ตอนที่ 2 ข้อเสนอของซาตาน
"แม่รู้จักเขาใช่มั้ยคะ? ผู้ชายคนเมื่อกี้... เขาเป็ใคร แล้วทำไมเขาถึงพูดว่าพ่อโกงครอบครัวเขาจนพ่อเขาต้องตาย?"
เสียงหวานที่สั่นเครือด้วยแรงสะอื้นเอ่ยถามทำลายความเงียบงันภายในรถแท็กซี่เก่าๆ ที่พวกเธอนั่งกลับมาจากวัด หลังจากที่รถลีมูซีนคันหรูของภูผาแล่นจากไป ปานชีวาก็รีบพาแม่และน้องสาวออกจากศาลาวัดทันที เพราะเกรงว่าพวกเ้าหนี้นอกระบบชุดเดิมอาจจะย้อนกลับมาทำร้าย
คุณหญิงดาริกา มารดาของปานชีวานั่งน้ำตาซึม กอดลูกสาวคนเล็ก นิดา วัยสิบแปดปีที่กำลังขวัญเสียไว้แน่น นางหลบสายตาคาดคั้นของลูกสาวคนโต ก่อนจะเอ่ยเสียงแ่เบาราวกระซิบ
"เขาชื่อ... ภูผา... เป็ลูกชายคนเดียวของ คุณสุภาพ หุ้นส่วนใหญ่บริษัทพ่อเรา"
"หุ้นส่วน?" ปานชีวาทวนคำ คิ้วเรียวขมวดมุ่น "ตาลไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อนเลย ตลอดเวลาที่ผ่านมา พ่อบอกตาลเสมอว่าบริษัทเราบริหารกันเองในครอบครัว แล้วทำไม..."
"เพราะพ่อเขาไม่อยากให้ลูกรู้ไงล่ะตาล!" ดาริการ้องไห้โฮออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ ความอัดอั้นตันใจที่เก็บกดมานานพรั่งพรูออกมา "ห้าปีที่ลูกไปเรียนต่อปริญญาโทที่อังกฤษ คือ่ที่บริษัทเราเริ่มแย่ พ่อเขาหมุนเงินไม่ทัน เลยไปชวนคุณสุภาพมาร่วมลงทุน แต่... แต่พ่อเขาเอาเงินก้อนนั้นไปอุดรอยรั่วที่อื่น แล้วปลอมบัญชีหลอกคุณสุภาพ พอความแตก... คุณสุภาพเขารับไม่ได้ เขาเลย... ยิงตัวตาย"
ปานชีวายกมือทาบอก ร่างกายชาวาบเหมือนถูกน้ำเย็นจัดสาดใส่หน้า
"แล้ว... แล้วเื่ล้มละลายล่ะคะ? ตาลกลับมาเมืองไทยได้สองเดือน พ่อยังพาตาลไปกินข้าวร้านหรูๆ พ่อยังโอนเงินเข้าบัญชีตาลทุกเดือน พ่อบอกว่าธุรกิจเรากำลังไปได้สวย... ทั้งหมดนั่นคือเื่โกหกเหรอคะ?"
"พ่อเขารักลูกมากนะตาล" ผู้เป็แม่สะอื้นฮัก "เขาไม่อยากให้ลูกกังวล เขาอยากให้ลูกเรียนให้จบ อยากให้ลูกมีความสุข เขาถึงยอมกู้หนี้ยืมสินนอกระบบมาปรนเปรอลูก มาสร้างภาพว่าเรายังรวย เพื่อรอวันที่ลูกจะเรียนจบกลับมา... แต่แม่ไม่คิดเลยว่า พ่อเขาจะหาทางออกไม่ได้จนต้องตัดสินใจทำแบบนี้"
ปานชีวาเอนหลังพิงเบาะรถอย่างหมดแรง น้ำตาเม็ดโตไหลรินลงมาอาบแก้ม เธอรู้สึกเหมือนตัวเองเป็เ้าหญิงโง่เขลาที่ใช้ชีวิตสุขสบายอยู่บนหอคอยงาช้าง โดยไม่รู้เลยว่าฐานของหอคอยนั้นสร้างขึ้นจากซากปรักหักพังและคราบเืของผู้เป็พ่อ
ตลอดเวลาที่เธอใช้ชีวิตหรูหราอยู่เมืองนอก พ่อต้องก้มหัวให้เ้าหนี้ พ่อต้องทนทุกข์ทรมาน... และที่สำคัญ พ่อได้สร้างศัตรูที่ชื่อ ภูผา เอาไว้
"แล้วเราเหลืออะไรบ้างคะแม่?" หญิงสาวถามเสียงแข็ง พยายามตั้งสติ "เงินสดในบัญชี? เครื่องเพชร? รถยนต์? ที่ดินแปลงอื่น?"
ดาริกาส่ายหน้าช้าๆ แววตาสิ้นหวัง
"ไม่เหลือเลยลูก... บ้านที่เราอยู่ตอนนี้ก็ติดจำนองกับธนาคารและ... กับบริษัทของคุณภูผา รถยนต์พ่อก็เอาไปจำนำไว้ เครื่องเพชรแม่ขายไปหมดแล้วเพื่อเอามาจัดงานศพพ่อ บัญชีธนาคารทุกเล่มถูกอายัด... ตอนนี้เรามีแค่ตัวเปล่าๆ กับหนี้ร้อยล้านนั่น และก็หนี้รายอื่นๆอีก ที่แม่ก็ยังไม่รู้เลยว่ามีที่ไหนอีกบ้าง"
คำตอบของแม่เหมือนค้อนปอนด์ที่ทุบลงกลางแสกหน้า
หนึ่งร้อยล้าน...
ต่อให้เธอทำงานเป็พนักงานบริษัทเงินเดือนสูงๆ ทั้งชาติ ก็ไม่มีทางหาเงินจำนวนนี้มาคืนได้
รถแท็กซี่เลี้ยวเข้าสู่รั้วคฤหาสน์หลังงามที่เคยเป็วิมานของครอบครัว แต่บัดนี้มันดูมืดมนและวังเวง ปานชีวามองป้ายประกาศขายทอดตลาดที่ปักอยู่หน้าบ้านด้วยความปวดร้าว
อีกเจ็ดวัน... นรกของจริงกำลังจะมาเยือน
เจ็ดวันต่อมา
บรรยากาศภายในห้องรับแขกหรูหราสไตล์ยุโรปของคฤหาสน์ตระกูลวรโชติ เต็มไปด้วยความตึงเครียดจนแทบจะจุดไฟติด เครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำไม่ได้ช่วยลดอุณหภูมิความร้อนรุ่มในใจของผู้อยู่อาศัยได้เลย
ที่โซฟาตัวยาวบุหนังราคาแพง ภูผา นั่งไขว่ห้างด้วยท่วงท่าสง่างามและผ่อนคลาย ราวกับเขาคือเ้าของบ้านตัวจริง สวมชุดสูทสีเทาเข้มตัดเย็บประณีต ใบหน้าหล่อเหลายังคงเรียบเฉยไร้อารมณ์ แต่ดวงตาคมกริบคู่นั้นกลับจ้องมองสามแม่ลูกที่นั่งตัวลีบอยู่ฝั่งตรงข้ามราวกับราชสีห์จ้องเหยื่อ
บนโต๊ะกระจกตรงหน้า มีเอกสารสัญญาปึกใหญ่วางอยู่ พร้อมกับนาฬิกาข้อมือเรือนหรูของภูผาที่เขาถอดวางไว้เพื่อจับเวลา
"ครบเจ็ดวันแล้ว..." เสียงทุ้มต่ำเอ่ยทำลายความเงียบ "หวังว่าพวกคุณคงเตรียม เงิน ไว้พร้อมแล้วนะ"
ปานชีวาที่นั่งกำมือแน่นจนเล็บจิกเข้าเนื้อ เงยหน้าขึ้นสบตากับเขา เธออยู่ในชุดเดรสสีขาวเรียบร้อย ใบหน้าไร้เครื่องสำอางเผยให้เห็นความอิดโรยอย่างชัดเจน ตลอดเจ็ดวันที่ผ่านมา เธอวิ่งเต้นขายทรัพย์สินส่วนตัวทุกชิ้นที่มี ทั้งกระเป๋าแบรนด์เนม เสื้อผ้า นาฬิกา แต่เงินที่ได้มามันเป็เพียงเศษเสี้ยวของหนี้ก้อนโต
"คุณภูผาคะ..." หญิงสาวเอ่ยเสียงสั่น "เรา... เราหาเงินมาได้แค่สามล้านบาทค่ะ นี่คือทั้งหมดที่เรามีจากการขายของส่วนตัวของฉัน"
เธอวางเช็คเงินสดใบหนึ่งลงบนโต๊ะด้วยมือที่สั่นเทา
ภูผาปรายตามองเช็คใบนั้นเพียงแวบเดียว ก่อนจะแค่นหัวเราะในลำคอ
"สามล้าน? ดอกเบี้ยเจ็ดวันยังไม่พอจ่ายเลยด้วยซ้ำ คุณคิดว่าผมเป็มูลนิธิการกุศลหรือไง?"
"คุณภูผาครับ ได้โปรดเมตตาพวกเราด้วยเถอะครับ" ทนายความประจำตระกูลที่นั่งอยู่ข้างๆ พยายามเจรจา "คุณหนูน้ำตาลเพิ่งเรียนจบ เธอยังมีอนาคต ถ้าคุณให้เวลาเธอผ่อนชำระ..."
"อนาคต?" ภูผาเลิกคิ้วสูง "แล้วอนาคตของพ่อผมที่ต้องจบลงเพราะพ่อของผู้หญิงคนนี้ล่ะ ใครรับผิดชอบ? ความยุติธรรมมันต้องแลกด้วยสิ่งที่เท่าเทียมกันไม่ใช่เหรอ?"
เขาโน้มตัวไปข้างหน้า รัศมีกดดันแผ่ซ่านจนคุณหญิงดาริกาและนิดาต้องกอดกันกลม
"ในเมื่อไม่มีเงินร้อยล้าน... ผมคงต้องทำตามสัญญา ยึดทรัพย์สินทุกอย่าง คฤหาสน์หลังนี้ รถทุกคัน และที่ดินแปลงนี้... พวกคุณต้องย้ายออกไป เดี๋ยวนี้"
"ไม่นะ!" นิดาร้องไห้โฮ "หนูไม่ไป! นี่บ้านหนู!"
"หยุดร้องไห้น่ารำคาญ!" ภูผาตวาดเสียงดังจนสะดุ้งกันทั้งห้อง ก่อนจะหันมาจ้องหน้าปานชีวา "แต่... ผมเป็นักธุรกิจ ผมมักจะมี ข้อเสนอพิเศษ เสมอ สำหรับลูกหนี้ที่... น่าสนใจ"
ปานชีวากลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอ รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีกับสายตาที่เขามองมา มันไม่ใช่สายตาที่มองมนุษย์ด้วยกัน แต่มันคือสายตาที่มอง สินค้า เพื่อประเมินราคา
"ข้อเสนออะไรคะ?" เธอถามเสียงแ่
"หนี้หนึ่งร้อยล้าน แลกกับ อิสรภาพ ของคุณ" ภูผาเอ่ยชัดถ้อยชัดคำ "มาอยู่กับผม... ที่บ้านของผม ในฐานะ....เพื่อขัดดอก จนกว่าผมจะพอใจ" เขาเว้นว่าฐานะอะไร แต่ทุกคนก็เข้าใจ
"ขัดดอก?" ปานชีวาทวนคำ หน้าชาวาบ "คุณหมายถึง... นางบำเรอเหรอคะ?"
"จะเรียกอะไรก็แล้วแต่คุณจะนิยาม" ภูผายักไหล่อย่างไม่ยี่หระ "หน้าที่ของคุณคือปรนนิบัติผม ดูแลความเรียบร้อยในบ้าน และ... ตอบสนองความ้าของผมทุกอย่าง โดยไม่มีข้อแม้"
"คุณมันเลว!" ปานชีวาลุกขึ้นยืนชี้นิ้วด่าด้วยความโกรธจัด "คุณคิดจะใช้หนี้มาบีบบังคับให้ฉันขายตัวเหรอ? ฝันไปเถอะ! ฉันยอมไปกัดก้อนเกลือกินข้างถนนดีกว่าต้องไปเป็ของเล่นของคุณ!"
"ดี... ปากเก่งดี ผมชอบ" ภูผาแสยะยิ้มเหี้ยมเกรียม เขาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดโทรออก
"ฮัลโหล... จัดการได้เลย ส่งคนเข้าไปรื้อบ้าน เอาของออกมากองหน้าถนนให้หมด อ้อ... แล้วแจ้งความจับแม่กับน้องสาวเธอข้อหาบุกรุกและฉ้อโกงด้วย หลักฐานที่เรามีน่าจะพอส่งคนแก่กับเด็กเข้าคุกได้สักสิบปี"
"อย่านะ!" ปานชีวาหวีดร้อง เมื่อได้ยินคำว่าคุก "แม่กับน้องไม่เกี่ยว! เื่นี้เป็เื่ของพ่อคนเดียว!"
"เกี่ยวสิ... ในฐานะผู้สมรู้ร่วมคิด" ภูผาวางโทรศัพท์ลง แล้วมองเธอด้วยแววตาของผู้ชนะ "คุณมีเวลาตัดสินใจ 1 นาที ปานชีวา... จะยอมเดินเข้ากรงของผมคนเดียว แล้วแม่กับน้องได้อยู่บ้านหลังนี้ต่อ มีเงินเดือนใช้สบายๆ... หรือจะกอดคอกันไปนอนข้างถนน แล้วให้แม่กับน้องไปนอนในคุก"
บรรยากาศในห้องเงียบกริบจนได้ยินเสียงลมหายใจที่หอบถี่ของปานชีวา
ทางเลือกสองทางที่เหมือนทางตันทั้งคู่
ศักดิ์ศรีของลูกผู้หญิง... กับความอยู่รอดของครอบครัว
เธอหันไปมองมารดาที่ร้องไห้จนจะเป็ลม มองน้องสาวที่มองเธอด้วยสายตาหวาดกลัวและมีความหวัง... น้องยังเด็กเกินกว่าจะไปลำบาก แม่ก็แก่เกินกว่าจะรับแรงกระแทกไหว
เธอมันเป็ลูกอกตัญญูที่ใช้ชีวิตสุขสบายมาตลอดโดยไม่รู้ความทุกข์ยากของพ่อ... นี่คงเป็โอกาสเดียวที่เธอจะได้ชดใช้
หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าลึกๆ กลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา เพื่อไม่ให้ผู้ชายใจร้ายคนนี้ได้เห็นความอ่อนแอ
ดวงตากลมโตที่เคยสุกใส บัดนี้ฉายแววเด็ดเดี่ยวและเ็ป เธอสบตาภูผาอย่างไม่ลดละ
"ตกลงค่ะ..."
เสียงหวานเอ่ยแ่เบาแต่หนักแน่น
"ฉันจะไปอยู่กับคุณ... ในฐานะตัวขัดดอก แลกกับบ้านหลังนี้และความปลอดภัยของแม่กับน้อง"
ภูผากระตุกยิ้มมุมปาก เป็รอยยิ้มที่ทำให้หัวใจดวงน้อยสั่นสะท้านด้วยความกลัว
เขาลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เดินอ้อมโต๊ะมาหยุดอยู่ตรงหน้าเธอ มือหนาเชยคางมนขึ้นมาบังคับให้สบตา
นิ้วหัวแม่มือไล้เบาๆ ที่ริมฝีปากอิ่มที่กำลังสั่นระริก ััของเขาหยาบกระด้างและร้อนผ่าวราวกับไฟ
"ฉลาดมากปานชีวา... การตัดสินใจของคุณถูกต้องแล้ว"
เขาโน้มหน้าลงมากระซิบชิดใบหู ลมหายใจอุ่นจัดเป่ารดต้นคอจนเธอขนลุกซู่
"เก็บเสื้อผ้าซะ... เอาไปแต่ตัวกับเสื้อผ้าที่ใส่อยู่ตอนนี้ ของมีค่าอื่นทิ้งไว้ที่นี่ เพราะต่อจากนี้ไป... ทั้งตัวและหัวใจของคุณ เป็กรรมสิทธิ์ของผม"
ปานชีวาหลับตาลง ปล่อยให้น้ำตาหยดสุดท้ายไหลรินลงมาอาบแก้ม ยอมรับชะตากรรมที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง
ประตูกรงทองได้เปิดออกแล้ว... และเธอคือลูกนกปีกหักที่ต้องบินเข้าไปเผชิญกับเพลิงปรารถนาที่กำลังจะแผดเผาเธอให้มอดไหม้!
"เชิญครับ... คุณผู้หญิง"
ภูผาผายมือไปทางประตูด้วยท่าทีเย้ยหยัน แต่ในเสี้ยววินาทีที่เธอเดินผ่านหน้าเขาไป แววตาที่เคยแข็งกร้าวกลับไหววูบด้วยความรู้สึกบางอย่างที่ซ่อนเร้น... ความรู้สึกโหยหาที่เขาพยายามกดมันไว้ให้ลึกที่สุดภายใต้หน้ากากของความเกลียดชัง
“ยินดีต้อนรับสู่นรกที่แสนหวานนะ... น้ำตาลของพี่”
////****////
