วันเวลาผันผ่านไปหนิงอ้ายสามารถเลื่อนระดับลมปราณเป็ผู้ฝึกตนระดับขุนพลิญญาขั้นกลางแล้ว อีกเพียงไม่กี่ขั้นย่อยก็จะสามารถเลื่อนระดับเป็ผู้ฝึกตนขุนพลิญญาขั้นสูงได้สำเร็จ ด้วยระยะเวลาสั้นเพียงนี้กับความก้าวหน้าอย่างก้าวะโที่ทอดสายตาไปทั่วทั้งยุทธภพแล้วยังยากที่จะพบเห็นได้โดยง่าย ทั้งที่หกเดือนก่อนหน้าเด็กหนุ่มยังเป็เพียงคนธรรมดาไร้ซึ่งพลังลมปราณที่พึ่งเข้าสู่วิถีของผู้ฝึกตนเพียงเท่านั้น หากมีผู้ใดล่วงรู้ในสิ่งนี้ย่อมสร้างความแตกตื่นในแวดวงของผู้ฝึกตนได้อย่างแน่นอน…
“หนิงเอ๋อร์ ตอนนี้เ้าเป็ผู้ฝึกตนระดับขุนพลิญญาแล้วเ้าััได้ถึงิญญายุทธ์ของเ้าได้แล้วหรือไม่? แสดงิญญายุทธ์ของเ้าให้มารดาดูเสียหน่อย...” เยว่ซินเอ่ยขึ้นกับบุตรชายของตน เนื่องจากเด็กหนุ่มในตอนนี้ถึงเขตขั้นราชทินนามขุนพลิญญาแล้วย่อมสามารถเรียกใช้ิญญายุทธ์ต้นกำเนิดของตนออกมาได้
“ขอรับท่านแม่...”
ิญญายุทธ์ปักษา์เพลิงศักดิ์สิทธิ์ สถิตร่าง!!
วูบ!
หนิงอ้ายยกมือประสานขึ้นพร้อมกับปล่อยพลังิญญาระดับขุนพลิญญาของตนออกมา ก่อเกิดเป็หมอกควันสีแดงทองที่ผนึกขึ้นเป็ปีกปักษาเพลิงขนาดใหญ่ตรงด้านหลัง กลิ่นอายความเข้มข้นของชีวิตแผ่ซ่านกำจายไปทั่วพร้อมกับคลื่นความร้อนในรัศมีหนึ่งลี้
“เปลวเพลิงแห่งชีวิตและการทำลายล้างของข้า มีนามว่าิญญายุทธ์ปักษาเพลิงศักดิ์สิทธิ์เป็สายโจมตีขอรับ! ไม่มีสิ่งใดสามารถดับเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์นี้ได้หากข้าไม่้า นอกจากนั้นแล้วเปลวเพลิงนี้ยังสามารถเพิ่มพูนและดูดกลืนกลิ่นอายของชีวิตให้กับผู้ที่ข้า้าได้เช่นกัน...” หนิงอ้ายบอกกับทุกคนถึงความพิเศษของิญญายุทธ์แรกของตน เขาเชื่อมั่นว่าหากเขามีพลังิญญาในระดับที่สูงขึ้นเปลวเพลิงนี้ย้อมมีอาณุภาพที่เหนือชั้นกว่านี้ไปอีกหลายเท่า
“สมกับเป็เปลวเพลิงจากปราณสุระยะธาตุเสียจริง แม้ว่ากลิ่นอายในยามนี้อาจจะยังอ่อนด้อยไปบ้างแต่นั่นเป็เื่ของเวลาเพียงเท่านั้น!!” เยว่ซินเอ่ยเสริมขึ้น หนิงอ้ายยิ้มรับคำกล่าวมารดาของตนก่อนที่จะสลายิญญายุทธ์นี้ไป
“สำหรับิญญายุทธ์ที่สองของข้าเป็ปราณธาตุน้ำสายโจมตีเช่นกัน มีนามว่าพัดหยกห้าเซียนวิถีเร้นลับ...”
ิญญายุทธ์พัดหยกห้าเซียนวิถีเร้นลับ สถิตร่าง!!
วูบ!
สิ้นเสียงของหนิงอ้ายปรากฏเป็หมอกสีน้ำเงินขาวลอยฟุ้งก่อนที่จะผลึกขึ้นเป็มีดเล่มเล็กจำนวนทั้งหมดห้าเล่มหมุนวนรอบตัว ก่อนที่กลุ่มของมีดบินนี้จะหลอมรวมขึ้นเป็พัดหยกสีน้ำเงินเขียวลวดลายงดงามลอยค้างอยู่บนมือของเด็กหนุ่มซึ่งเป็ิญญายุทธ์ที่สอง
“ิญญายุทธ์พัดหยกห้าเซียนวิถีเร้นลับของข้าเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังแฝงของปราณธาตุลมอันกล้าแกร่ง นอกจากนี้พัดหยกสามารถแบ่งออกเป็มีดบินที่สามารถเพิ่มขึ้นตามพลังิญญาของข้าได้สูงสุดถึงเก้าเล่ม สามารถพุ่งเข้าโจมตีหรือเป็เกราะป้องกันได้เช่นกันขอรับ...”
“ิญญายุทธ์ประสานจากปราณธาตุน้ำและปราณธาตุลมประเภทศาสตราวุธอย่างนั้นรึ ช่างน่าประทับใจยิ่ง!” หวังฮุ่ยพูดออกมาด้วยความชื่นชม
“มารดาแนะนำให้เ้าในตอนนี้จงใช้เพียงิญญายุทธ์ปราณธาตุน้ำ อย่าได้เพิ่มวงแหวนิญญาให้กับิญญายุทธ์อันเกิดจากปราณสุริยะธาตุเด็ดขาดและต้องไม่ให้ผู้ใดรับรู้ ที่สำคัญอย่าพึ่งให้คนอื่นรู้ว่าเ้ามีิญญายุทธ์คู่ เข้าใจหรือไม่??” เยว่ซินเอ่ยเตือนหนิงอ้าย ด้วยเพราะปราณสุริยะธาตุไม่ได้ปรากฏในมหาพิภพแห่งนี้นานนับพันปีแล้ว หากมีผู้ใดล่วงรู้ย่อมไม่เป็การดีแน่ในยามนี้
“ข้าก็คิดเช่นนั้นขอรับท่านแม่...หากไม่มีเหตุจำเป็ข้าจะไม่ใช้ิญญายุทธ์ปราณสุริยะธาตุเด็ดขาด จนกว่าข้าจะเข้าใจและยึดกุมบัญชาการได้มากกว่านี้ขอรับ!” หนิงอ้ายตอบกลับมารดาของตนไป
"เ้าไม่ต้องกังวล ขอเพียงิญญายุทธ์ปราณธาตุน้ำของเ้ามีวงแหวนิญญาก็สามารถฝึกฝนต่อได้ไม่ส่งผลกระทบใดและหากเ้าได้เผชิญกับอันตรายถึงชีวิตจงอย่าลังเลที่จะใช้ิญญายุทธ์นี้ นอกเหนือจากนั้นอย่าพึ่งใช้ิญญายุทธ์ปราณสุริยะธาตุเด็ดขาด!!" เยว่ซินสั่งห้ามด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด พร้อมกับมองเด็กหนุ่มด้วยความจริงจัง
"ข้าเข้าใจแล้วขอรับ..." หนิงอ้ายรับคำอย่างเชื่อฟัง
“ยินดีด้วยอีกครั้งขอรับคุณชาย!!” ลู่ซีรู้สึกดีใจเป็อย่างมากที่คุณชายของพวกเขาสามารถถึงด้วยระดับพลังิญญาเช่นนี้ได้ด้วยระยะเวลาไม่ถึงหนึ่งปีเท่านั้น
“แต่ถึงอย่างไรข้ายังไม่ใช่ผู้ฝึกตนระดับขุนนางิญญาอย่างแท้จริง...” หนิงอ้ายตั้งเป้าหมายเอาไว้ว่าเขาต้องเข้าร่วมงานประลองระหว่างแคว้นในครั้งนี้ แต่ด้วยพลังิญญาของเขาในตอนนี้ยังไม่พร้อมด้วยคุณสมบัติมากพอที่จะเข้าร่วมได้
“ด้วยพร์ของนายน้อยข้าเชื่อว่าอาศัยเวลาอีกเพียงไม่นานเท่านั้น สำหรับวันนี้ข้าจะสอนเคล็ดวิชาตัวเบาของตระกูลหวังให้ก่อนดีหรือไม่?”
“ลำบากท่านลุงฮุ่ยแล้วขอรับ...” วิชาตัวเบานับว่ามีประโยชน์เป็อย่างมากสำหรับผู้ฝึกตน เพราะสามารถนำมาพลิกแพลงใช้ทั้งการต่อสู้และการหลบหนีได้อย่างหลากหลาย ฟังว่าผู้าุโหวังฮุ่ยเป็อีกผู้หนึ่งที่สำเร็จเคล็ดวิชานี้ในระดับที่ไม่ธรรมดา ดังนั้นการที่เขาจะได้รับการถ่ายทอดโดยตรงจากผู้มีประสบการณ์ตรงที่มากไปด้วยประสบการณ์สิ่งนี้ล้วนเป็ประโยชย์แก่เขาทั้งสิ้น
หนิงอ้ายเริ่มเรียนรู้วิชาตัวเบาย่างก้าวทะยานหมื่นลี้ อันเป็เคล็ดวิชาประจำตระกูลหวังจากหวังฮุ่ยโดยตรง โดยที่มีลู่ซีเรียนรู้ไปพร้อมกันด้วย เพราะถึงแม้อีกฝ่ายจะมีเคล็ดวิชาตัวเบาไว้ใช้งานแล้วก็จริงแต่หากกล่าวตามตรงยังคงห่างชั้นจากวิชาตัวเบาของตระกูลหวังไปเสียหลายส่วน อีกทั้งลู่ซีเป็บ่าวรับใช้คนสนิทของหนิงอ้ายก็นับได้ว่าเป็คนของตระกูลหวังไปแล้วเช่นกัน ดังนั้นจึงสามารถเรียนรู้วิชาตัวเบานี้ได้อย่างไม่ผิดกฎเกณฑ์ใดของตระกูล
เคล็ดวิชาย่างก้าวทะยานหมื่นลี้ เป็วิชาตัวเบาที่ขึ้นชื่อในเื่ของการปรับเปลี่ยนการใช้งานตามใจคิดของผู้ใช้อย่างอิสระไร้รูปแบบแผนยากที่จะคาดเดาได้โดยง่าย โดยอาศัยการเดินพลังปราณจากการหยิบยืมพลังของสี่ปราณธาตุพื้นฐานเข้ามาอย่างสมดุล ด้วยรูปแบบวิชาที่เฉพาะเจาะจงเช่นนี้จึงถือได้ว่ามีผู้สำเร็จในระดับสูงสุดได้น้อยยิ่งนัก
'ย่างก้าวทะยานหมื่นลี้กับสยบอัสนีเมฆาทั้งสองวิชานี้ล้วนอยู่ในระดับเทวะ อาจมีความแตกต่างในเื่ของหลักการของอักขระเวทย์ไปบ้าง แต่หากมีความเข้าใจในรูปแบบเฉพาะของบทเวทย์แล้วย่อมไม่ใช่เื่ยากเท่าไหร่นัก!' หนิงอ้ายที่เข้าใจในลักษณะของรูปแบบของบทเวทย์ระดับเทวะจากการใช้เคล็ดวิชาสยบอัสนีเมฆาอย่างเชี่ยวชาญ จากการศึกษาตำราพื้นฐานเขาจึงเข้าใจว่าศาสตร์ทุกแขนงที่มีการใช้ปราณธาตุเข้ามาเกี่ยวข้อง โดยเริ่มจากธาตุพื้นฐานที่มีการวางตามแนวของทิศทั้งสี่ สัญลักษณ์ตัวอักษรที่ปรากฏในบทเวทย์จะมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องหนุนนำกันอย่างสมดุล
‘ความจริงแล้วหลักการของบทเวทย์ไม่ได้มีความซับซ้อนถึงเพียงนั้น เพราะเป็การดึงเอาปราณธาตุพื้นฐานทั้งสี่วางอยู่ในวงเวทย์อย่างสมดุล หากสามารถฝึกเคล็ดวิชาย่างก้าวทะยานหมื่นลี้นี้ได้อย่างเชี่ยวชาญแล้ว เคล็ดวิชาอื่น ๆ ในระดับเทวะย่อมใช้พื้นฐานเดียวกันได้เช่นกัน...’ หนิงอ้ายคิดอยู่ในใจเขา้าสามารถใช้เคล็ดวิชาย่างก้าวทะยานหมื่นลี้นี้ให้เชี่ยวชาญเสมือนกับว่าเป็การหายใจเข้าออกปกติเพราะว่าเคล็ดวิชานี้ค่อนข้างที่จะจำเป็อย่างมาก
“วิชาตัวเบาเป็หนึ่งในวิชาที่ผู้ฝึกตนทุกคนควรที่ฝึกฝนให้คุ้นชิน เนื่องจากสามารถนำไปปรับใช้ได้อย่างหลากหลาย และเป็ไปตามที่นายน้อยเข้าใจขอรับเพียงแต่ไม่ใช่เื่ง่ายที่จะมีผู้เข้าใจในเื่ของอักขระเวทย์รวมไปถึงรูปแบบเฉพาะของบทเวทย์ในระดับต่าง ๆ” หวังฮุ่ยตอบไปพร้อมกับยกยิ้มขึ้น นายน้อยของเขาช่างมากไปด้วยพร์และสามามารถเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้
ทางฝั่งของลู่ซีแม้ใน่แรกยังมีความไม่คุ้นชินไปบ้าง แต่ด้วยเพราะมีพื้นฐานในการใช้วิชาตัวเบาอยู่บ้าง ดังนั้นอีกฝ่ายจึงใช้เวลาไม่นานนักในการเรียนรู้ในครั้งนี้ หลังจากที่เด็กหนุ่มทั้งสองคนคุ้นชินในการเรียกใช้พลังลมปราณตามเคล็ดวิชาย่างก้าวทะยานหมื่นลี้แล้ว หวังฮุ่ยจึงเดินนำทั้งสองคนไปยังพื้นที่ด้านหลังของเรือน พื้นที่โดยรอบที่โล่งกว้างไร้ซึ่งสิ่งกีดขวางจึงนับได้ว่าเป็สถานที่เหมาะสมในการฝึกฝนในครั้งนี้เป็อย่างมาก
พรึบ!
หนิงอ้ายปล่อยให้ร่างกายล่องลอยเปรียบเสมือนว่าตัวเองเป็ดังวิหคที่โบยบินอยู่อย่างอิสระ ทุกย่างก้าวที่เขาทะยานไปข้างหน้าเต็มไปด้วยความมั่นใจและตั้งมั่นอยู่ในสมาธิ อีกทั้งเดินพลังลมปราณให้หมุนเวียนไปตามเคล็ดวิชาย่างก้าวทะยานหมื่นลี้ที่เขาจดจำได้ในใจ แม้ใน่แรกอาจดูติดขัดไปบ้างเนื่องจากไม่มีสิ่งใดรองรับที่คุ้นชิน หลังจากนั้นหนึ่งชั่วยามทั้งหนิงอ้ายกับลู่ซีก็สามารถใช้ย่างก้าวทะยานหมื่นลี้นี้ได้อย่างคล่องแคล่วและสง่างาม แน่นอนว่าหวังฮุ่ยผู้เป็ดั่งอาจารย์ที่สั่งสอนทั้งสองคนรู้สึกดีใจเป็อย่างมากในความสำเร็จนี้
หนิงอ้ายที่มีความคุ้นชินในเคล็ดวิชาสยบอัสนีเมฆาที่เป็วิชาดูดซับปราณฟ้าดินเข้าสู่ร่างกายเพื่อบ่มเพาะรากฐานให้มั่นคงและเคล็ดวิชาย่างก้าวทะยานหมื่นลี้ที่เป็วิชาตัวเบาระดับเทวะของตระกูลหวัง เขามองว่าค่อนข้างจำเป็ในการเป็ผู้ฝึกตน ไม่ว่าจะใช้ในการเดินทางรวมไปถึงประสานเคล็ดวิชาตัวเบากับการต่อสู้อีกด้วย
ฟิ้ว!
ชิ้ง!
นอกจากนั้นแล้วหวังฮุ่ยยังได้สอนหนิงอ้ายในวิชากระบี่ที่มีนามว่า เคล็ดวิชากระบี่สักกะดาราราย ให้มีความคล่องมือให้มากที่สุด ซึ่งเป็อีกเคล็ดวิชาลับของตระกูลหวังที่มีความซับซ้อนของการออกกระบวนท่ารวมไปถึงต้องมีการแฝงพลังปราณธาตุลงไปในกระบี่ยามที่ใช้เคล็ดวิชานี้ให้พอดีไม่มากเกินไปและไม่น้อยจนเกินไปซึ่งก็เป็เคล็ดวิชาระดับเทวะเช่นกัน
เคล็ดวิชากระบี่สักกะดารารายเเบ่งออกเป็ทั้งหมดสามระดับคือ ขั้นต้น ขั้นกลางและขั้นสูงซึ่งหนิงอ้ายสามารถออกกระบวนท่าของเคล็ดวิชากระบี่สักกะดารารายนี้ได้เพียงขั้นต้นเท่านั้น ยามที่เขาออกท่าทางฝึกฝนกระบวนท่าเคล็ดวิชาดังกล่าวยังขาดความพริ้วไหวและความเด็ดขาดเหมือนกับว่าในตอนนี้นั้นหนิงอ้ายยังไม่สามารถเเสดงอานุภาพของเคล็ดวิชาดังกล่าวนี้ได้ตามที่ควรจะเป็
เคล็ดวิชากระบี่สักกะดารารายขึ้นชื่อในเื่ของความรวดเร็วที่พริ้วไหวดั่งสายลมตลอดจนไปถึงสามารถดึงพลังิญญาของคู่ต่อสู้เข้ามาเสริมความแข็งแกร่งให้มากขึ้นหลายเท่า กล่าวได้ว่าในระหว่างการประลองในสนามหรือยามต่อสู้หากยิ่งทำการใช้เคล็ดวิชากระบี่สักกะดารารายนี้ได้นานเท่าใดย่อมได้เปรียบคู่ต่อสู้และสามารถเป็ผู้ชนะได้มากขึ้นเท่านั้น หนิงอ้ายรู้ดีว่าในตอนนี้ร่างกายของเขายังไม่เเข็งเเรงมากนักหากเทียบกับร่างเดิมในโลกเก่าของตน สำหรับตัวเขาที่เสพติดความสมบูรณ์เเบบยิ่งว่าสิ่งอื่นใดเเล้วเขาไม่มีทางถอดใจยอมแพ้จนจะทำได้สำเร็จ
ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงตัดสินใจฝึกกระบวนท่าเคล็ดวิชากระบี่สักกะดารารายนี้อีกครั้ง หนิงอ้ายยกกิ่งไผ่เตรียมขึ้นมารวบรวมสมาธินึกถึงเคล็ดวิชานี้แล้วจึงออกกระบวนท่าของกระบี่ออกมาอย่างคล่องแคล่วอีกทั้งขยับตัวตวัดกิ่งไม้ไผ่ในมือให้เเน่นมากยิ่งขึ้นโดยครั้งนี้นั้นเขาสามารถร่ายรำกระบวนท่านี้ได้ไม่ติดขัดเป็ที่น่าพอใจไม่น้อยหลังจากออกกระบวนท่าของเคล็ดวิชากระบี่ดารารายนี้ไปราว ๆ ประมาณสองเค่อจึงออกครบจบทุกกระบวนท่าวิชาเมื่อหนิงอ้ายนั้นร่ายรำกระบวนท่าดังกล่าวนี้เสร็จสิ้นจึงได้รับเสียงปรบมือจากลู่ซี และหวังฮุ่ยผู้เป็ดั่งอาจารย์สั่งสอน
''เ้าสนใจเรียนรู้ไปพร้อมกันกับข้าหรือไม่เล่า? ข้าว่าเป็เคล็ดวิชากระบี่ที่สามารถสร้างข้อได้เปรียบจากศัตรูไม่น้อย...'' หนิงอ้ายถามลู่ซีอีกครั้ง เนื่องจากตนเห็นว่าเคล็ดวิชานี้ค่อนข้างมีประโยชน์และสามารถนำมาปรับใช้ได้อย่างหลากหลาย
''ไม่กล้าหรอกขอรับคุณชายเคล็ดวิชานี้เป็สิ่งที่สืบทอดจากตระกูลหวัง ข้าไม่เหมาะสมคู่ควรที่จะเรียนรู้หรอกขอรับ'' ลู่ซีเอ่ยตอบอีกครั้ง เนื่องจากตนมองว่าเคล็ดวิชากระบี่สักกะดารารายนั้นเป็เคล็ดวิชากระบี่ซึ่งถูกส่งต่อแก่ผู้สืบทอดตระกูลหวังเท่านั้นอีกทั้งตนมีเคล็ดวิชากระบี่ที่คุ้นมือแล้วจึงมองว่าไม่จำเป็ต้องเรียนรู้เคล็ดวิชากระบี่อื่นเพิ่มเติมอีก
''เคล็ดวิชานี้ล้วนเเต่มีประโยชน์ ยิ่งเรียนรู้เคล็ดวิชาเหล่านี้มากเท่าไหร่ก็สามารถนำมาปรับใช้ให้เฉพาะของตนได้มากเท่านั้น'' หนิงอ้ายรู้ดีว่าลู่ซีนั้นเป็คนที่ค่อนข้างขี้เกรงใจอยู่ไม่น้อย เเต่ก็เข้าใจได้ว่าในโลกนี้นายกับบ่าวต่างมีเส้นเเบ่งที่ชัดเจน ถึงแม้ว่าตัวเขาจะมองว่าลู่ซีเป็ดั่งสหายสนิทเเต่ทุกสิ่งอย่างที่เกิดขึ้นในเรือนเล็กนี้ต่างมีผู้พบเห็นไม่น้อยแม้ว่าจะอยู่ด้วยความเคารพมากเพียงใดก็ไม่อาจพ้นคำนินทาได้
ด้านหลังของหนิงอ้ายปรากฏเป็หมอกสีน้ำเงินเข้มเปล่งประกายรัศมีโดยรอบตัวหยอกล้อไปกับแสงและเงาที่เล็ดลอดลงมาตามแนวของใบไผ่ที่เอนลู่ไปตามสายลมที่พัดมาเบา ๆ ในยามสาย ครั้นเมื่อแสงของดวงตะวันตกกระทบนับว่าเป็ภาพที่มีความงดงามแปลกตา ผสานเข้ากับความรู้สึกอันเเข็งแกร่งได้อย่างน่าประหลาดใจ
ต้องบอกว่าโดยปกติสำหรับผู้ฝึกตนหลังจากที่ทำการปลุกพลังิญญาสำเร็จ หนทางสำหรับการเพิ่มระดับพลังิญญามีให้เลือกได้อย่างหลากหลายวิธี โดยสามารถเพิ่มระดับได้ด้วยการดูดซับพลังปราณที่อยู่ในฟ้าดินหรือตามหุบเขาเซียนต่าง ๆ บ้างก็เป็การดูดซับจากแก่นพลังธาตุโดยตรง ซึ่งสามารถดูดซับได้ทุกธาตุอยู่แล้วเนื่องจากร่างกายของผู้ฝึกตนเเต่ละคนนั้นย่อมมีพื้นฐานจากธาตุทั้งสี่
เเต่หาก้าผลลัพธ์ที่รวดเร็วและดีที่สุดควรดูดซับแก่นพลังธาตุที่ตนสามารถใช้ธาตุดังกล่าวได้ อีกทั้งยังรวมไปถึงกระดูกิญญาซึ่งผู้ฝึกตนต่างก็สามารถดูดซับประสานเข้ากับร่างกายของผู้ฝึกตน นอกจากจะเป็การเพิ่มระดับขั้นพลังิญญาได้เเล้ว ยังสามารถใช้พลังหรือจุดเด่นของอสูรดังกล่าวที่ตนนำมาประสานเข้ากับร่างกายได้เช่นกัน
เเต่แล้วอย่างไรเล่า...ลิขิตจากฟ้าหรือจะสู้กับมานะตนแม้ว่าจะมีไม่น้อยที่เมื่ออายุครบเจ็ดปีตามกำหนดในการปลุกพลังิญญาสำเร็จ สามารถเข้าสู่วิถีของผู้ฝึกตนรวมไปถึงสามารถใช้ิญญายุทธ์ได้ เเต่หากไม่แสวงหาหนทางความก้าวหน้าของระดับพลังิญญา หากไร้ซึ่งความขยันหมั่นเพียร อุตสาหะ ก็จะอยู่ในระดับพลังิญญาขั้นต่ำสุดหรือระดับก่อเกิดิญญาเพียงเท่านั้น
แน่นอนว่าในโลกของผู้ฝึกตนหนทางย่อมไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ การเป็ที่ยอมรับหาใช่เกิดจากเื่ของฐานะของตระกูลหรือความาุโของอายุเเต่ในโลกของผู้ฝึกตนนั้น ย่อมต่างยอมรับนับถือผู้ที่เเข็งแกร่งและมีฝีมือเสียมากกว่า
โดยเฉพาะงานประลองของแคว้นที่มักจะเกิดขึ้นในทุกสี่ปีกล่าวกันว่าแม้จะมีชาติกำเนิดที่ธรรมดา เเต่หากติดอันดับต้น ๆ ในการประลองแม้ว่าจะมีชาติกำเนิดที่ต่ำต้อย เเต่หลังจากนั้นจะได้รับการยอมรับนับถือไม่ต่างจากตระกูลใหญ่เลยทีเดียว ด้วยเหตุนี้ในการประลองของแคว้นในเเต่ละครั้งย่อมมีผู้คนสนใจเข้าร่วมเป็จำนวนมาก เพราะหวังว่าการเข้าร่วมการประลองแคว้นของตนจะสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตให้ไปในทิศทางที่ดีขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่ชนะเป็อันดับหนึ่งของการประลองจะถูกกล่าวขานว่าเป็เ้าแห่งยุทธภพรุ่นเยาว์ ซึ่งนอกจากจะเป็ผู้ที่ชนะของการประลองเเล้วนั้นต่างมีอำนาจในมือไม่ต่างกับตระกูลใหญ่หรือราชวงศ์เสียด้วยซ้ำ อีกทั้งผู้ชนะในการประลองทั้งห้าคนนี้ต่างถูกเรียกขานว่าเสาหลักของยุทธภพซึ่งมีความสำคัญอย่างถึงที่สุด
อาจฟังว่าหนทางดังกล่าวเพียงเเค่มีกำลังสนับสนุนในเื่ของเงินทองหรือชาติตระกูลต่างก็สามารถก้าวเข้าสู่จุดนั้นได้โดยง่าย ซึ่งความจริงหาเป็เช่นนั้นไม่! หลายคนที่เข้าสู่วิถีของผู้ฝึกตน บางคนอาจจะอยู่ในระดับก่อเกิดิญญาตลอดชีวิต บ้างอาจจะใช้เวลาในการทุ่มเทฝึกฝนรวมไปถึงดูดซับพลังปราณธาตุต่าง ๆ เเต่ก็ไม่สามารถเลื่อนเป็ระดับสูงได้ก็มีให้เห็น เเต่อย่างไรเเล้วสำหรับคนธรรมดาทั่วไปต่างมีคำเรียกเฉพาะของผู้ฝึกตนว่าเป็ชาวยุทธภพแม้จะไม่ได้มีระดับพลังิญญาที่สูงส่งเเต่ก็ไม่ควรไปมีเื่ด้วยเท่าไหร่
สำหรับหนิงอ้ายด้วยความที่เริ่มทำการปลุกพลังิญญาและเข้าสู่วิถีผู้ฝึกตนแม้ระยะเวลาจะเพียงแค่หกเดือน เเต่ในตอนนี้ระดับพลังิญญากลับอยู่ในระดับขุนพลิญญาขั้นกลางแล้ว ซึ่งน้อยคนนักที่จะอยู่ในระดับดังกล่าวด้วยระยะเวลาที่สั้นปานนี้ แม้ว่าระดับขุนพลิญญาจะเป็ระดับที่เหล่าบรรดาคุณชายของตระกูลใหญ่ รวมไปถึงบรรดาเหล่าเชื้อสายองศ์ชายจะสามารถทะลุถึงระดับเขตขั้นดังกล่าวด้วยเพราะทรัพยากรในการเพิ่มระดับิญญาที่พร้อมสนับสนุน ถึงเเบบนั้นก็ใช้เวลาอย่างน้อยหลายปีจึงจะอยู่ในระดับขุนพลิญญาเช่นนี้ หากมีคนรู้ว่าหนิงอ้ายใช้เวลาเเค่หกเดือนก็สามารถนำตัวเองมายังจุดนี้ได้ ย่อมถูกเรียกขานว่าอัจฉริยะอย่างแน่นอน...
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้