ูเาชุ่ยอวิ๋นตั้งอยู่ห่างจากเมืองเฟิ่งเทียนซึ่งเป็เมืองหลวงออกไปทางใต้ไม่กี่ลี้ รอบด้านถูกปกคลุมไปด้วยเมฆและม่านหมอก น้ำค้างใสซึ่งหลงเหลือจากสายฝนที่เย็นฉ่ำเมื่อคืนวานรวมกันไหลไปตามลำธารบนูเามุ่งไปทางป่าลึก บุปผานับพันเบ่งบานทั่วผืนคีรี ยังพบเห็นร่องรอยของนกไป่หลิงได้ทั่วทุกหนแห่ง...
ทันใดนั้นก็มีเสียงทุ้มต่ำที่ขับขานเป็ท่วงทำนองเอื้อนยาวและลึกซึ้งแว่วมาจากทางป่าลึก ป่าบริเวณใกล้เคียงพลันเกิดความโกลาหลขึ้น เด็กหนุ่มในชุดผ้าสีดำะโลงมาจากยอดไม้สูงหลายสิบฟุต ร่างของเขาไถลออกไปไกลเป็ระยะพอๆ กับที่เพิ่งะโลงมาโดยที่เท้าของเขามิได้แตะพื้นแม้แต่นิด เส้นผมสีดำขลับปลิวไสว ก่อนที่เขาจะตรงไปยังทิศทางของเสียงนั้น
ชายหนุ่มในชุดขาวยืนอยู่ริมขอบหน้าผาในป่าลึกเพียงลำพัง รูปหน้าของเขาเด่นชัดหล่อเหลา ผมยาวสีเงินทอประกายราวกับน้ำตกแห่งดวงดาวที่ร่วงไหลลงมาจากผืนฟ้า ดวงตาทั้งสองข้างปิดสนิท ในมือถือขลุ่ยดินเผาจรดไว้ริมฝีปาก แล้วเป่าออกมาเป็ท่วงทำนองทุ้มต่ำ เสียงนั้นไพเราะอ้อยอิ่งดังกังวานไปในแถบเขาและป่าลึก
เงาร่างสีดำปรากฏขึ้นที่ขอบหน้าผาได้ครู่หนึ่งแล้ว เขาไม่ได้ก้าวเข้าไป เพียงแต่มองหาหินก้อนใหญ่ที่ดูสะอาดในบริเวณใกล้เคียงและนอนไขว่ห้างอยู่บนนั้นเงียบๆ เพื่อฟังท่วงทำนองลึกลับนั่น ทั้งยังเพลิดเพลินกับรูปลักษณ์อันหล่อเหลาของผู้บรรเลงไปพร้อมกัน
เหล่าผีเสื้อกำลังเต้นระบำรายล้อมชายหนุ่มในชุดสีขาว จนกระทั่งเขาดึงขลุ่ยดินเผาออกจากริมฝีปาก บทเพลงนั้นก็เป็อันต้องหยุดลง เหล่าผีเสื้อจึงบินหายไปไกลอย่างไม่เต็มใจนัก
“ทำไมวันนี้เ้าถึงได้มีเวลาว่างมาที่นี่ได้”
ชายหนุ่มในชุดขาวเดินลงมาจากริมผา ดวงตาของเขายังคงปิดอยู่เช่นเดิม เส้นทางบนแผ่นหินใต้ฝ่าเท้าของเขานั้นราบเรียบ ไม่มีสิ่งกีดขวางใดๆ
“เ้าเล่นอีกสักเพลงดีหรือไม่ ข้ายังฟังไม่หนำใจเลย”
ชายหนุ่มในชุดขาวนั่งลงข้างกายเขา ใบหน้าซึ่งมีดวงตาที่ปิดสนิทเงยขึ้นไปทางท้องฟ้าสีคราม
“นักดนตรีในเมืองที่เซียนเล่อจวีเล่นได้ไพเราะกว่าข้าเป็ไหนๆ เหตุใดเ้าถึงไม่ไปฟังที่นั่นล่ะ"
ชายหนุ่มในชุดดำยิ้มเยาะและกล่าวว่า “จะเหมือนกันได้อย่างไร ข้านั้นชอบฟังเ้าเป่าขลุ่ยดินเผา มันรื่นหู" ชายหนุ่มลุกขึ้นนั่งด้วยใบหน้าแย้มยิ้มและเอ่ยต่อ
“นอกจากนั้นเ้าคือหลิ่วไป๋เจ๋อ บุตรชายคนโตของตระกูลหลิ่ว การได้ฟังเ้าเป่าขลุ่ยดินเผาถือเป็สิ่งที่หาฟังได้ยาก”
“เ้าอยากฟัง ข้าก็เป่าให้ฟัง เหตุใดต้องพูดให้มากความนัก”
ชายหนุ่มในชุดดำหัวเราะเสียงดังแล้วเช็ดน้ำตาออกจากหางตาของตนเอง
“เ้ายังไม่ได้บอกข้าเลยว่าทำไมวันนี้เ้าถึงว่างมาที่นี่ได้ เ้าเคยบอกมิใช่หรือว่าครั้งหน้าจะต้องรอให้ผ่านพ้น่ที่แดดแผดเผาไปก่อน ตอนนี้เพิ่งจะเริ่มฤดูใบไม้ผลิเท่านั้นเอง”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ชายหนุ่มในชุดดำก็เอนหลังพิงหินผาอีกครั้ง เขามองดูท้องฟ้ากว้างไกลไม่มีที่สิ้นสุดด้วยท่าทีเศร้าใจเล็กน้อย จากนั้นก็เงียบไปพักหนึ่งโดยไม่ส่งเสียงใดๆ
“ิโยว”
หลิ่วไป๋เจ๋อที่มองไม่เห็น เมื่อได้รับความเงียบเป็การตอบกลับจากชายข้างกายก็คิดว่าอีกฝ่ายหลับไปแล้ว เขารู้สึกโกรธเล็กน้อย เดิมทีตั้งใจอยากจะขยับเข้าไปเพื่อปลุกอีกฝ่าย ดังนั้นร่างกายของเขาจึงโน้มไปข้างหน้า ทำให้ลำตัวครึ่งบนยื่นออกมาจากหน้าผา มือเรียวราวกับหยกเพิ่งจะโผล่พ้นแขนเสื้อออกไปััโดนผ้าสีดำ ฝ่ามืออุ่นของอีกคนก็คว้าข้อมือของเขาแล้วดึงกลับเข้ามาที่เดิมในทันที
“บอกกี่ครั้งกี่หนแล้วว่าอย่าทำอะไรบุ่มบ่ามเช่นนี้ หากตกหน้าผาไปใครจะช่วยเ้าได้ทัน”
ริมฝีปากบางของหลิ่วไป๋เจ๋อเอ่ยตอบเขาโดยไม่ลังเล
“ก็เ้าอย่างไรล่ะที่ช่วย ไม่ใช่ว่าเ้าไม่เคยทำสักหน่อย”
ไม่ใช่เื่ง่ายเลยที่จะเห็นบุตรชายคนโตของตระกูลหลิ่วแสดงท่าทีหยอกล้อเช่นนี้ แต่อูิโยวกลับหัวเราะไม่ออก
หลิ่วไป๋เจ๋อยกมือขึ้นเพื่อยืดแขน ทำให้เสื้อที่มีรอยยับย่นจากเหตุการณ์เมื่อครู่หายไปก่อนที่จะเดินลงจากหน้าผา แม้ว่าดวงตาทั้งสองข้างของเขาจะพิการมองไม่เห็นสิ่งต่างๆ แต่ก็ไม่ได้เป็ปัญหาต่อการทำกิจวัตรประจำวันของเขา ซึ่งนั่นไม่แตกต่างจากคนทั่วไปแม้แต่นิด
อูิโยวทอดถอนใจอยู่ภายใน เขารู้สึกว่าตนเองกังวลในเื่ที่ไม่ควรกังวลด้วยซ้ำ แต่ถึงอย่างนั้นในใจของเขาก็ยังอดเป็ห่วงสหายตรงหน้านี้ไม่ได้ เนื่องจากกลัวว่าอีกฝ่ายอาจจะเผลอไผลไปชนกับอะไรเข้า
...เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ป่าใต้พิภพในปีนั้น ในเวลานี้เมื่อเขาย้อนนึกถึงก็ยังรู้สึกหวาดหวั่นพรั่นพรึงไม่หาย ณ ่เวลานั้นหากเขาไม่บังเอิญติดตามบิดาเพื่อนำสมุนไพรไปส่งให้กับจิ่วฟางกวนโดยต้องเดินทางผ่านป่าใต้พิภพ ซ้ำยังบังเอิญอีกตรงที่เขาไล่ตามกระต่ายเข้าไปในป่าเพราะว่าเกิดความหิวโหย นั่นจึงทำให้เขาได้พบกับบุตรชายคนโตของตระกูลหลิ่วที่นอนอยู่กลางป่าและถูกรายล้อมไปด้วยหมาป่าผีนับสิบตัว ตอนนั้นเขาช่วยเหลืออีกฝ่ายทั้งที่ตนเองอายุเพียงสิบขวบ แต่เขาก็ตัดสินใจช่วยด้วยกำลังทั้งหมดที่มีจนเกือบจะตกเป็อาหารของหมาป่าผีไปพร้อมกับคุณชายผู้นั้น...
หลังจากนั้นไม่นาน หลิ่วไป๋เจ๋อก็เดินกลับมาพร้อมกับถือผลไม้สีเขียวสองผลเอาไว้ในมือ เขายกมือขึ้นแล้วโยนออกไปหนึ่งผล
“ขู่เล่อกั่วหรือ เ้าไปหามาจากที่ใด ในฤดูกาลนี้มีไม่มากนักไม่ใช่หรือ” อูิโยวอ้าปากกัดเข้าไปครึ่งหนึ่งแล้วเคี้ยวตุ้ยๆ ด้วยความเอร็ดอร่อย
หลิ่วไป๋เจ๋อนั่งเงียบอยู่ข้างๆ เมื่ออูิโยวรับประทานจนเสร็จ เขาก็ยัดขู่เล่อกั่วที่เหลืออยู่อีกผลเข้าไปในมืออีกฝ่าย ิโยวไม่เกรงใจ เขาชอบรสชาติของผลไม้ชนิดนี้ มันมีรสหวานอมเปรี้ยวและมีความขมเล็กน้อย
“เ้าแอบขโมยออกมาหรือ”
แน่นอนว่าหลิ่วไป๋เจ๋อรู้จักเขาดีที่สุด อูิโยวพยักหน้า เขาลุกขึ้นขุดหลุมสองหลุมแล้วฝังเมล็ดทั้งสองลงตรงนั้น
“พวกเ้าต้องเจริญเติบโตเป็ต้นไม้ใหญ่ ภายภาคหน้าข้าจะมากินผลของเ้า”
อูิโยวตบเบาๆ บนหลุมดินทั้งสองที่ฝังเมล็ดลงไปด้วยความระมัดระวัง
“ไม่ต้องทำให้ยุ่งยากขนาดนั้นก็ได้”
เขาไม่ได้สนใจคำพูดของหลิ่วไป๋เจ๋อ จากนั้นก็ใช้พลังในการทำให้เมล็ดของผลไม้ทั้งสองนี้งอกงาม แตกกิ่งก้านสาขาและยังทำให้พวกมันกลายเป็ต้นไม้สูงตระหง่าน เบ่งบานแล้วออกผลได้ในเวลาเพียงอึดใจเดียว…
อูิโยวยกมือขวาขึ้น ก่อนจะมีแสงสีเขียวเรืองรองปรากฏที่ฝ่ามือของเขา ในวินาทีต่อมาเถาวัลย์มากมายนับไม่ถ้วนก็พวยพุ่งออกจากบริเวณหว่างนิ้ว ก่อตัวขึ้นเป็กำแพงเถาวัลย์อยู่เบื้องหน้าของเขา สายลมกระโชกแรง พัดเส้นผมสีดำให้สยายขึ้นและปกคลุมใบหน้าที่เศร้าหมอง เมื่อเขากำหมัดแสงสีเขียวนั้นก็สลายไป กำแพงเถาวัลย์พลันทอแสงสีเขียวพร่างพราว จากนั้นก็เกิดแรงะเิพังทลายขึ้นมาระหว่างท้องฟ้าและพื้นดิน
“ท่านพ่อของข้า้าให้ข้ารับ่ดูแลหุบเขาไป่หลิง”
“เ้าไม่้าหรือ”
หลิ่วไป๋เจ๋อแตะขลุ่ยดินเผาที่ห้อยอยู่ตรงเอวของตนและหันไปหาอูิโยว
“เ้ารู้อยู่แล้วยังจะถามอีก หากข้ารับ่ดูแลหุบเขาไป่หลิงแล้ว ข้าจะออกจากที่นั่นตามอำเภอใจเช่นตอนนี้มิได้ ข้ายังไม่ทันได้ออกท่องโลกอันกว้างใหญ่นี้ให้หนำใจเลย อีกอย่างเ้าลืมไปแล้วหรือว่าพวกเราตกลงกันว่าจะเดินทางไปท่องเที่ยวในป่าใต้พิภพ พวกเราสัญญากันเอาไว้แล้วจะผิดสัญญาได้อย่างไร”
“แล้วเ้าคิดจะทำเช่นไร”
อูิโยวทอดถอนใจและเอ่ยต่อว่า “คนที่จะรับ่เพื่อสืบทอดหุบเขาไป่หลิงจะต้องเป็คนในตระกูลอูที่มีพลังแห่งธรรมชาติ แม้ว่าพี่ใหญ่ของข้าิเยี่ย ผู้เป็หลานชายคนโตของตระกูลอูจะมีพลังิญญาที่แห้งเหือด ทว่าพี่สาวของข้าิหลิง นางไม่ได้มีพลังิญญาที่ด้อยไปกว่าข้าเลย พลังของนางเป็พลังแห่งทุกสรรพสิ่งในธรรมชาติ แต่เพียงเพราะนางเป็สตรี เหล่าผู้เฒ่าในตระกูลแต่ละคนก็มีแต่คนหัวแข็ง...”
เมื่อเอ่ยถึงิหลิง ิโยวก็หันกลับมาและมองไปที่หลิ่วไป๋เจ๋อ ความกังวลบนใบหน้าของเขาถูกแทนที่ด้วยความปลาบปลื้มทันที
“เ้ารู้หรือไม่ท่านพี่หญิงมีใจเลื่อมใสในตัวเ้า”
หลิ่วไป๋เจ๋อตกตะลึง จากนั้นจึงส่ายหัว
“แล้วเ้าล่ะ ชอบนางไหม”
หลิ่วไป๋เจ๋อนิ่งเงียบไม่ตอบอยู่พักหนึ่ง เนื่องจากความสัมพันธ์ของเขากับิโยว ทำให้เขาและอูิหลิงได้พบกันอยู่หลายครั้ง แม้ว่าจะมองไม่เห็นใบหน้าของนางเนื่องจากปัญหาทางสายตา แต่ในความทรงจำของเขา อีกฝ่ายคือสตรีที่สง่างามและกล้าหาญ สดใสและเป็มิตร ซึ่งคล้ายคลึงกับิโยว เพียงแต่นางเป็ผู้ใหญ่กว่าิโยวอยู่มาก
เขายกมือขึ้นแตะที่ดวงตาของตนเองทั้งด้วยความตั้งใจและไม่ตั้งใจก่อนจะเอ่ยตอบ
“พี่ิหลิงคู่ควรกับสิ่งที่ดีกว่านี้”
ิโยวหรี่ตาและยิ้มออกมาด้วยใบหน้ากรุ้มกริ่ม “ไม่ต้องเขินอายไป หากเ้าจะกลายมาเป็พี่เขยของข้า ข้าก็ยินดีมาก”
“...แม่นางเหยาเยวี่ยจากิเยวี่ยฟาง วันก่อนนางเข้ามาขวางทางข้าเพื่อสอบถามเื่ของเ้า…”
“หยุด หยุด!” เขาล่ะกลัวจริงๆ ว่าสหายที่แสนดีคนนี้จะแก้แค้นเขาคืนด้วยเื่ที่น่าอับอายของเขา
ิเยวี่ยฟางเป็สถานที่สำหรับเที่ยวหญิงโคมแดงที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวง แต่ที่นั่นก็มีหญิงสาวบางคนที่ขายศิลปะมิได้ขายเรือนร่างด้วยเช่นกัน เหยาเยวี่ยเป็หนึ่งในนั้นและนางยังสามารถเล่นกู่ฉินได้อย่างยอดเยี่ยมด้วย มีคนไม่น้อยที่ตั้งใจเดินทางมายังิเยวี่ยฟางเพื่อฟังการบรรเลงกู่ฉินของนางอย่างไม่ขาดสาย อูิโยวไม่เคยัักับสถานที่เช่นนี้มาก่อน เขาคิดเพียงแค่ว่ามันเป็สถานที่สำหรับนั่งฟังเพลงบรรเลงสบายๆ เพราะจิตใจที่อยากรู้อยากเห็น เมื่อเขายังเยาว์วัยจึงได้แอบเข้าไปในที่แห่งนั้น และเขาก็กลายเป็ที่ต้องตาต้องใจของแม่นางเหยาเยวี่ย เื่ราวหลังจากนั้นไม่ต้องบอกก็คงจะรู้ว่าเป็เช่นไร เมื่อพี่ชายคนโตอย่างอูิเยี่ยรู้เื่นี้เข้า นอกจากจะเฆี่ยนเขาถึงสามสิบทีแล้ว เขายังถูกกักบริเวณให้อยู่แต่ในหุบเขาไป่หลิงจนไม่ได้ก้าวออกไปที่ใดเลยเป็เวลาครึ่งปี หลังจากเหตุการณ์นั้น ทุกครั้งที่เขาเดินทางเข้าไปในเมืองหลวง ิโยวก็มักจะเลี่ยงเส้นทางที่ต้องผ่านสถานที่นี้
และการที่หลิ่วไป๋เจ๋อบอกว่าเหยาเยวี่ยเข้ามาขวางระหว่างทางทำให้อูิโยวไม่คิดจะเชื่อเื่นี้ อีกฝ่ายเอ่ยออกมาเพียง้าใช้มันปิดปากเขาเท่านั้นเอง
“อีกสามสี่ปีเ้าก็จะถึง่อายุที่ต้องสวมจี๋กวาน [1] ในใจของเ้ายังไม่มีใครที่ถูกใจเลยหรือ นอกจากท่านพี่หญิงของข้า ในเมืองหลวงเฟิ่งเทียนก็มีหญิงสาวจำนวนไม่น้อยที่เหมาะกับเ้า ยกตัวอย่างตระกูลอวิ๋น แม่นางอวิ๋นลั่วเองก็มาจากครอบครัวที่มีฐานะดี ผู้คนต่างพูดว่านางเปรียบดั่งบงกชที่โผล่พ้นน้ำ งดงามราวกับบุปผาแลจันทรา ทั้งมีอุปนิสัยอ่อนโยน... นี่!!! ข้ายังพูดไม่จบนะ!”
หลิ่วไป๋เจ๋อสะบัดแขนเสื้อเดินหันหลังออกไปด้วยใบหน้าบูดบึ้ง เขาแตะเท้าเบาๆ ก่อนจะะโขึ้นไปยังต้นชางไหวโบราณอายุพันปีที่อยู่ไม่ไกล แล้วนั่งลงบนกิ่งไม้หนา ใต้ร่มไม้เขียวนั้นมองเห็นได้เพียงชุดสีขาวของเขา
อูิโยวก็ะโตามขึ้นไปบนต้นชางไหวโบราณต้นนั้นเช่นกัน เขาไขว้ขาทั้งสองข้างเข้าหากัน จากนั้นทิ้งตัวนอนลงข้างๆ หลิ่วไป๋เจ๋อ ในปากคาบหญ้ากำมะหยี่เอาไว้
“พี่หลิ่ว เ้าเป็คนที่มีสายตาเหนือชั้น โลกใบนี้มีการกลับชาติมาเกิดใหม่ หากข้ากลับชาติมาเกิดอีกสักครั้ง ข้าจะยอมเสียเปรียบสักหน่อย ละทิ้งความเป็ชายกลายเป็สตรีที่งดงามราวกับบุปผา หากเ้าไม่รังเกียจ เ้าคิดว่ามันจะเป็อย่างไรหากเ้าสู่ขอข้าเป็ภรรยา ฮ่าๆ ..."
“ไร้สาระ!”
“หากไม่ยินดีก็ไม่ต้องทำ ข้าเพียงแค่ล้อเล่นก็เท่านั้น ต้องจริงจังขนาดนั้นเลยหรือ”
“เื่หยอกล้อเป็สิ่งที่ทำได้ แต่การพูดถึงการเวียนว่ายตายเกิดอย่าได้นำมาพูดมั่วๆ เช่นนี้”
เขารู้ดีอยู่แก่ใจว่าคุณชายหลิ่วผู้นี้ไม่สนใจเื่การแต่งงานสักเท่าไรนัก แต่เขาก็ไม่ชอบให้นำเื่เช่นนี้มาพูดเล่น หลังจากคิดถึงเื่นี้อูิโยวจึงเป็ฝ่ายยอมแพ้ไป ไม่อย่างนั้นวันข้างหน้าคนคนนี้จะต้องปฏิบัติต่อเขาด้วยท่าทีเมินเฉยเป็แน่
น้ำค้างในป่าลึกเหือดแห้ง ความชื้นเหือดหายไปพร้อมกับหมอกยามเช้า ดวงอาทิตย์เปล่งแสงอันอบอุ่นโผล่ขึ้นมาจากทางทิศตะวันออก หลิ่วไป๋เจ๋อปลดขลุ่ยดินเผาออกจากเอวของตนและจรดลงที่ริมฝีปาก
“เป่าอีกสักเพลงได้หรือไม่”
“สนองให้ตามคำขอ”
เสียงบทเพลงทุ้มต่ำที่บริสุทธิ์และนุ่มนวลดังก้องไปทั่วขุนเขาอีกครั้ง คนหนึ่งสวมชุดดำ คนหนึ่งสวมชุดขาว คนหนึ่งนอนอีกคนนั่ง แสงแดดสาดส่องลงมาผ่านช่องว่างระหว่างแมกไม้ ช่างเป็การพักผ่อนแสนสงบเงียบที่หาได้ยากจริงๆ
เวลาคล้อยไปจนเลยเที่ยงวัน อูิโยวติดตามหลิ่วไป๋เจ๋อเข้าไปยังเมืองหลวงเฟิ่งเทียน ในเมื่อเขาได้หนีออกมาแล้ว เขาก็ไม่มีความคิดว่าจะเดินทางกลับไปเร็วขนาดนั้น เขาจะใช้เวลาอยู่ในเมืองหลวงสักสองสามวัน แล้วหลบซ่อนตัวให้นานที่สุด
ปลายฝนต้นหนาว ต้นหลิวข้างคูน้ำของเมืองเฟิ่งเทียนเปลี่ยนเป็สีเขียวชอุ่ม กิ่งก้านห้อยระย้าลงไปในคูเมือง ถูกลมพัดจนทำให้เกิดระลอกคลื่นบนผิวน้ำ
ภายในประตูเมือง ปรากฏภาพเด็กวัยสามขวบนั่งขี่คอของชายร่างกำยำ พวกเขากำลังเงยหน้ามองธงสีฟ้าที่โบกสะบัดไปตามแรงลมบนกำแพงเมือง บนธงสีฟ้าถูกปักด้วยไหมสีเงิน มองดูเหมือนสายน้ำที่ล่องลอยอยู่บนท้องฟ้า
ชายร่างใหญ่ยกมือขึ้นลูบศีรษะของเด็กตัวน้อยเบาๆ แล้วถามเขาด้วยน้ำเสียงขึงขัง
“บอกพ่อสิว่านั่นคืออะไร”
“ธง!”
“เห้อ นั่นไม่ใช่ธงธรรมดา หากแต่เป็ธงแห่งโชคชะตาของพวกเาาวเมืองเฟิ่งเทียน ต่อไปหากเ้าเห็นผู้ใดสวมเสื้อผ้าที่มีสีเช่นนี้ จะไม่ให้ความเคารพกับคนผู้นั้นไม่ได้เด็ดขาด”
เด็กน้อยพยักหน้ารัว สีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง แต่ยังคงความน่ารัก
อูิโยวยืนอยู่หน้าประตูเมือง เงยหน้าขึ้นมองธงแห่งโชคชะตาที่ทอดยาวเหนือกำแพงพลันขมวดคิ้ว หากลองคิดดูดีๆ แล้ว ปีหน้าก็ครบ 10 ปีพอดี คนพวกนั้นคงกำลังจะมาอีก เพียงแต่ไม่รู้ว่าครั้งนี้ใครจะเป็ 13 คนที่ถูกเลือกให้ติดตามพวกเขาและทิ้งเมืองหลวงที่พลุกพล่านจอแจแห่งนี้ไป
—------------------------------------
[1] สวมจี๋กวาน หมายถึง การสวมมงกุฎหรือเครื่องประดับศีรษะสำหรับชายที่มีอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ ซึ่งการสวมกวานเช่นนี้จะแสดงออกถึงความเป็ผู้ใหญ่