่พร้อมเสิร์ฟให้แก่เศรษฐีเงินหนาดูแล้วจ้าวห้าวไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไปเช่นกัน
ซ้งเชียนกระซิบพูดข้างหู“พี่เซวียน ข้ารู้จักหมู่บ้านจ้าวเจียมาก่อน จริงๆแล้วที่นั่นเป็แค่ป้อมปราการเล็กๆ มีประชาชนไม่กี่ร้อยคนเท่านั้นต่อให้จ้าวห้าวเป็นายน้อยก็คงไม่ได้ร่ำรวยอะไรมาก เขาต้องแกล้งอวดรวยอยู่แน่ๆ!”
ข้าได้ยินแล้วก็อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้ก่อนจะพูดขึ้น“ถ้าอย่างนั้นข้ากับเสี่ยวเชียนก็คงต้องรบกวนแล้วล่ะ จะไปตอนนี้เลยไหม?”
“ไปกันเลย!”
ยี่สิบนาทีให้หลังพวกเรามาหยุดอยู่ด้านหน้าร้านอาหารมีระดับร้านหนึ่งหน้าประตูทางเข้ามีสาวสวยสี่คนคอยเรียกลูกค้าเพียงเท่านี้ก็พอรู้แล้วว่าร้านนี้เหมาะสำหรับพวกมีเงินในเมืองหลินเสี่ยเฉิงขนาดไหนเพราะถ้าเทียบกับร้านอื่นคงไม่มีเงินมาจ้างพนักงานต้อนรับแบบนี้แน่นอน
พอเห็นว่าซ้งเชียนกำลังมองจนน้ำไหลแทบไหลข้าจึงรีบดึงเขาให้ตามเข้ามาเพราะกลัวจะขายหน้า
ถึงตอนนี้ทำให้รู้ว่าจ้าวห้าวไม่ได้มาที่นี่เป็ครั้งแรกเพราะดูจากการเดินนำและพาเรามายังห้องส่วนตัวที่ชั้นสองอย่างคุ้นชิน ขณะที่เดินผ่านห้องนั้นไปก็เจอเข้ากับองครักษ์สามถึงสี่คนยืนอยู่หน้าห้องดูเหมือนว่าแต่ละคนจะมีพลังที่ค่อนข้างแข็งแกร่งจนมือใหม่อย่างข้าและจ้าวห้าวไม่น่าจะเป็คู่ต่อสู้ที่เหมาะสมสักเท่าไร
พอเข้ามาในห้องจ้าวห้าวก็พูดขึ้นด้วยความสงสัย “ให้ตายเถอะ ทำไมพวกองครักษ์โลหิตัถึงได้มาอยู่ที่เมืองหลินเสี่ยเฉิงแทนที่จะอยู่ในพันธมิตรนักปราชญ์ขาวล่ะ?”
ข้าหยั่งเชิงถามออกไป“ดูเหมือนเ้าจะรู้จักองครักษ์โลหิตันั่นไม่น้อยนะ?”
จ้าวห้าวพยักหน้ารับ“แน่นอน คนในเมืองหลินเสี่ยเฉิงมีใครบ้างที่ไม่เกลียดพวกนั้น เพราะถ้าไม่ใช่พวกมันที่ทลายกำแพงของเมืองหลินเสี่ยงเฉิงพันธมิตรนักปราชญ์ขาวอาจจะไม่ชนะดินแดนกาฬวาตก็ได้”
าเมื่อเจ็ดปีก่อนเกิดจากการชิงดีชิงเด่นระหว่างจักรพรรดิพันธมิตรนักปราชญ์ขาวกับจักรพรรดิดินแดนกาฬวาตสุดท้ายทำให้ตระกูลถังจากดินแดนกาฬวาตพ่ายแพ้ และยอมตอบรับข้อเสนอที่จะรวมเป็หนึ่งเดียวของตระกูลซูแห่งแผ่นดินใหญ่หลงหลิงและาครั้งนั้นยังทำให้เกิดเป็สหพันธ์หลงหลิงแทนที่จะเป็ประเทศหลงหลิงอย่างที่ควร
แต่จะว่าไปแล้วหัวหน้าของพันธมิตรนักราชญ์ขาวนั่นก็คือซูซีเฉิงซึ่งเป็เสนาบดีของสหพันธ์ และลูกสาวของเขาก็คือซูเหยียนนั่นเอง
ระหว่างพูดคุยกับจ้าวห้าวซ้งเชียนก็ถือเมนูอาหารออกมาก่อนจะหันไปสั่งอาหารกับพนักงาน “พวกเรามากันแค่สามคน สั่งเป็อาหารจานเล็กๆ ก็พอ เดี๋ยวขอข้าดูก่อนนะอืม...เอาผัดหัวใจสิงโตทอง ซุปปลาร้อยดอก เนื้อเหยี่ยวัตุ๋นเห็ดแล้วก็ซี่โครงเอ็นวัว อีกอัน...พอแล้วล่ะส่วนเหล้าขอแบบที่หมักจากหญ้าขนขาวราคาขวดละสามพันเหรียญสักสองขวดเพราะข้ากับพี่เชวียนต่างคอแข็งด้วยกันทั้งคู่”
แต่ละเมนูที่เขาสั่งมีราคาแพงจนจ้าวห้าวถึงกับหน้าซีดข้าจึงรีบเสนออีกฝ่าย “ข้าว่า...เราเปลี่ยนเป็อย่างอื่นดีไหม?”
จ้าวห้าวได้ยินแล้วปัดไม้ปัดมือบอก“ไม่ต้อง คนอย่างจ้าวห้าวคบเพื่อนแต่ละทีไม่เคยถามถึงราคามีแต่ถามว่าอยากกินอะไรเท่านั้น จะกินอะไรก็สั่ง ไม่เป็ไร!”
ซ้งเชียนพูดขึ้น“งั้นก็ดี เอาขาหมูตุ๋นหอกหิมะมาอีกหนึ่ง เพราะพี่เชวียนของข้ากินเยอะท่านรู้ไหม?”
จ้าวห้าวได้ยินแล้วถึงกับเซ...
ข้าที่เห็นท่าไม่ดีจึงรีบหันไปบอกพนักงานที่ยืนรออยู่“เอาล่ะ แค่นี้แหละเ้ารีบไปทำเถอะ”
“พวกท่านนั่งรอสักครู่นะขอรับ ไม่นานอาหารก็จะมาเสิร์ฟ”
ให้ตายเถอะ!ถ้าให้ซ้งเชียนสั่งต่อมีหวังตายแน่ๆ
...
ไม่นานนักอาหารก็ถูกนำมาเสิร์ฟจนครบแต่ละเมนูมีครบทั้งรูปลักษณ์ กลิ่น และรสชาติสมกับเป็ร้านดังในย่านนี้ส่วนซี่โครงเอ็นวัวยังเหมือนกับที่ซูเหยียนเคยนำมาให้กินอีกต่างหากพอนึกได้จึงหันกลับไปดูจึงรู้ว่าอาหารจานนี้ราคาสามพันเหรียญหลงหลิง ซึ่งการที่ซู
เหยียนนำอาหารพวกนี้มาให้ข้าคงไม่ต้องคิดเลยว่าจะเสียเงินไปเท่าไร มิน่าล่ะรสชาติถึงได้อร่อยเพราะมาจากร้ายจุ้ยเซียนนี่เอง
หลังจากกินอย่างตะกละตะกลามจนข้าวหมดไปเจ็ดถึงแปดชามจ้าวก้าวได้แต่อ้าปากค้างกับสิ่งที่เห็น
่เวลานั้นสุ้มเสียงที่คุ้นหูก็ดังแว่วมาจากด้านนอก“ท่านพ่อ ข้าอยู่ที่นี่ก็สบายดี ท่านไม่จำเป็ต้องมาหาข้าบ่อยๆ ก็ได้ อีกอย่างท่านต้องดูแลรักษาตัวเองอย่ามัวแต่กังวลกับข้าเลย”
นั่นมันเสียงของซูเหยียนตามด้วยเสียงพ่อของนาง “เสี่ยวเหยียนเ้าออกมาอยู่ที่เมืองหลินเสี่ยเฉิงคนเดียวแบบนี้จะให้ข้าวางใจได้อย่างไร”
“ข้าก็มีลุงหลงเองคอยดูแลอยู่ที่นี่ไม่ใช่หรือ” ซูเหยียนพูดย้ำ “เอาน่าข้าว่าท่านรีบกลับเถอะนะ ข้าสุขสบายดีทุกอย่าง พอท่านมาทีไร คนอื่นๆก็พาลกลัวจนไม่กล้าเข้าหาข้ากันหมด”
“ได้ๆ ข้าจะกลับเดี๋ยวนี้แหละ”
จังหวะที่นางเดินผ่านก็หันมาเจอข้าพอดีก่อนจะทักอย่างคุ้นเคย “อ้าว เ้าคนกินจุ ทำไมเ้าถึงมาอยู่นี่ได้ล่ะ?”
ข้าชะงักไปครูหนึ่งก่อนจะตอบกลับ“พวกเรา...มีคนพามาเลี้ยงข้าวน่ะ”
“กินข้าวแต่กลับไม่ชวนข้าเนี่ยนะ แล้วไหนบอกว่ามีเวลาจะเลี้ยงข้าวข้าไง?”นางพูดอย่างไม่สบอารมณ์ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้ายิ้มแย้มและหันไปคุยกับชายสวมผ้าคลุมสีแดงที่ยืนข้างๆ “ท่านพ่อพอดีว่าข้าเจอเพื่อนสองสามคนที่นี่พอดี เลยว่าจะไปร่วมวงสักหน่อยข้าขอไม่ไปส่งท่านแล้วกันนะ ท่านเองก็รีบกลับเถอะ”
ข้าเคยเห็นผ้าคลุมสีแดงที่ชายผู้นั้นใส่มาก่อนซึ่งมันเป็สัญลักษณ์ของเทพศาสตราวุธที่พี่เสวียนยินเองก็มีเหมือนกันและชายผู้นี้ก็คงจะเป็เสนาบดีของสหพันธ์และเป็หนึ่งในเทพศาสตราวุธอย่างซูซีเฉิงนั่นแน่ๆ
เขาจ้องเขม็งมาที่ขาด้วยสายเข้มคมดังใบมีดจนคนที่ถูกมองถึงกับขนลุกเขาละสายตาจากข้าและหันไปคุยกับซูเหยียนอย่างอ่อนโยน “เอาล่ะซูเหยียนถ้าอย่างนั้นข้ากลับก่อนแล้วกัน เ้าก็ทำตัวดีๆส่วนลุงหลงจะยังอยู่ที่นี่เพื่อคอยคุ้มกันเ้าต่อไป”
“รู้แล้วน่า ท่านพ่อนี่ช่างจู้จี้เสียจริงๆ ...”
“หืม เ้าเด็กคนนี้นี่...”
หลังจากที่ซูซีเฉิงเดินออกไปพร้อมกับองครักษ์ซูเหยียนก็เดินปราดเข้ามาในห้องก่อนจะปิดประตูแล้วขมวดคิ้วสีหน้าหงุดหงิด“ไปได้สักที วันๆ เอาแต่จ้องข้าอยู่นั่นแหละ...”
ข้าปรายตามองนางก่อนจะถามขึ้น“เ้าจะมากินด้วยกันไหม?”
“กินสิ...เสี่ยวเอ๋อ เอาตะเกียบมาเพิ่มคู่หนึ่ง!”
“เ้ากินมาแล้วไม่ใช่เหรอ?” ข้าถาม
นางกะพริบตาถี่“เมื่อกี้ต้องกินแบบมีมารยาท คราวนี้จะได้กินแบบสบายๆ สักที”
“...”