ทั้งสองเดินตามกันเข้าประตูเมือง ชิงหลิ่วถัง คฤหาสน์ของตระกูลหลิ่วอยู่ทางใต้ของเมือง เมื่อเดินผ่านประตูเมืองมาแล้วจะต้องเดินไปตามตรอกหลิ่วอี้ แต่หากไปยังตรอกนี้จะต้องผ่านหอโคมแดงิเยวี่ยฟาง อูิโยวหวาดกลัวแม่นางเหยาเยวี่ยผู้นั้นมาก เขาจึงลากหลิ่วไป๋เจ๋อให้เดินอ้อมตรอกหลิ่วอี้และตรงไปยังถนนเส้นหลังแทน
หลิ่วไป๋เจ๋อปล่อยให้อีกฝ่ายลากตนเองไป จากนั้นก็เอ่ยขึ้นโดยไม่ได้ใส่ใจเท่าไรนัก
“เดินอ้อมมันไกล”
“เื่ของเ้าสิ ข้าเต็มใจเดิน”
“จะไม่ทันมื้อเที่ยงเอา!”
“เดี๋ยวข้าพาเ้าไปกินที่ร้านเอง!”
“อย่างนั้นเอาเป็ร้านเทียนซย่าสือจวี!”
ฝีเท้าของอูิโยวหยุดชะงัก เขาหันกลับไปด้วยใบหน้าที่ขื่นขม “เปลี่ยนเป็ร้านอื่นได้หรือไม่”
หลิ่วไป๋เจ๋อยืนกรานด้วยสีหน้าบูดบึ้ง “ร้านเทียนซย่าสือจวี!”
อูิโยวกัดฟัน
“เ้ามันไร้ความปรานี!”
หลิ่วไป๋เจ๋อกระตุกมุมปากและเดินผ่านเขาไป ไม่ใช่เื่ง่ายเลยนะที่อูิโยวจะเอ่ยปากเลี้ยงอาหารใคร แน่นอนว่าต้องเลือกร้านที่แพงที่สุดและดีที่สุดในเมืองหลวงสิ เมื่อนึกถึงหมูหันหนังกรอบเนื้อนุ่มในเทียนซย่าสือจวี ฝีเท้าของเขาก็เร่งขึ้นเล็กน้อยอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
อูิโยวล้วงมือเข้าไปในแขนเสื้อเพื่อคำนวณว่าเงินที่ตนเองมีอยู่จะสามารถสั่งอาหารในร้านเทียนซย่าสือจวีได้กี่อย่างกัน แต่ยังไม่ทันที่จะคิดให้ถ้วนถี่เขาก็ได้ยินเสียงก่นด่าสาปแช่งพร้อมทั้งเสียงต่อยตีกันดังมาจากตรอกทึบที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล
ในตอนแรกทั้งคู่ไม่อยากเข้าไปยุ่งเื่ของผู้อื่น แต่แล้วก็มีร่างหนึ่งเดินล้มลุกคลุกคลานออกมาจากตรอก ออกมาขวางทางพวกเขาทั้งคู่พอดิบพอดี ในตรอกนั้นยังมีคุณชายอีกสองคน พวกเขาสวมเสื้อผ้าอาภรณ์ที่แสดงออกถึงฐานะอันมั่งคั่งเดินก้าวออกมา
“คุณชายทั้งสามแห่งตระกูลอวิ๋น!”
คำพูดนั้นออกมาจากปากหลิ่วไป๋เจ๋อ แม้ว่าเขาจะมองไม่เห็น แต่อูิโยวก็รู้ว่าสหายผู้นี้มีวิธีการแยกแยะสิ่งต่างๆ ได้เฉียบคมกว่าคนธรรมดาทั่วไปด้วยซ้ำ
เมื่อได้พบกับทั้งสามคน อูิโยวก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย
เขารู้จักบุตรชายทั้งสามคนของตระกูลอวิ๋น หัวหน้าตระกูลอวิ๋น อวิ๋นหลานเฟิงนั้นเลื่องลือในเื่มีเสน่ห์เย้ายวนใจสตรี เขามีฮูหยินและอนุภรรยารวมกันถึงสี่คนที่อยู่ร่วมกันในตระกูล นอกจากนี้ยังมีหญิงสาวที่ไม่มีตัวตนข้างนอกเ่าั้อีก ในเมื่อมีภรรยาหลายคน การที่เขาจะมีบุตรชายมากมายจึงเป็เื่ที่เลี่ยงไม่ได้ นอกจากแม่นางอวิ๋นลั่วที่ได้กล่าวถึงไปก่อนหน้านี้แล้ว ตระกูลอวิ๋นยังมีนายน้อยทั้งสามคนซึ่งยืนอยู่เบื้องหน้าของพวกเขาในตอนนี้อีกด้วย
อวิ๋นหลานเฟิงนั้นเกิดมาพร้อมกับรูปร่างหน้าตาที่หล่อเหลา บุตรชายและบุตรสาวของเขาเองก็ไม่แตกต่างกัน บุตรชายคนโต อวิ๋นฉี่เกิดจากฮูหยินใหญ่ รูปร่างหน้าตาของเขาเหมือนกับมารดาผสมรวมกับอวิ๋นหลานเฟิงผู้เป็บิดาอย่างละครึ่ง บุตรชายคนที่สองอย่างอวิ๋นจวาและบุตรสาวนามอวิ๋นลั่วเกิดจากนางจางผู้เป็ฮูหยินรอง รูปลักษณ์ของอวิ๋นลั่วมีความคล้ายคลึงไปทางมารดาซึ่งนับได้ว่าหน้าตาของนางไม่ใช่ธรรมดาเลย ดังนั้นนางจึงถูกเรียกขานว่าเป็หญิงงามอันดับหนึ่งในเมืองเฟิ่งเทียน ส่วนอวิ๋นจวาก็มีหน้าตาที่โดดเด่นและยังดูคล้ายกับอวิ๋นหลานเฟิงมากที่สุดในบรรดาบุตรชายบุตรสาวทั้งหมด นอกจากนี้เขายังเป็บุตรที่อวิ๋นหลานเฟิงรักมากที่สุดด้วย ส่วนคนที่ถูกทุบตีและนอนอยู่บนพื้นตอนนี้ก็คืออวิ๋นเฟย บุตรชายคนที่สามของตระกูลอวิ๋นซึ่งเกิดจากอนุภรรยา เห็นได้ชัดว่าเขากำลังถูกรังแก ดูท่าทางเขาคงจะไม่ได้อยู่ในสถานะที่ดีสักเท่าไรนักในตระกูลอวิ๋น
ในตรอกเปลี่ยวเล็กๆ ที่ห่างไกล จู่ๆ ทั้งคู่ก็ปรากฏตัวขึ้น อีกทั้งหนึ่งในนั้นยังเป็คนที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดีอีก นี่เป็สิ่งที่อวิ๋นฉี่และอวิ๋นจวาไม่ได้คาดการณ์ไว้ แต่หลังจากเห็นว่าคนที่ปรากฏตัวขึ้นคือหลิ่วไป๋เจ๋อ เขาก็ขจัดความกังวลใจออกไปและเอ่ยพูดอย่างตรงไปตรงมา
“พวกเรากำลังจัดการกับเื่ในครอบครัว หวังว่าคุณชายหลิ่วจะไม่เข้ามาขวาง”
หลิ่วไป๋เจ๋อยืนหลับตานิ่งไม่ขยับเขยื้อน คุณชายทั้งสองคนนั้นต่างก็เป็คนหยิ่งผยอง โดยเฉพาะบุตรชายคนรองอย่างอวิ๋นจวา ผู้ซึ่งเป็ที่โปรดปรานของอวิ๋นหลานเฟิงผู้นำแห่งตระกูลอวิ๋น เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่สนใจคำพูดของตน เขาก็หมดความอดทน
“ชายตาบอดอย่างเ้าตั้งใจจะเข้ามายุ่มย่ามเื่นี้จริงๆ หรือ”
อูิโยวซึ่งยืนอยู่ด้านหลัง ในทีแรกเขาไม่ได้ตั้งใจที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเื่นี้อยู่แล้ว แต่เมื่อได้ยินคำพูดนั้นเขาพลันโกรธขึ้นมาทันที แสงสีเขียวปรากฏวาบขึ้นมาในฝ่ามือของเขา ก่อนจะได้ยินเสียงดังเพียะจากอีกฝั่ง หลังจากนั้นอวิ๋นจวาก็เปล่งเสียงร้องออกมาด้วยความเ็ป
“ผู้ใดมันกล้าตบบ้องหูข้า ออกมาเดี๋ยวนี้!”
ผู้ชายคนนี้ช่างโง่เขลายิ่งนัก โง่เง่าได้ถึงที่สุดจริงๆ อูิโยวแอบด่าทออยู่ในใจก่อนจะก้าวเดินออกมา เมื่อครู่เขายืนก้มหน้าอยู่ในมุมมืดเงียบๆ คุณชายทั้งสามคนของตระกูลอวิ๋นต่างก็ไม่มีใครให้ความสนใจเขา ทั้งสามคนต่างคิดว่าเขาเป็เพียงหนึ่งในผู้ติดตามของหลิ่วไป๋เจ๋อเท่านั้น
แม้ว่าตระกูลอูจะอาศัยอยู่ในหุบเขาไป่หลิงที่ห่างไกล แต่ก็เป็ตระกูลใหญ่ในพื้นที่แดนเจ๋อ นอกจากนี้ชื่อเสียงด้านการแพทย์ของตระกูลอูเองก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าใครในดินแดนเจ๋อนี้เลย สำหรับหุบเขาไป่หลิงที่เปรียบเสมือนคลังยาในแคว้นเฟิ่งเทียนนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง ปกติแล้วทั้งสองแห่งมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันเช่นนี้ แล้วจะไปมีเื่ขุ่นเคืองใจกันได้อย่างไร
ั้แ่อูิโยวช่วยหลิ่วไป๋เจ๋อเอาไว้เมื่อหกปีก่อน พวกเขาก็มีความสัมพันธ์อันดีต่อกันมาตลอด หลังจากนั้นเป็ต้นมาเขาก็มักจะเดินทางมาเยี่ยมเยือนยังเมืองหลวงเฟิ่งเทียนแห่งนี้ ทำให้บุตรชายบุตรสาวของเหล่าขุนนางสูงศักดิ์คุ้นหน้าคุ้นตาเขาเป็อย่างดี
เมื่ออวิ๋นฉี่เห็นว่าคนผู้นั้นคืออูิโยว เขาก็แอบดึงที่หลังเสื้อของอวิ๋นจวาเพื่อเป็สัญญาณให้เขาสงบปากสงบคำโดยเร็ว แต่บุตรชายคนรองของตระกูลอวิ๋นผู้ซึ่งถูกเอาอกเอาใจมาตลอดนั้น ไม่ได้มีความสามารถในการสังเกตคำพูดและการแสดงออกทางสีหน้าเฉกเช่นพี่ชายของเขา ดังนั้นเขาจึงดึงกระบี่ออกจากเอวด้วยความงุนงงกับสัญญาณที่ได้รับ พร้อมทั้งคิดว่าจะก้าวไปเบื้องหน้าเพื่อประลองกับอูิโยว
ขณะที่อูิโยวกำลังจะเอ่ยอะไรสักอย่างด้วยอารมณ์ที่บูดบึ้ง การเคลื่อนไหวของอวิ๋นจวาก็ดึงความสนใจของเขาไปก่อน เขาจึงม้วนแขนเสื้อขึ้นและทำท่าจะก้าวไปเบื้องหน้าเช่นเดียวกัน แต่กลับถูกเงาร่างสีขาวขวางไว้ในชั่วพริบตา
สีหน้าของหลิ่วไป๋เจ๋อยังคงสงบนิ่งไม่ปรากฏอารมณ์ใด เขายืนอยู่ระหว่างอูิโยวและอวิ๋นจวา จากนั้นกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
“เ้าจำกฎข้อที่สามของคฤหาสน์อวิ๋นหลานซานได้หรือไม่ ต้องให้ข้าซึ่งเป็คนนอกอธิบายให้พวกเ้าฟังอย่างนั้นหรือ”
เพียงแค่ฟังประโยคสั้นๆ นั้นก็ทำให้หัวใจของอวิ๋นฉี่และอวิ๋นจวาสั่นรัว
อวิ๋นฉี่รีบก้าวไปเบื้องหน้าเพื่อดึงอวิ๋นจวาไปไว้ข้างหลังตนและเอ่ยพูดด้วยรอยยิ้มว่า
“พี่หลิ่วเข้าใจผิดแล้ว เมื่อครู่พวกเราสามพี่น้องกำลังศึกษาแลกเปลี่ยนศิลปะการต่อสู้กันอยู่ แต่น้องรองผิดจังหวะไปนิด จึงพลั้งมือทำร้ายน้องสามโดยมิได้ตั้งใจ”
"ฮึ ประลองกับคนที่ไร้ซึ่งพลังจิติญญาและศิลปะในการต่อสู้ คฤหาสน์อวิ๋นหลานซานของพวกเ้าช่างดูมีอนาคตอันสดใสจริงๆ”
ผู้คนทั่วไปต่างรู้กันว่าในบุตรชายสามคนและบุตรสาวอีกคนหนึ่งของตระกูลอวิ๋นนั้น บุตรชายคนโตและบุตรชายคนรองเก่งศิลปะการต่อสู้ บุตรสาวคนเล็กมีความสามารถด้านจิติญญา แต่คุณชายสามนั้นกลับมีอาการป่วยและร่างกายอ่อนแอ นอกจากจะไม่สามารถฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ได้แล้ว เขาก็ไม่มีพลังิญญาแม้แต่นิดเดียวในร่างกาย เมื่อมองดูจากรูปร่างผอมบางอ่อนแอของเขา เขาคงจะเป็คุณชายที่มักถูกรังแกในคฤหาสน์เป็แน่
อวิ๋นฉี่แอบขบฟัน แต่เขาก็จำต้องแสดงใบหน้าที่แต้มไปด้วยรอยยิ้มให้กับอูิโยว
“คุณชายรองอูก็ล้อเล่นกันเกินไป”
“ข้าอูิโยว เมื่อพูดก็พูดออกมาตรงๆ เมื่ออยากหัวเราะก็หัวเราะออกมา ข้าไม่เคยล้อเล่น”
สีหน้าของอวิ๋นฉี่พลันบูดบึ้ง อวิ๋นจวาที่อยู่ด้านหลังก็โกรธยิ่งกว่าเดิม แต่ท้ายที่สุดแล้วอวิ๋นฉี่ก็ดึงอวิ๋นจวาถอยหลังไปก้าวหนึ่งและเอ่ยขึ้น
“เวลาก็ล่วงไปมากแล้ว พวกข้าทั้งสองขอตัวก่อนแล้วกัน”
“ข้าไม่ไปส่งนะ!”
อวิ๋นฉี่รีบลากอวิ๋นจวาออกจากตรอกเล็กโดยไม่แม้แต่จะหันไปมองอวิ๋นเฟยที่ยังคงหมอบอยู่บนพื้น
อวิ๋นเฟยลุกขึ้น เขายกมือขึ้นปาดเืที่มุมปาก แล้วโค้งคำนับคนทั้งสองที่อยู่เบื้องหน้า “ขอบคุณคุณชายทั้งสองสำหรับความช่วยเหลือ”
อูิโยวยกมือขึ้นเป็เชิงห้ามและพูดขึ้น
“ไม่ต้อง พวกเราแค่ผ่านมา ไม่ได้ตั้งใจจะยื่นมือเข้าไปยุ่งเื่ครอบครัวของเ้า!”
หลิ่วไป๋เจ๋อไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไรและเดินออกจากตรอก อูิโยวไล่ตามหลังเขาไป แต่ในที่สุดเขาก็ทนไม่ไหวจึงหันกลับไปพูดทิ้งไว้ประโยคหนึ่ง
“คนเดียวที่จะช่วยเ้าได้จริงๆ ก็คือตัวเ้าเอง”
หลังจากเดินตามหลิ่วไป๋เจ๋อไป อูิโยวก็ได้ยินเขาเอ่ยปากขึ้น
“มากเื่!”
อูิโยวยิ้มแห้ง ในใจก็คิดว่าหากไม่ใช่เพราะอวิ๋นจวาพูดจาไม่ดีเกี่ยวกับหลิ่วไป๋เจ๋อ ก็คงไม่ทำให้เขาโกรธจนเข้าไปยุ่งกับเื่นี้หรอก ตอนนี้กลับกลายเป็เขาเป็คนมากเื่ที่สร้างปัญหาเสียนี่
อูิโยวเร่งฝีเท้าก้าวไปด้านหน้าสองสามก้าวเพื่อให้อีกคนหยุดเดิน
“กฎข้อที่สามของคฤหาสน์อวิ๋นหลานซานคืออะไร เ้าไม่ใช่คนของคฤหาสน์นั้นสักหน่อย เ้าไปรู้มาได้อย่างไร”
หลิ่วไป๋เจ๋อก้าวไปหนึ่งก้าว อูิโยวก็ถอยหลังหนึ่งก้าว ก่อนที่เสียงราวกับนกกระจอกของหลิ่วไป๋เจ๋อจะดังขึ้นรัว
“หิวแล้ว”
หลังจากได้ยินคำสองคำนี้ สีหน้าของอูิโยวก็เปลี่ยนไปทันที ก่อนจะเอ่ยถามทั้งน้ำตา
“พวกเราคุยกันก่อนได้ไหม ไม่ไปที่ร้านเทียนซย่าสือจวีได้หรือไม่ มีร้านข้างทางทางใต้ของเมืองเป็ร้านบะหมี่เกี๊ยวที่อร่อยมาก ทุกครั้งที่ข้าไปท่านยายที่ร้านนั้นจะให้ข้าเพิ่มอีกสองสามชามเลย”
“ร้านเทียนซย่าสือจวี!”
ตกลง! จิตใจเ้านี่มั่นคงไม่หวั่นไหวต่อสิ่งใดเลยสินะ!
...ในหุบเขาไป่หลิง อูิหลิงกำลังใช้พลังิญญาเพื่อให้ความอบอุ่นและหล่อเลี้ยงหมู่มวลบุปผา เสียงปักษาขับขานอยู่ด้านหลัง นกสีเงินขนาดเท่าฝ่ามือบินลงมาจากท้องฟ้า ร่อนลงมาเกาะบนไหล่ของนางอย่างมั่นคง
“อิ๋นซิง พบิโยวหรือไม่”
อิ๋นซิงร้องจิ๊บๆ ข้างหูของนาง ิหลิงที่ได้ฟังเช่นนั้นจึงยกมือขึ้นแตะขนสามเส้นที่เปรียบดังมงกุฎบนหัวของมัน
“นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ตามหาเขาสักหน่อย เ้าจะบ่นเขาให้มากความไปทำไม แล้วตกลงเ้าหาเขาพบหรือไม่”
อิ๋นซิงสะบัดก้นไปอีกด้านและใช้ขนหางยาวชี้ไปยังิหลิง เห็นได้ชัดว่ามันกำลังโกรธ
อูิหลิงไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี นางเอื้อมมือไปลูบตัวมันซึ่งยืนอยู่บนไหล่ของตน ก่อนจะหยิบเมล็ดพืชที่เปล่งประกายสีเงินออกมาจากแขนเสื้อ และยื่นไปที่จะงอยปากของมัน
“นี่ นี่คือเมล็ดดวงดาวเมล็ดสุดท้ายแล้ว ดวงดาวเมล็ดอื่นๆ ล้วนถูกนำไปปลูกจนหมด ถ้าเ้าอยากจะกินอีกครั้ง เ้าต้องรอจนกว่าจะถึง่อาบแสงอาทิตย์เลยนะ...”
อิ๋นซิงรีบกลืนเมล็ดดวงดาวลงท้องอย่างรวดเร็ว ก่อนที่ขนสีเงินทั่วทั้งร่างของมันจะเปล่งประกายขึ้นมากกว่าเดิมในพริบตา มันถูจะงอยปากของตนกับแก้มของิหลิงและร้องจิ๊บๆ อีกสองสามครั้ง
ิหลิงเข้าใจในทันที “ที่แท้ก็ไปยังคฤหาสน์ชิงหลิ่วถังอีกแล้วนี่เอง ข้าน่าจะเดาออกแต่แรก ที่เ้าโกรธเมื่อครู่เป็เพราะิโยวทิ้งเ้าไปอย่างนั้นหรือ”
อิ๋นซิงสยายปีกและสะบัดรัวไปมาในอากาศราวกับแสดงความไม่พอใจ
ทันทีที่ิหลิงนึกถึงบุตรชายคนโตของตระกูลหลิ่วแห่งเมืองเฟิ่งเทียน ใบหน้าของนางก็แดงก่ำขึ้นมา
แม้ว่าปกติแล้วหลิ่วไป๋เจ๋อจะไม่ค่อยได้ออกไปข้างนอกบ่อยนัก แต่เขาก็เป็ที่รู้จักในเมืองหลวงเฟิ่งเทียน ตัดเื่ตาบอดไป ในแง่ของรูปลักษณ์ เขายังจัดอยู่ในอันดับต้นๆ ของดินแดนเจ๋อแห่งนี้อีกด้วย...
เสี่ยวเอ้อของเทียนซย่าสือจวีช่างตาถึง เมื่อเห็นว่าบุตรชายคนโตของตระกูลหลิ่วเดินเข้ามา เขาจึงพาทั้งคู่ไปยังห้องส่วนตัวบนชั้นสอง ทันทีที่นั่งลงหลิ่วไป๋เจ๋อก็ชี้ไปยังรายชื่ออาหารทั้งผนังและเอ่ยกับเสี่ยวเอ้อสองคำ
“ทั้งหมด!”
อูิโยวสูดหายใจเข้าลึกๆ และรีบห้ามไว้ “เ้ากินแบบนั้นข้าก็จบเห่กันพอดีสิ!”
“ทั้งหมด!”
“เ้าเห็นหรือว่าบนนั้นเขียนว่าอะไรบ้าง จะกินทั้งหมดเลยหรือ”
“ทั้งหมด!!!”
อูิโยวนั่งนิ่งบนเก้าอี้ไม้เหมือนคนเป็อัมพาต แล้วเงยหน้ามองท้องฟ้า เขาพูดอะไรไม่ออก ใบหน้าชา ผลสุดท้ายยิ่งพยายามต่อรองรายการอาหารกลับยิ่งมากขึ้น
ไม่นานหลังจากนั้น รายการอาหารมากมายนับสิบกว่ารายการบนผนังก็ถูกยกมาวาง อูิโยวจ้องมองไปยังเสี่ยวเอ้อที่กำลังยกอาหารมา ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง จนทำให้เสี่ยวเอ้อที่ถูกจ้องเหงื่อตก
เมื่อมองไปยังอาหารเลิศรสบนโต๊ะข้างหน้า อูิโยวก็ไม่กล้าขยับตะเกียบหยกในมือราวกับกลัวว่าตนเองจะต้องสิ้นเนื้อประดาตัวออกไปจากร้านนี้เป็แน่
“กินเถอะ! ข้าเลี้ยงเอง”
อูิโยวชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรอีก เขาหยิบตะเกียบขึ้นมาและเริ่มลงมือรับประทานอาหาร หลิ่วไป๋เจ๋อรินชาให้เขาจอกหนึ่ง ค่อยเริ่มลงมือรับประทานอาหารอย่างเป็ระเบียบ หลังจากรับประทานอาหารไปเพียงแค่สองคำ เขาก็วางตะเกียบหยกลงก่อนจะรินชาให้ตนเองช้าๆ แล้วยกขึ้นดื่ม
“หากในภายภาคหน้าเ้ายังเป็คนหุนหันพลันแล่นเช่นนี้ อยู่หุบเขาไป่หลิงน่าจะเป็ทางเลือกที่ดีที่สุด”
อูิโยวรีบกลืนอาหารในปากลงไปและเอ่ยอย่างฉุนเฉียว
“ข้าโกรธก็เพราะเป็เื่เ้า แต่เ้ากลับตำหนิข้าอย่างนั้นหรือ” อูิโยววางตะเกียบลงอย่างแรง ริมฝีปากเม้มแน่น เห็นได้ชัดว่าเขากำลังโกรธเคืองเป็อย่างมาก
หลิ่วไป๋เจ๋อถอนหายใจ เมื่อรู้ว่าเ้าเด็กคนนี้อารมณ์บูดเสียแล้วจึงปลอบโยน
“ข้าไม่ได้กลัวว่าเ้าจะไปยั่วยุพวกเขา ต่อให้เ้าไม่ได้อยู่ในสถานะคุณชายรองของหุบเขาไป่หลิง ข้าก็สามารถปกป้องเ้าได้ ข้าแค่คิดว่าพวกเขาอาจทำให้มือของเ้าแปดเปื้อน จึงไม่มีความจำเป็ต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น อูิโยวก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย และเอ่ยด้วยความไม่พอใจ
“ใครขอให้เ้ามาปกป้องล่ะ ข้าเป็ถึงคุณชายรองแห่งหุบเขาไป่หลิง ซึ่งจะขึ้นเป็ผู้นำหุบเขาไป่หลิงในอนาคต สถานะของข้าสูงส่งกว่าเ้ามาก”
หลิ่วไป๋เจ๋อหัวเราะเบาๆ ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดต่อ ในใจก็คิดว่าก่อนหน้านี้เ้ายังกังวลเกี่ยวกับการสืบทอดหุบเขาไป่หลิงอยู่เลยมิใช่หรือ แต่ตอนนี้กลับนำเื่การสืบทอดมาแอบอ้างถึงศักดิ์ศรีของตนเอง หลิ่วไป๋เจ๋อเอื้อมมือไปยังถ้วยชาที่เย็นแล้วของฝั่งตรงข้ามและรินมันให้เขาอีกครั้ง
—---------------------------------------------