ซูหรงหรงคิดสมองของเธอมันคงตายไปแล้วเธอถึงยอมไปจดทะเบียนสมรสกับจ้านอี้หยางวัตถุประสงค์ของเธอเพียงแค่อยากพาเขาไปอวดกู้แหยนเจ๋อแต่ผลลัพธ์ที่ออกมา...คนที่โดนจัดการกลับกลายเป็ตัวเธอเอง
เพียงเพราะ้าเอาคืนกู้แหยนเจ๋อ แต่มันก็ไม่ควรจะเกิดเื่ราวเร็วมากขนาดนี้
มันคือการขุดหลุมฝังตัวเอง ตัวเธอตอนนี้อธิบายได้แค่นี้จริงๆ
จ้านอี้หยางมองใบหน้าที่กำลังครุ่นคิดของซูหรงหรงเขาเอื้อมมือออกไปเพื่อพยายามจะเช็ดน้ำตาบนใบหน้าของเธออย่างไม่รู้ตัวทว่ายัยกระต่ายน้อยที่ยังเต็มไปด้วยอารมณ์กลับหันหน้าหนีเขาไปอีกทางเธอไม่ยอมรับััจากเขา ปลายนิ้วของเขาจึงััเพียงอากาศเท่านั้น
“เลิกวุ่นวายได้แล้ว”
จ้านอี้หยางพูดพร้อมใช้มือทั้งสองข้างหมุนตัวซูหรงหรงกลับมานิ้วหัวแม่มือหยาบเช็ดน้ำตาบนใบหน้าให้เธอ
“ต้นไม้ใหญ่เก่าแก่รกชัดขนาดนี้ เธอเดินไม่ถึงครึ่งทางก็หลงแล้วฉันยังไม่อยากเป็ม่ายตอนนี้”
ซูหรงหรงเชิดคางขึ้น เธอมองไปที่หลังคารถด้วยความโกรธ
“เมื่อกี้นายเองก็เกือบจะฆ่าฉันด้วยมือของตัวเองอยู่แล้วฉันคิดว่านายอยากจะฆ่าภรรยาที่แต่งงานกับนายได้แค่ 2 วันให้ตายเสียอีก”
ซูหรงหรงพ่นคำพูดออกมาด้วยอารมณ์โกรธอีกครั้งน้ำเสียงของเธอบ่งบอกถึงความเสียใจ แต่ไม่ได้กรีดร้องแต่อย่างใดท่าทางของจ้านอี้หยางจึงเริ่มอ่อนลง
“เธอเองก็รู้ว่าพวกเราเพิ่งจะแต่งงานได้เพียง 2 วัน เพิ่งจะแต่งได้ 2 วันเธอก็ขนข้าวขนของกลับบ้านพ่อแม่ของเธอจะคิดอย่างไร?”
ซูหรงหรงเบะปาก
“ฉันเองก็ไม่คิดจะบอกพ่อกับแม่เื่ที่พวกเราทะเลาะกันยิ่งไม่เคยคิดจะบอกพ่อกับแม่ว่านายผลักฉันล้มลงบนเตียง”
ซูหรงหรงพูดถึงแค้นครั้งเก่า น้ำเสียงของเธอช่างดุดันแข็งกร้าว
จ้านอี้หยางงงงัน ไม่คิดเลยว่าซูหรงหรงเองก็คิดถึงจุดนี้เขาขมวดคิ้ว เขารอฟังคำตอบของเธอ
“ถ้าอย่างนั้นเธอจะบอกพ่อกับแม่ว่ายังไง”
“บอกว่านายกลับกองทัพ ฉันไม่ชินกับการใช้ชีวิตคนเดียว ก็เลยอยากกลับไปอยู่บ้าน 2-3 วัน”
นั่นเป็วิธีการพูดที่เยี่ยมมาก จ้านอี้หยางฟังอย่างตั้งใจ
“อืม แล้วจากนั้นล่ะ”
“จากนั้นพอนายกลับจากกองทัพ นายก็จะมารับฉันกลับบ้าน”
จ้านอี้หยางเอ่ยถามเสียงต่ำ
“ถ้าอย่างนั้นทำไมตอนอยู่บ้านเธอไม่พูดแบบนี้”
“นายผลักฉันลงบนเตียง ยังไม่ทันขอโทษก็ออกจากบ้านไปแล้ว”
ซูหรงหรงกระแทกกระทั้นเสียงทบทวนความทรงจำให้เขา ทั้งน้ำเสียงทั้งหน้าตาบ่งบอกถึงความไม่พอใจแต่น่าเสียดายที่หน้าตาของเธอยังไม่ดุดันมากพอท่าทางของเธอตอนนี้เหมือนกระต่ายน้อยที่โศกเศร้าและหดหู่
ถ้าอย่างนั้นนี่ก็เป็เหมือนการเปิดโอกาสให้จ้านอี้หยางแกล้งเธออีกครั้งหนึ่ง
สายตาของจ้านอี้หยางจับจ้องบนใบหน้าของเธอ ครู่เดียวรอยยิ้มก็ปรากฏบนริมฝีปากของเขา
ซูหรงหรงที่ยังคงมีอารมณ์โกรธอยู่ทุบตัวเขาหนึ่งที
“นายยังยิ้มอีก!”
จ้านอี้หยางรับมือเพื่อหยุดการกระทำของเธอไว้เขาออกแรงนิดเดียว ตัวของซูหรงหรงที่ไม่หนักมากก็หลุดเข้ามาอยู่ในวงแขนของเขาถ้าจะพูดให้ถูกคือตอนนี้เธอกำลังนั่งลงบนตักของเขา
ซูหรงหรงที่ถูกจู่โจมกรีดร้องอยู่ในใจแต่ด้วยจิตใต้สำนึกเธอรีบคว้าคอจ้านอี้หยางไว้เพราะกลัวตก หน้าของเธอตอนนี้แดงก่ำเธอที่อยากจะหนีออกจากอ้อมแขนก็ยิ่งถูกจ้านอี้หยางกระชับตัวให้แน่นขึ้นมือของเขาโอบเอวของเธอไว้ ร่างกายของทั้งคู่ใกล้กันมากเหลือเกิน
“จ้านอี้หยาง!”
ซูหรงหรงร้องออกมาด้วยอารมณ์โกรธ
“ฉันคิดว่าฉันแต่งงานกับคนซื่อบื้อคนหนึ่งแล้วล่ะ”
จ้านอี้หยางขัดคำพูดของซูหรงหรง เขาจูบปิดริมฝีปากของเธออย่างอ่อนหวานแ่เบาก่อนจะเอ่ยต่อ
“ไม่คิดเลยว่าจะซื่อบื้อกว่าที่ฉันคิดไว้มาก”
ซูหรงหรงขบปากของเขาหนึ่งที แต่เขาก็ยังคงไม่ยอมปล่อยตัวเธอไป
“นายคิดว่าฉันกลับบ้านไปแล้วจะเอาเื่ของเราไปพูดกับพ่อแม่หรือยังไงนายถึงไม่ยอมให้ฉันกลับบ้าน?”
“พอมองหน้าเธอแล้ว ฉันก็คิดว่าเธอจะทำอย่างนั้น”
“ฉันไม่ได้โง่ขนาดนั้น ตอนนี้นายซื้อใจแม่ฉันไปแล้วลองถ้าเขารู้ว่าฉันทำให้นายโกรธ แม่ต้องฆ่าฉันแน่ๆ”
ซูหรงหรงรู้สึกหดหู่
“ไม่ใช่ว่านายเป็ลูกชายของแม่ฉันอีกคนหรือไงฉันก็แค่ถูกเขาเก็บมาเลี้ยง”
ที่แท้เหตุผลที่ยัยกระต่ายน้อยไม่พูดเื่ของเขาสองคนก็เพราะกลัวโดนฆ่านี่เองจ้านอี้หยางเอ่ยต่อเสียงแ่เบา
“ช่างเถอะ ยัยบื้อ”
“นายสิซื่อบื้อ”
แววตาของซูหรงหรงยังคงมีความโมโหอยู่น้อยนิดเธอจ้องเขาด้วยความขุ่นเคือง
“นายจะต้องขอโทษฉัน”
“ฉันไม่เคยขอโทษใครมาก่อน”
เขาพูดผ่านๆ แต่กลับดูหยิ่งยโส
ซูหรงหรงเบะปาก
“แต่ครั้งนี้นายผิดนะ”
“อืม ฉันผิดเอง”
“ถ้าอย่างนั้นก็ขอโทษมาซะ”
ซูหรงหรงเชิดคางขึ้น เธอมองไปที่เขาด้วยสายตาหนักแน่น
“ฉันชอบชดเชยด้วยการกระทำมากกว่า”
เมื่อได้มองหน้าของเธอที่จ้องมาทางเขา จ้านอี้หยางขมวดคิ้ว
“อะไร? ไม่เข้าใจคำว่าชดเชย อย่างนั้นเหรอ?”
เขาถอนหายใจอย่างเงียบๆ ภายในใจ เขารู้ว่ายัยกระต่ายน้อยไม่เข้าใจ
ซูหรงหรงกระซิบเบาๆ
“ฉันไม่ได้้าการชดเชย ฉันแค่อยากให้นายสัญญากับฉันต่อไปไม่ว่าจะเกิดเื่อะไรขึ้น ห้ามออกคำสั่งและทิ้งฉัน”
“อืม”
ซูหรงหรงดีดนิ้วขึ้นมาหนึ่งนิ้ว
“ฉันไม่อยากออกไปวิ่งทุกวันตอนเช้า 2,000 เมตร”
“ตามใจเธอ”
จ้านอี้หยางตอบรับอย่างใจกว้าง
คราวนี้ซูหรงหรงหัวเราะออกมาจนใบหน้าเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มจ้านอี้หยางจึงเอ่ยถาม
“พอใจแล้วเหรอ?”
ซูหรงหรงทำท่าครุ่นคิด ก่อนจะตอบคำถามเขา
“ก็โอเคแล้วนะ”
“รายงาน ท่านผบ. จ้าน อีก 15 นาทีผมจะไปถึงที่จุดนัดพบ โปรดออกคำสั่งด้วยครับ”
ในขณะที่จ้านอี้หยางเงียบเสียงลูกน้องของเขาก็ดังขึ้นที่เครื่องรับส่งวิทยุสื่อสาร
เมื่อซูหรงหรงได้ฟัง เธอเพิ่งจะนึกได้ว่ากำลังนั่งอยู่บนตักของจ้านอี้หยางแถมตัวก็ยังแนบชิดกันเสียด้วย ครู่ต่อมาเธอก็ะโกลับมาที่นั่งข้างคนขับเอามือปิดหน้า เธอคิดว่าคนขับรถมาถึงแล้ว
“เธอใอะไร?”
จ้านอี้หยางถามอย่างสงสัย ทว่าเขากลับฉีกยิ้มที่มุมปากหากใครได้มองตามก็คงจะรู้สึกผ่อนคลายเป็พิเศษ
ซูหรงหรงรู้ว่าเขาจงใจถามเธอ เธอถอนหายใจแล้วจ้องหน้าเขาแต่ไม่พูดอะไรออกมา
เธอเองไม่คิดเลยว่าจ้านอี้หยางเองก็จะแสดงออกทางอารมณ์เหมือนเธอเขาจ้องหน้าเธอ
พฤติกรรมเหมือนเด็กแบบนี้จ้านอี้หยางทำไม่เป็แน่ๆเขาทำเพียงหัวเราะก่อนจะพ่นออกมาสองคำ
“คนบ้า”
ซูหรงหรงโมโห เธอไม่มีทางยอมรับคำด่านั้น
“นายเองก็เป็สามีของคนบ้า เรียกสั้นๆ ว่า สามีคนบ้า”
จ้านอี้หยางหรี่ตามองเธอ
“ซูหรงหรง เธอด่าฉัน”
ซูหรงหรงทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ กะพริบตาปริบๆก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยความแค้นใจเล็กๆ
“นายอย่ามากล่าวหาคนอื่นเลย ฉันแค่พูดความจริงกับนายเท่านั้น”
“เมื่อวานตอนที่เธอบอกว่าทำกับข้าวไม่เป็ก็ทำหน้าแบบนี้สุดท้ายเธอก็หลอกฉัน”
จนถึงตอนนี้จ้านอี้หยางยังแทบจะไม่เชื่อตัวเองเมื่อก่อนตอนที่มีภารกิจ ไม่ว่าจะเป็กลอุบายแบบไหนเขาก็สามารถดูออกได้ภายในปราดเดียวทว่าเมื่อคืนวานเขากลับ...ถูกยัยกระต่ายน้อยหลอกเข้าอย่างเต็มเปา
“ถ้าอย่างนั้นวันนี้นายก็ได้เรียนรู้บทเรียนใหม่ๆ ไปแล้วบางทีตอนนี้ฉันก็อาจจะกำลังหลอกนายอยู่ก็ได้นะ”
เธอส่งสายตาไปหาเขาอย่างซุกซน ก่อนจะยิ้มอย่างพอใจในตนเอง
“ซูหรงหรง ทำไมเมื่อก่อนฉันถึงมองเธอไม่ออกกันนะ? หืม?”
“นี่ไม่ใช่ความผิดของฉันนะนายแค่มองไม่เห็นถึงข้อดีของภรรยาตัวเอง คนที่ต้องมานั่งเสียใจก็คือนายนั่นแหละ”
เธอกรีดนิ้วเรียวยาวไปที่เขา ทว่าท่าทีของเธอยังคงดูไร้เดียงสาจนทำให้เขาหรือใครก็ตามไม่กล้าจะเชื่อคำพูดที่ออกมาจากปากเธอ
จ้านอี้หยางกระตุกยิ้มขึ้น
“คุณหญิงจ้าน ฉันกำลังสำนึกผิดยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างเหลือเกินที่ฉันยังไม่สามารถค้นพบได้ในตัวเธอถ้าอย่างนั้นรอฉันไปสำรวจหน่อยเถอะนะ”
ในเมื่อยัยกระต่ายน้อยอยากจะเล่นกับเขา พอถึงที่หมายค่อยจัดการแล้วกัน
สายตาของซูหรงหรงรีบเปลี่ยนท่าทีเป็ระแวดระวังโดยฉับพลันตอนนี้เธอรู้สึกว่าจ้านอี้หยาง...เหมือนหมาป่าใจร้ายที่ไร้ศีลธรรมอย่างไรอย่างนั้น
“ลงรถ”
จ้านอี้หยางอยู่ๆ ก็พูดขึ้น
ซูหรงหรงมองไปรอบด้านทั้งสี่ทิศ
หากนำคำพูดของเย่จื่ออันมาเปรียบเปรยแล้วละก็ สถานที่ที่เหมาะแก่การฆ่าคน!
เธอยังคงไม่ยอมลงจากรถ เธอเพิ่งจะด่าจ้านอี้หยางว่าบ้าเธอจะรู้ได้อย่างไรว่าเขาจะทำอะไรเธอ
จ้านอี้หยางเดินอ้อมมาทางประตูฝั่งที่นั่งข้างคนขับก่อนจะเปิดประตู
“ซูหรงหรง ลงจากรถ!”
“นายจะทำอะไร?”
ซูหรงหรงกอดเบาะที่นั่งข้างคนขับไว้แน่น
จ้านอี้หยางมองไปรอบด้าน หัวเราะเสียงเย็น
“สบายใจได้ถ้าฉันอยากจะทำอะไรๆ ฉันไม่เลือกสถานที่แบบนี้หรอก”
พูดจบก็อุ้มตัวซูหรงหรงลงจากรถ ก่อนจะวางเธอไว้ด้านหลัง
ไม่นาน คนขับรถของจ้านอี้หยางก็มาถึงซูหรงหรงจึงเพิ่งจะเข้าใจว่าเป็แค่การสลับคนขับรถเท่านั้น เธอมองไปรอบๆอย่างสบายใจ ก่อนจะยื่นหน้าเข้าใกล้หน้าต่างมากขึ้น
“จ้านอี้หยาง ตกลงเราจะไปไหนกันอย่างนั้นเหรอ?”
“ถึงแล้วก็รู้เอง ถ้ายังถามอีกฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะเลือกที่นี่ทำอะไรๆ ดีหรือเปล่า”
“…”
ซูหรงหรงนั่งนิ่งก่อนจะพิมพ์บอกเย่จื่ออันว่าเธอถูกจับเป็ตัวประกัน เย่จื่ออันจึงตอบกลับเธอ
อย่าคิดหนีหรือดิ้นรน ลองหลับตาแล้วยอมรับมันด้วยความเต็มใจ
ยอมรับ?
ก็ได้
เธอเก็บโทรศัพท์ ก่อนจะมองออกไปนอกรถเธอเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าบรรยากาศข้างทางเริ่มเปลี่ยนไปั้แ่เมื่อไร
เมื่อได้เข้ามาในหุบเขาบรรยากาศและวิวทิวทัศน์ก็ดูดีกว่าเมื่อครู่ที่ผ่านมา
ฤดูใบไม้ผลินั้นเสมือนฤดูที่ช่วยฟื้นฟูเหล่าแมกไม้ต้นไม้ในูเาดูมีชีวิตชีวา แสงแดดจ้าส่องเข้ามาตามช่องว่างของใบไม้และกิ่งไม้ช่างเป็ความงดงามที่หาสิ่งใดมาเปรียบเปรยไม่ได้อากาศในหุบเขาช่างสดชื่นเสียจนน่าประหลาดใจจนทำให้ลืมความสั่นโคลงของทางที่ไม่ราบเรียบสม่ำเสมอ
ในที่สุด สายตาของยัยกระต่ายน้อยก็เปล่งประกาย
เส้นทางนี้จ้านอี้หยางใช้เดินทางไปกลับเป็เวลากว่า 6 ปีแล้วเขาค่อนข้างคุ้นชินเป็อย่างดี เขามองเห็นใบหน้าที่ตื่นเต้นประหลาดใจของซูหรงหรง
“เธอทำอะไร?”
“หลับตา เอ๊ยไม่ใช่สิ หยุดการเคลื่อนไหวของสายตาเพื่อที่จะเสพสุข”
นิ้วมือของเธอยื่นออกไปนอกหน้าต่างรถแล้วัักับใบไม้
“อาๆๆจ้านอี้หยาง นายดูต้นไม้ต้นนั้นสิ ทำไมมันถึงได้...อุ๊บ...”
ยังที่เธอไม่ทันจะพูดจบ จ้านอี้หยางก็ฉุดตัวของเธอเข้ามาเธอเงยหน้าขึ้นมองหน้าจ้านอี้หยาง ยังไม่ทันจะเอ่ยอะไรก็โดนจ้านอี้หยางสั่งสอน
“ยัยโง่ ใครสั่งใครสอนว่าเวลานั่งรถให้เอามือกับหัวยื่นออกไปข้างนอก?”
ซูหรงหรงที่กำลังจะพูดว่าในเส้นทางนี้คงไม่อาจเจอเข้ากับรถคันอื่นแน่ๆแต่เมื่อสักครู่รถแล่นเข้าไปใกล้ต้นไม้ต้นหนึ่งมาก หากเมื่อครู่เธอไม่ทันระวังแล้วละก็เธอคงจะพิการไปแล้ว
ก็ได้ ครั้งนี้เธอผิดเอง
“ต่อไปฉันจะไม่ทำอีกแล้ว”
ซูหรงหรงหัวเราะแฮะๆ ออกมา
“นั่งดีๆ”
จ้านอี้หยางกดมือลงบนบ่าของเธอไม่อนุญาตให้เธอขยับตัววุ่นวายไปมา
ซูหรงหรงมองหาช่องว่าง
“นายปล่อยฉันก่อนได้มั้ยเล่า ฉันอยากมองวิวภายนอกหน้าต่าง ฉันจะไม่เอาหัวออกไปอีกแล้วอุ้ย ฉันไม่ให้เป็ม่ายในเร็ววันนี้หรอก”
เธอส่งดวงตาไร้เดียงสาใสซื่อบริสุทธิ์ไปให้เขาเพราะคิดว่าเขาคงตกหลุมพรางของเธอทว่าจ้านอี้หยางกลับเอ่ยออกมาหนึ่งประโยค
“คุณหญิงจ้าน ถ้าเธอยังพูดไม่รู้เื่คุณผู้ชายจ้านคนนี้จะทำให้เขาได้เป็ม่ายด้วยตนเอง”
“...นาย...จะฆ่าตัวตายอย่างนั้นเหรอ?”
ซูหรงหรงจ้องหน้าเขานิ่งก่อนจะเอ่ยถาม
อีกครั้งที่คำพูดของจ้านอี้หยางถูกภรรยาของเขาเข้าใจผิดไปอย่างสิ้นเชิง