พอซูเหยียนนั่งลงอย่างเป็กันเองจึงเห็นว่ามีคนแปลกหน้านั่งอยู่ด้วยก่อนจะหันไปถามซ้งเชียน “เ้าหัว... ไม่ใช่สิ ศิษย์ของสำนักสีเลี้ยนคนนี้คือ?”
ซ้งเชียนพยายามกลั้นขำในท่าทีของนาง
แต่จ้าวห้าวกลับดูเก้อเขินเพราะซูเหยียนมีตำแหน่งที่ค่อนข้างพิเศษก่อนจะวางตะเกียบแล้วพูดน้ำเสียงสุภาพ “ข้าคือศิษย์ของสำนักสีเลี้ยนนามว่าจ้าวห้าว เป็ประชากรในเมืองหลินเสี่ยเฉิงยิน...ยินดีที่ได้พบแม่นางซูเหยียน”
“อ้อ...ไม่ต้องเกรงใจ”
หลังจบบทสนทนาซูเหยียนก็ไม่ได้สนใจจ้าวห้าวแต่หันกลับมาคุยกับข้าแทน“อีกห้าวันจะถึงวันทดสอบและคัดเลือกศิษย์ใหม่แล้ว เ้าเตรียมพร้อมดีหรือยัง? เพราะข้าเห็นชื่อเ้าในใบสมัครด้วยนี่”
ข้าพยักหน้ารับ“เลื่อนขั้นจากศิษย์สำรองไปเป็ศิษย์ของสำนักอย่างเต็มตัว ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว”
“เ้าหวังแค่นี้เองเหรอ? ...”
“จะบอกไว้เลยนะว่าการคัดเลือกครั้งนี้สำคัญมากเพราะคนที่อยู่ในหนึ่งร้อยอันดับแรกสามารถเข้าไปเรียนในห้าสำนักใหญ่อย่างสำนักจวี๋ฉีได้ส่วนสิบอันดับแรกจะได้สิทธิ์เข้าไปเป็ศิษย์ห้องหนึ่งของสำนักจวี๋ฉีเชียวนะแถมห้องนั้นยังมีอาจารย์ที่ปรึกษาเป็ถึงปรมาจารย์นักรบิญญาด้วยรับรองว่าห้องอื่นๆ เทียบไม่ได้แน่นอน” ซูเหยียนอธิบาย
นางหยุดพักหายใจก่อนจะพูดต่อ“ดังนั้นเ้าจะต้องอยู่ในสิบอันดับแรก ถึงจะสามารถเลือกเรียนห้องเดียวกับข้าได้...”
ข้าได้ฟังมือไม้ก็ถูจมูกตัวเองด้วยความถ่อมตัว“คือเื่สิบอันดับแรกดูจะยากเกินไปสักหน่อยแต่ร้อยอันดับแรกไม่มีปัญหาอะไรสำหรับข้าเลยที่จริงหากข้าติดร้อยอันดับแรกและมีการแบ่งห้องเรียนเ้าก็มาเรียนกับข้าก็ได้นี่...”
ซูเหยียนตอบกลับแบบไม่พอใจนัก“เ้านี่มันไม่มีเป้าหมายเอาเสียเลยจะให้ข้ากับตั้นไถเหยาทิ้งห้องหนึ่งเพื่อย้ายไปหาเ้าเนี่ยนะ?”
ข้าพยักหน้า“อืม...แต่ข้าจะพยายามแล้วกัน เพราะศิษย์ใหม่ฝีมือดีมีตั้งเยอะแยะข้าเองก็กังวลอยู่ไม่น้อยว่าตัวเองจะเข้าไปถึงสิบอันดับแรกได้หรือเปล่า?”
“เอาเถอะน่า ข้าเชื่อในตัวเ้า”
“กินข้าวๆ”
“อืม”
หลังจากกินกันจนอิ่มแล้วพนักงานก็เดินเข้ามาคิดเงินตามปกติไม่น่าเชื่อว่าข้าวมื้อเดียวจะราคาสูงถึงสองหมื่นห้าพันเหรียญหลงหลิงเ้ามืออย่างจ้าวห้าวถึงกับหน้าถอดสี ดูเหมือนว่าคุณชายน้อยของหมู่บ้านจ้าวเจียใกล้จะล้มละลายก็คราวนี้
…
ขณะที่เดินตามกันลงมาก็บังเอิญเจอกับกลุ่มศิษย์จำนวนหนึ่งที่มีหัวหน้าเป็หนึ่งในสามปราชญ์อย่างจวงเหิงซิ่งและศิษย์อีกหกคนจากสำนักจวี๋ฉีนอกจากนั้นยังมีศิษย์หญิงในเครื่องแบบของสำนักจวี๋ฉียืนอยู่ข้างๆ เขาอีกด้วยแม้หน้าตาจะดูสะสวยแต่แววตาคู่นั้นกลับดูไม่เป็มิตรเท่าไรนัก
“พวกเ้าเองเหรอ?”
จวงเหิงซิ่งเลิกคิ้วถามอย่างสงสัย“คิดไม่ถึงว่าศิษย์ของสำนักสีเลี้ยนจะมาเกลือกกลั้วอยู่กับคนในโรงเกลากระบี่จ้าวห้าว เ้ายิ่งคบเพื่อนแบบนี้ยิ่งทำให้ตัวเองดูต่ำต้อยนะรู้หรือเปล่า?”
จ้าวห้าวได้ยินแล้วแสยะยิ้มก่อนจะพูดขึ้น“คนขี้แพ้อย่างเ้าอย่าเสียเวลาพูดมากเลยดีกว่าเพราะถ้าเกิดอยากจะประลองกันอีกสักตั้งข้าก็พร้อมที่จะรับคำท้า”
“ฮึ!”
จวงเหิงซิ่งมองข้าสายตาเ็า“ปู้อี้เชวียน ได้ยินว่าเ้าลงสมัครการทดสอบของศิษย์ใหม่เหมือนกันข้าขอให้เ้าเข้าไปถึงสิบอันดับแรกอย่างราบรื่นแล้วกันนะ เพราะถ้าแบบนั้น...เ้าก็จะมีสิทธิ์มาเป็คู่ต่อสู้ของข้าแล้วล่ะพอถึงตอนนั้นข้าไม่มีทางอ่อนข้อให้แน่นอน!แล้วเ้าจะได้รู้สักทีว่าพลังที่แท้จริงของข้าเป็อย่างไร!”
ตามกฎของการทดสอบคือศิษย์ที่อยู่ในสิบอันดับแรกจะต้องประลองกับศิษย์สิบอันดับแรกของสำนักจวี๋ฉีหากประลองชนะจึงจะสามารถเลือกห้องเรียนได้ตามใจชอบ
ข้าพยักหน้ารับ“ข้าจะรอวันนั้นแล้วกันนะ”
ซูเหยียนพูดขึ้นอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์“จวงเหิงซิ่ง ทำไมเ้าถึงชอบหาเื่ปู้อี้เชวียนนักนะ?”
“ข้าก็ไม่ได้จะหาเื่สักหน่อย ก็แค่อยากจะประลองกับเขาก็เท่านั้น”
เขายิ้มออกมาก่อนจะพูดต่อ“มีโอกาสได้ประลองกับข้าถือเป็โชคดีต่อให้ปู้อี้เชวียนบำเพ็ญจนตายแล้วเกิดใหม่สักสามรอบยังหาไม่ได้เลยนะ!”
“เ้ามันได้คืบจะเอาศอก!”
“อย่างนั้นเหรอ?” หญิงงามที่ยืนอยู่ข้างจวงเหิงซิ่งพูดขึ้นทรงหน้าที่รับกับผมสีน้ำตาลอ่อน และร่างกายที่เหมือนได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีนางกระตุกยิ้มขึ้นเล็กน้อยและพูดต่อ“ลูกสาวตระกูลซูที่เล่าขานกันมาดูไม่ธรรมดาจริงๆ ... คบเพื่อนได้ทุกแบบ”
คบเพื่อนได้ทุกแบบ? ให้ตายเถอะ นี่นางหมายความว่าอย่างไรกันแน่!
ซ้งเชียนและจ้าวห้าวเดือดดาลขึ้นมาทันที
แต่ซูเหยียนกับยิ้มเรียบๆแล้วโต้กลับไป “ข้าเองก็รู้จักเ้าเหมือนกันเป็ถึงผู้สืบทอดของตระกูลไป๋ชานแห่งดินแดนกาฬวาตทั้งยังมีฝีมือระดับสองในสำนักจวี๋ฉีนึกไม่ถึงเลยว่าคนอย่างเ้าจะคบหากับอันธพาลที่ชอบรังแกคนอ่อนแอกว่าอย่างพวกชั้นต่ำแบบนี้
“เ้าหมายความว่าไง?” ทั้งจวงเหิงซิ่ง เฉิ่นลั้งและหวินยู่ต่างมีสีหน้าไม่พอใจ
ด้านหลังของซูเหยียนมีองครักษ์โลหิตัสองถึงสามคนยืนอยู่ด้วยสายตาที่เยือกเย็นแม้จะไม่ได้พูดอะไรแต่ก็น่าเกรงขามอยู่ไม่น้อย พวกองครักษ์จ้องมองไม่วางตาราวกับว่าถ้าจวงเหิงซิ่งกับพวกยังทำตัวไม่เคารพก็พร้อมจะจัดการแล้วโยนออกไปนอกร้าน
ถึงอย่างไรจวงเหิงซิ่งก็เป็ลูกค้าประจำของที่นี่และไม่กล้าทำให้ตัวเองเสียหน้า จึงทำได้เพียงขมวดคิ้วเข้มแล้วหันมาพูดกับข้าแทน“ปู้อี้เชวียน เราจะต้องได้เห็นดีกันสักวันขอให้เ้าติดหนึ่งในสิบอันดับให้ได้แล้วกัน แต่ว่า...ข้าดูแล้วคงไม่มีวันนั้นหรอกจำเอาไว้ว่าสำนักจวี๋ฉีไม่ใช่สนามเลี้ยงวัว และไม่มีที่ว่างให้พวกสวะเด็ดขาด!”
ข้ากระตุกยิ้มอย่างไม่แยแสก่อนจะพูดขึ้น“ข้าว่าตอนนี้ทางสำนักจวี๋ฉีก็กำลังเลี้ยงพวกสวะอยู่ไม่ใช่เหรอ?”
“เ้าว่าไงนะ!?” จวงเหิงซิ่งว่าแล้วง้างมือจะสวนกลับ
“มา เข้ามาเลย!” จ้าวห้าวที่กำหมัดแน่นหัวเราะแล้วพูดขึ้น“มีเื่นอกสำนักไม่โดนฝ่ายปกครองลงโทษอยู่แล้ว เข้ามาเลย ต่างคนต่างเจ็บพวกเ้าสามปราชญ์ของสำนักจวี๋ฉีเข้ามาพร้อมกันทั้งหมดเลยแค่พริบตาเดียวจะได้รู้ว่าพลังของศิษย์สำนักสีเลี้ยนเป็อย่างไร!” สุดท้ายแล้วเ้าโล้นแห่งสำนักสีเลี้ยนดูท่าจะเก่งกาจไม่เบาเหมือนกัน เพียงแค่เขาพูดพวกสามปราชญ์จากสำนักจวี๋ฉีก็ชะงักนิ่งไป เพราะพลังโดยกำเนิดของเขามีความแข็งแกร่งทั้งยังฝึกฝนวิชาลมหายใจัด้วย ระดับพลังจึงเพิ่มขึ้นเป็ทวีคูณยิ่งถ้าได้ลงมือแล้ว รับรองว่าไม่มีใครรับมือได้แน่นอน
ไอลากระตุกยิ้มไม่พอใจ“จวงเหิงซิ่ง อย่างน้อยเ้าก็เป็ถึงนายน้อยของตระกูลจวงจะลดตัวลงมามีเื่กับพวกคนชั้นต่ำนี่ทำไมล่ะข้าวก็กินเสร็จแล้วข้าไม่อยากให้มีปัญหาตามมาอีก”นางว่าแล้วหันมามองซูเหยียนเหมือนมีอะไรบางอย่าง
ซูเหยียนมองกลับอย่างไม่เกรงกลัวพลางขมวดคิ้วเล็กน้อยดูเหมือนการได้เข้าสำนักสีเลี้ยนใช่ว่าจะดีเพราะศิษย์เก่าต่างก็แบ่งพรรคแบ่งพวกกันเรียบร้อยแล้วเมื่อถึงเวลานั้นคงจะกดดันศิษย์ใหม่แน่นอน แม้จะแข็งแกร่งแต่ก็ไม่ได้เื่ยิ่งข้าและซูเหยียนต่างก็มีพลังไม่ต่างจากพวกนั้นเท่าไร เกรงว่าจะยิ่งไปกันใหญ่
“พวกเราก็กลับกันเถอะ” ซูเหยียนพูดเสียงเบา
“อืม” ข้าพยักหน้ารับก่อนจะถามขึ้น“ดูเหมือนแม่นางที่ชื่อไอลาจะมีอคติต่อเ้าไม่น้อย?”
“จะบอกว่าอคติก็คงไม่ใช่ ต้องบอกว่าเป็ความแค้นที่มีมาจากคนรุ่นก่อนๆมากกว่า...” ซูเหยียนเดินอยู่ข้างๆ พร้อมกับก้มหน้ามองพื้น แล้วพูดต่อ“เมื่อเก้าปีก่อนท่านพ่อได้เริ่มประกาศการทำาทหารของทางพันธมิตรนักปราชญ์ขาวเองก็เข้าไปกวาดล้างทางฝั่งของดินแดนกาฬวาตส่วนตระกูลไป๋ชานก็เป็หนึ่งในขุนนางของตระกูลถังแห่งดินแดนกาฬวาตด้วยกระทั่งจบาคงจะสูญเสีญเงินทองไปไม่น้อยหรือบางที...ครอบครัวของนางอาจจะล้มตายในสนามรบเลยทำให้ความแค้นครั้งนี้ต้องคิดบัญชีกับตระกูลซูของพวกเรา”
ข้านิ่งไปพักหนึ่งก่อนจะพูดขึ้น“ถ้าเกิดว่าไม่มีาในครั้งนั้นก็จะไม่มีสหพันธ์หลงหลิงที่เจริญรุ่งเรืองขนาดนี้ตระกูลซูของเ้าไม่ได้เสียใจกับสิ่งที่ทำลงไปแต่กับตระกูลถังแห่งดินแดนกาฬวาตนั่น...”
นางที่ดูออกว่าข้าจะพูดอะไรก็หัวเราะออกมาซะก่อน“เอาน่า ไม่ต้องพูดถึงเื่นี้แล้วล่ะ เ้ารีบกลับไปฝึกฝนต่อเถอะตอนบ่ายข้ายังมีเรียนภาคทฤษฎีอีก”
“อืม”
...
ข้าล็อกประตูโรงเกลากระบี่แล้วเริ่มฝึกฝนเคล็ดวิชาาในตอนเที่ยงมีเพียงการฝึกฝนจนถึงระดับเซียนในขั้นที่สามเท่านั้นจึงจะมีโอกาสเป็หนึ่งในสิบคนในรอบคัดเลือกได้
เคล็ดวิชาาขั้นที่สามพลังัแกร่ง!
ถึงจะใช้ัในการตั้งชื่อเหมือนกันแต่วิชาลมหายใจักับัแกร่งกลับแตกต่างกันมาก เพราะลมหายใจัเป็พลังที่แข็งแรงและบริสุทธิ์ขณะที่เคลื่อนพลังจะให้ความรู้สึกเหมือนัตัวใหญ่กำลังหลับใหลแต่น่าเกรงขามส่วนพลังัแกร่งของเคล็ดวิชาาจะแสดงให้เห็นถึงความเปิดเผยที่แข็งแกร่งและหนาแน่นราวกับส่งพลังของตระกูลัออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน
อ๊าก!
ข้าฝึกฝนเคล็ดวิชาาโดยใช้พลังของวิชาลมหายใจัเป็ฐานซึ่งขณะที่ข้ายื่นแขนก็พบว่ามีพลังลมปราณแผ่ออกมาจากแขนทั้งสองข้างเกิดเป็รัศมีพลังหมุนเวียนไม่หยุด พลังจะเพิ่มขึ้นจากหนึ่งวงและทับซ้อนกันเรื่อยๆและอยู่ในระดับที่พร้อมจะะเิออกมาทุกเมื่อ
หลังจากเคลื่อนพลังเพียงสามรอบความร้อนภายในร่างกายก็เริ่มผสานรวมกันรวมทั้งเส้นลมปราณซึ่งพลังกำลังไหลเวียนอย่างเข้มข้นและกลายเป็พลังัแกร่งกำลังแผ่ซ่านไปทั่วร่าง
ข้าสูดลมหายใจเข้าลึกเมื่อร่างกายโอนเอนอ่อนล้าเพราะสูญเสียลมปราณไปอย่างหนัก ทั้งความเจ็บที่ส่งผ่านจากภายในเมื่อถูกแรงสะท้อนอันรุนแรงของเคล็ดวิชาาทำลาย
ถ้าใช้วิธีดังแต่ก่อนคือการหยุดพักเพื่อเพิ่มพลังและปรับร่างกายประมาณครึ่งหรือหนึ่งเดือนจึงกลับมาฝึกต่อได้เพราะแบบนี้เมื่อก่อนข้าจะฝึกฝนเคล็ดวิชาานี่ได้ช้า แต่ไม่ใช่ตอนนี้ซึ่งข้า้าพลังของขั้นที่สาม จึงจะหยุดไปกลางคันแบบนี้ไม่ได้!
หันหลังไปแกะห่อกระดาษที่พับกันอยู่หลายชั้นแล้วเอาโสมโลหิตที่มีอายุกว่าสามร้อยปีออกมาเพราะถึงเวลานำมาใช้เพื่อบรรลุขั้นที่สามแล้วล่ะขอให้ประสิทธิภาพมากพอที่จะฝึกฝนจนสำเร็จด้วยแล้วกัน!!
ข้ากัดโสมโลหิตเข้าไปเพียงนิดเดียวประมาณความยาวของเล็บมือส่วนที่เหลือห่อกลับไว้เหมือนเดิม โสมโลหิตถูกกลืนลงไปเพียงสองถึงสามคำก็รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังกลืนก้อนไฟลงไปพลังใหม่เริ่มเข้ามาแทนทีอย่างรวดเร็ว จะว่าไปโสมนี้ไม่ธรรมดาเหมือนกัน
พริบตาเดียวร่างกายที่ห่อเหี่ยวก็กลับมาสดชื่นราวกับได้รับน้ำฝนที่ชุ่มช่ำพลังในร่างกายอันน้อยนิดก็กลับมาเต็มเปี่ยมหลังจากเคลื่อนพลังได้ห้ารอบแขนทั้งสองข้างก็เปล่งประกายและโปร่งใสจนเห็นการไหลเวียนของลมปราณภายในทั้งยังมีพลังแผ่ซ่านออกมา หรืออาจเป็อาการของผู้ที่ใกล้จะบรรลุแล้วก็ได้!
เมื่อออกแรงสะบัดแขนทั้งสองพลังที่คุกรุ่นอยู่ภายในก็พุ่งออกมาทำให้พลังลมปราณและพลังิญญาผสานกลายเป็ทะเลหมอกอยู่เบื้องหน้าตามด้วยัสีเืที่แข็งแกร่งทะยานผ่านม่านหมอกออกมาราวกับพร้อมที่จะจุติมายังโลก
ัแกร่งแห่งมหาสมุทร!
มันคือระดับต้นของขั้นที่สามในเคล็ดวิชาา!
ข้าดีใจจนเก็บอาการไม่อยู่ความสำเร็จครั้งนี้เป็ผลมาจากโสมโลหิตที่มีอายุกว่าสามร้อยปีจึงไม่แปลกที่บรรดาลูกๆ คนมีฐานะและชาติตระกูลถึงได้บรรลุกันง่ายนักเพราะแค่วัตถุดิบก็ได้เปรียบคนชั้นล่างไปแล้วหลายเท่าจากตำนานเล่าขานที่ว่าโสมโลหิตที่มีอายุร้อยปีขึ้นไปจะช่วยให้บรรลุได้จนวันนี้ข้าได้รู้แล้วว่าไม่ได้มีแต่ในตำนานเท่านั้น!
ไม่ใช่แค่ทำให้แขนทั้งสองข้างมีพลังไหลเวียนอย่างเต็มเปี่ยมแต่กลับมีพลังมหาศาลอัดแน่นอยู่ที่หน้าอกด้วย!