เส้นทางต่อไปดูซูหรงหรงจะตื่นตาตื่นใจกว่าปกติ
ยิ่งรถแล่นเข้าไปในป่าลึกทิวทัศน์ที่รายล้อมก็ยิ่งทำให้คนมองมีแต่ความตื่นเต้น
ต้นไม้ที่ดูมีอายุเก่าแก่สูงตระหง่านเทียมฟ้าอย่างไร้กฎเกณฑ์ราวกับ้าจะทะลุให้ถึงเบื้องบน แม้แต่ตะไคร่น้ำสีเขียวที่เกาะบนพื้นผิวของลำต้นก็ยังคงสีเขียวสดงดงาม
แสงอาทิตย์สาดส่องผ่านช่องว่างของกิ่งก้านต้นไม้ลงมาเป็เส้นๆช่างบางเบาและโปร่งแสงยิ่งดูภาพทิวทัศน์เหล่านี้ก็ยิ่งรู้สึกราวกับเป็ว่ากำลังดูภาพเขียนที่ถูกแต่งแต้มขึ้น
ทั้งหมดทั้งมวลนี้สวยเสียจนราวกับอยู่ในความฝัน
ทั้งหมดที่ปรากฏในสายตาของซูหรงหรงนั้นเป็สิ่งแปลกใหม่ที่งดงามที่สุดใบหน้าอ่อนเยาว์ของเธอปรากฏไว้ซึ่งความตื่นตาตื่นใจ
“จ้านอี้หยาง นายดูสิ!” ซูหรงหรงวาดนิ้วชี้ไปที่กระรอกที่เกาะอยู่บนต้นไม้ต้นหนึ่งเธอมองสิ่งนั้นราวกับเป็ผู้ที่อยู่ในทะเลมาเนิ่นนานและค้นพบพื้นดิน ดวงตาของเธอเปล่งประกายราวกับมีแสงวิบวับในแววตาของเธอ“กระรอกๆ”
นี่เป็ครั้งแรกในชีวิตของเธอที่ได้เห็นกระรอกตัวเป็ๆ ที่เกาะอยู่บนต้นไม้ตามธรรมชาติเพราะเธอเคยเห็นแต่กระรอกที่นั่งยองๆ บนต้นไม้ในสวนสัตว์ที่ดูไม่มีอารมณ์ใดๆ ปรากฏ
หลังจากที่ได้ยินคำว่ากระรอก จ้านอี้หยางนั้นเคยเห็นอยู่หลายครั้งหลายคราเขามองตามนิ้วของเธอที่ชี้ออกไปนอกหน้าต่างรถ ก่อนจะตอบรับ “อืม”
ความกระตือรือร้นตื่นตาตื่นใจของซูหรงหรงไม่ได้ลดลงเลยสักนิดเธอจับข้อมือของจ้านอี้หยางอย่างตื่นเต้น
“ฉันขอลงจากรถไปให้อาหารเ้ากระรอกได้มั้ย?”
จ้านอี้หยางที่กำลังดูเอกสารรายงานอยู่เอ่ยคำพูดที่ดูเหมือนจะหัวเราะแต่ก็ไม่หัวเราะ
“เธอจะเอาตัวเธอให้กระรอกกินหรือไง?”
ซูหรงหรงนั่งพินิจพิเคราะห์อีกครั้ง ที่นี่ไม่ใช่สวนสัตว์ไม่มีใครมาขายอาหารสัตว์ ถ้ามีแค่วิธีเดียวคือเอาตัวเธอให้กระรอกกินแล้วล่ะก็...
เพียงชั่วอึดใจซูหรงหรงก็เงยหน้าขึ้นแล้วตอบเขา
“กระรอก...เหมือนจะไม่กินเนื้อคนไม่ใช่เหรอ? หืม พวกมันคงไม่กินฉันหรอก”
“...” คำพูดของจ้านอี้หยางเงียบหายไปในอากาศชั่วครู่เขาลูบผมเธอไปมาเพื่อปลอบใจ
“ไม่ต้องเสียใจไปสัตว์ที่กินเนื้อคน...มีเยอะมากที่นี่”
กระรอกนั้นไม่กินเนื้อกระต่าย แต่คนต่างหากที่อยากกิน
ซูหรงหรงจ้องหน้าเขานิ่งเธอทำเพียงลอบถอนหายใจไปกับการปลอบใจคนของจ้านอี้หยางทว่าตนเองไม่รู้ตัวเลยว่าภัยอันตรายกำลังมาเยือนตัวเธอ
รถยังคงแล่นอยู่ในป่าอีกชั่วโมงหนึ่ง
“ผบ.จ้านครับ พวกเรายังต้องใช้เวลาอีกหนึ่งชั่วโมงจึงจะถึง” คนขับรถรายงาน
“อืม”
“ผบ.จ้านคะ ฉันหิวน้ำ”
ประโยคนี้เป็ซูหรงหรงที่เอ่ยขึ้นเธอเอ่ยด้วยเสียงหวานพร้อมกับยกมือขึ้นใช้ท่าทางการพูดเหมือนคนขับรถของเขาไม่มีผิดแต่น้ำเสียงของเธอดูไร้เดียงสากว่าคนขับรถมาก
นี่เป็ครั้งแรกที่เธอเรียกจ้านอี้หยางว่าผบ.ท่านผบ.เองตอนนี้ก็กำลังสนใจคำพูดของเธอจนหรี่ตามองลง แต่ปฏิกิริยาตอบกลับกไปช่างเ็า เขามองไปรอบๆ ด้านสั่งให้คนขับรถจอดรถ ก่อนจะพาซูหรงหรงลงรถออกไป
“ดื่มน้ำทำไมต้องลงรถด้วยล่ะ?”
ซูหรงหรงเอียงคอจ้องหน้าจ้านอี้หยางแล้วถามอย่างสงสัย
เขาชี้นิ้วเข้าไปที่ถนนเส้นหนึ่งในหุบเขา
“พาเธอไปดื่มน้ำจากลำธารในหุบเขา”
เขาจ้องหน้าซูหรงหรงกลับ
“หรือว่าเธอไม่อยากลงจากรถ?”
แววตาของซูหรงหรงเปล่งประกายอีกครั้งตื่นเต้นดีใจเสียจนะโกอดจ้านอี้หยาง
“อยากไปสิ ฉันอยากไปตั้งนานแล้ว”
เพียงแต่เธอไม่กล้าเอ่ยกับเขา เพราะกลัวว่าเขาจะต้องรีบกลับค่ายทหารแต่ว่า...
“จ้านอี้หยาง นายดูออกด้วยเหรอ?”
จ้านอี้หยางยิ้มขึ้นมา ไม่ตอบเธอ เพียงแต่พูดว่า
“แค่มองตาก็รู้แล้ว เพราะฉะนั้นต่อไปนี้เธออย่าแม้แต่จะคิดหลอกฉันอีก”
ซูหรงหรงเอียงคอแล้วเอียงคออีก มือเหยียดยาวออกไปจับที่ขนคิ้วของเขาแววตามีแต่ความสงสัยใคร่รู้
“นายมีดวงตาที่สามอย่างนั้นเหรอ? หรือว่านายเป็ลูกหลานของชนเผ่ากานดา”
“ยัยโง่”
จ้านอี้หยางคว้ามือของซูหรงหรงก่อนจะพาเข้าไปในเขา
เป็เวลานานมากแล้วที่ไม่มีใครใช้ทางเส้นนี้มันคือเขาสูงชันและอันตราย บรรดาหินน้อยใหญ่รูปร่างเว้านูนและถูกปกคลุมด้วยมอสสีเขียวลื่นๆจึงทำให้ยากต่อการเดิน
เมื่อดูจากบรรยากาศของหุบเขานี้แล้วทางการของคงจะไม่อนุญาตให้ใครผ่านเข้ามาใช้เส้นทาง
ซูหรงหรงจับมือจ้านอี้หยางแน่นเธอต้องใช้แรงของเขาเข้าช่วยในการปีนหน้าผา เพราะถ้าหากไม่ระวังแล้วละก็ การจะร่วงลงไปเป็เื่ที่ง่ายแสนง่าย
แต่เมื่อมองกลับมาที่จ้านอี้หยาง เพื่อดูข้อแตกต่าง
การกระทำของเขานั้นไม่ต่างอะไรกับการปอกกล้วยเข้าปากซูหรงหรงดูจะกลายเป็ภาระของเขาเสียมากกว่า ก้าวเท้าของเขาช่างดูสบายๆการได้ปีนเขาเช่นนี้เขาไม่สะทกสะท้านและทำราวกับว่ามันคือเื่ปกติของเขา
ซูหรงหรงไม่แน่ใจว่าเธอคิดผิดหรือเปล่าเมื่อมองไปที่จ้านอี้หยางก็รู้สึกเหมือนกันว่าเขาที่อยู่ในชุดทหารนั้น...เขาช่างดูราวกับเทพบุตรน่าเลื่อมใส
รูปร่างสูงใหญ่ ผดุงไว้ด้วยความยุติธรรม หล่อเหลาและโดดเด่น
อุ๊ย จ้านอี้หยางนี่แหละถึงจะเรียกว่าเป็ผู้ชายของแท้ดีกว่าเ้ากู้แหยนเจ๋อตั้งเยอะ
หลังจากที่เดินผ่านเนินเขาที่ปกคลุมไปด้วยหินเมื่อพ้นโค้งนี้ไปก็จะเป็ถนนเรียบๆเส้นทางโค้งเส้นนี้ดูราวกับว่าจะยังคงความโค้งต่อไปไม่จบสิ้น ทว่าทิวทัศน์ทั้งสองฝากฝั่งกลับชวนมองน่าหลงใหล
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ซูหรงหรงอยู่ๆ ก็คิดถึง “ทางโค้งที่จะนำไปสู่ทิวทัศน์ที่งดงาม” และเมื่อมองไปที่จ้านอี้หยางที่อยู่ตรงหน้าทันใดนั้นแก้มนวลก็เริ่มร้อนขึ้น...
อยู่ๆ ก็คิดอยากจะเดินผ่านเส้นทางที่คดเคี้ยวนี่เพื่อไปพบกับทิวทัศน์ที่งดงามกับเขาซูหรงหรง นี่เธอ...สมองมีปัญหาแล้วหรือไง?
“ถ้าเดินผ่านตรงนี้ไปก็ถึงแล้ว”
จ้านอี้หยางหันหน้ากลับมาพูดกับเธอ
ซูหรงหรงเองใจเต้นระส่ำหน้าแดงก่ำ เธอไม่ได้ตอบรับเขาในทันทีเธอทำเพียงมองไปที่ดวงตาของจ้านอี้หยางแล้วส่งเสียง “หา?” ก่อนจะเปลี่ยนเป็ “อ้อ...”
ตอนนี้ใจของยัยกระต่ายน้อยกระเจิงไปที่ไหนกันจ้านอี้หยางหรี่ตาเล็กลง
“เธอกำลังคิดอะไรอยู่?”
“ไม่มีนี่!”
ซูหรงหรงรีบร้อนปฏิเสธอย่างมีพิรุธ ปฏิกิริยาเธอตอนนี้คล้ายกับ ’วัวสันหลังหวะ’ มากกว่า
“ฉันจะคิดอะไรได้? ฉัน...ฉันเป็เสมือนนักจิตวิทยาเป็คนมีจริยธรรม นายอย่าคิดอะไรไร้สาระ!”
จ้านอี้หยางขมวดคิ้วเข้าหากัน เขามองไปที่บรรยากาศรอบด้านก่อนจะกระตุกยิ้มขึ้นมา เขาใช้ใจในการทำความเข้าใจไม่มีสิ่งไหนหรืออะไรสามารถหลบหนีปิดบังจากสายตาของเขาไปได้
“เธอแน่ใจนะว่าไม่ได้คิดอะไร? หืม?”
ซูหรงหรงไม่ได้รู้สึกผิดใดๆ ทว่าแก้มบนใบหน้าของเธอเริ่มแดงชัดยิ่งขึ้นเธอทั้งอายทั้งทำตัวไม่ถูกในตอนที่มองหน้าจ้านอี้หยางเพื่อจะอธิบาย
“ฉัน...ฉัน...”
เธอเอาแต่มองไปที่เท้า เธอที่ทันได้ระวังพื้นด้านล่างก็ลื่นลงไป
“อ๊ะ”
เธอร้องลั่นก่อนจะล้มลง
จ้านอี้หยางลอบมองซูหรงหรงอยู่ตลอดเวลา ดีที่เขาเป็ตาไวหูไวเขารีบจับตัวเธอไว้ แต่ครู่เดียวเขาก็ผุดความคิดอีกอย่างขึ้นมา เขาใช้แรงกระตุกตัวเธอมาใกล้ซูหรงหรงรีบคว้าคอเขาไว้อัตโนมัติจนในที่สุดเธอก็มาอยู่ในวงแขนของเขา
เขาโอบรอบเอวของเธอไว้ซูหรงหรงเองก็ยุ่งอยู่กับการคว้าเสื้อผ้าของเขา ท่าทางของทั้งคู่ราวกับกำลังกอดรัดกันอยู่
สายตาทั้งสองสบกัน สายตาของจ้านอี้หยางจ้องเธอนิ่งซูหรงหรงเริ่มกระตุกเล็กน้อยด้วยความตื่นตระหนก
บรรยากาศรอบด้านทั้งสี่ทิศปกคลุมไปด้วยต้นไม้ใหญ่สีเขียวสดใสมีอยู่ทั่วทั้งบริเวณแสงอาทิตย์ถูกแบ่งออกเป็เส้นสายตามช่องว่างของกิ่งไม้ ทั้งสงบทั้งอบอุ่น
ช่างสงบเงียบและโรแมนติก!
บางทีมันอาจเป็เพราะบรรยากาศภายนอกซูหรงหรงจึงไม่อยากให้จ้านอี้หยางปล่อยเธอออกจากอ้อมกอดของเขาเธอกำลังซึมซับอ้อมกอดของเขา...
ช่างรู้สึกปลอดภัยเสียจริง
เวลาที่เธอมีอันตราย จ้านอี้หยางมักจะเป็คนแรกที่ยื่นมาช่วยเหลือเสมอเขามักไม่ยอมให้เธอได้รับาเ็ แค่นี้ก็เพียงพอแล้วไม่ใช่เหรอ?
การที่ผู้หญิงได้แต่งงานออกจากบ้านไม่ใช่เพราะ้าจะพึ่งพาผู้ชายคนนั้นหรืออย่างไร?
อีกทั้งจ้านอี้หยางเองก็เป็ทหารการจะพึ่งพาเขานับว่าเป็เื่ที่ถูกต้องที่สุด
หากเป็อย่างนี้ไปจวบชั่วนิรันดร์มันก็ใช่จะเป็เื่ไม่ดีเสียเมื่อไร
จ้านอี้หยางเองจ้องหน้าเธอพร้อมกับมองแววตาของเธอเขาส่งเสียงที่เหมือนจะหัวเราะก็ไม่ใช่จะไม่หัวเราะก็ไม่เชิง
“มองหน้าฉันจนทะลุขนาดนี้ตกลงเธอมองเห็นอะไรอยู่กันแน่?”
“เฮ้อ!”
ซูหรงหรงดึงสติกลับมาเธอปกปิดความคิดบ้าผู้ชายเมื่อสักครู่ไปจนมิด
“ก็มองเห็นตากับจมูกของนายนั่นแหละ! หรือว่าหน้านายมีดอกไม้บานออกมาได้อย่างนั้นเหรอ?”
พูดจบเธอก็หันไปมองทางที่คดเคี้ยวเ่าั้เธอจินตนาการถึงน้ำที่กำลังไหลลงมา
“ฉันคอแห้ง หิวน้ำแล้ว ไปกันเถอะ”
ขณะที่พูด เธอก็ผลักตัวออกจากมือของจ้านอี้หยางอย่างเป็ธรรมชาติเธอเดินนำหน้าไปคนเดียวยิ่งเดินเข้าไปลึกเท่าไรยิ่งรู้สึกว่าสีของใบไม้ยิ่งดูสดมากขึ้นรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นช้าๆ บนใบหน้าก้าวเดินขอเธอเองก็ดูไม่ช้าไม่เร็วจนเกินไป
ทางเดินเองก็ยังค่อนข้างอันตรายหากไม่คุ้นชินกับเส้นทางจ้านอี้หยางอยากจะจับมือเธอแล้วพาเดินเสียมากกว่า แต่พอเห็นเธอะโโลดเต้นไปมาแล้วราวกับกระต่ายน้อยที่เพิ่งหลุดออกจากกรงอย่างไรอย่างนั้นช่างดูมีความสุขมากเสียจริง เป็เพราะเธอจึงทำให้เขาเองก็รู้สึกสบายตามไปด้วยเขาจึงเดินตามเธอไปเงียบๆ
เมื่อซูหรงหรงเดินบนเส้นทางนี้มาได้สักระยะสายตาก็ปรากฏภาพเบื้องหน้าเป็ทางแยก เส้นหนึ่งคือต้องขึ้นเขาอีกเส้นหนึ่งคือต้องเดินลึกเข้าไปในป่า
เมื่อคิดดังนั้น ซูหรงหรงเลือกเส้นทางที่จะขึ้นเขาแต่ในขณะที่เท้ากำลังจะก้าวออกไป จ้านอี้หยางก็ะโไล่หลังมา
“ยัยซื่อบื้อ น้ำก็ต้องไหลลงสิ”
ซูหรงหรงงงงัน เธอหันหน้ากลับไปมองจ้านอี้หยางโดยไม่พูดอะไรก่อนจะเดินไปในเส้นทางที่ต้องเข้าไปในป่าลึก
นับว่าเป็เส้นทางที่ราบเรียบ ทว่าสามารถเดินบนทางนี้ได้ทีละคนเท่านั้นทางขวาคือบรรดาพืชพรรณที่ไม่รู้จัก ส่วนทางซ้ายคือหุบเขา หากไม่ระวัง ก็อาจตกลงไปได้
ซูหรงหรงเหลือบมองลงไปในหุบเขา ลึกมากเลยต้นไม้ใหญ่ที่ขึ้นจากพื้นดิน ทั่วทั้งบริเวณปกคลุมไปด้วยพุ่มไม้และเถาวัลย์ไม่นานเธอก็ได้ยินเสียงน้ำไหล
เธอทำท่าแสดงออกถึงความดีใจ
……
ปลายทางของทางเดินเส้นนี้คือธารน้ำที่ตกจาก้าลงสู่ด้านล่างมองไกลๆ ทำให้ดูเหมือนเข็มขัดสีเงินที่คาดกลางระหว่างูเา
ซูหรงหรงดีใจเสียจนลืมทุกสิ่งทุกอย่างเธอหันกลับไปหาจ้านอี้หยาง
“จ้านอี้หยาง นายดูสิ”
ขณะนั้น จ้านอี้หยางที่ยืนอยู่ด้านหลังของซูหรงหรงเขามองใบหน้าของซูหรงหรงที่มีแต่ความพึงพอใจ ก่อนจะตอบรับเธอ
“อืม”
เพียงแค่ได้มองภาพเบื้องหน้าก็รู้สึกพอใจในโลกนี้จะมีใครขี้อ้อนและเชื่องกว่าซูหรงหรงอีกไหม?
ในบรรดาผู้หญิงสี่สิบคน เขาเลือกเธอนับว่าคิดไม่ผิด
เขาครุ่นคิด ในขณะเดียวกันซูหรงหรงเองก็ลงไปดื่มน้ำแล้ว
ทว่ารสชาติของน้ำในลำธารทำให้เธอรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
ความจริง รสชาติของน้ำในลำธารธรรมชาติจะต้องมีรสหวานไม่ใช่หรือแต่นี่เธอไม่ได้รสััของคำว่า ’หวาน’ เลยสักนิด
ช่างน่าผิดหวังเสียจริง คิ้วของซูหรงหรงยับยู่ยี่
จ้านอี้หยางมองการกระทำของเธอ คิ้วของเขาเองก็ขมวดเข้าหากัน
“เป็อะไร?”
ซูหรงหรงใช้มือตักน้ำขึ้นมา ก่อนจะเอ่ยกับจ้านอี้หยางด้วยความรู้สึกผิดหวัง
“ไม่เห็นจะหวานเลยรสชาติของน้ำในลำธารไม่ควรจะเป็อย่างนี้สิ”
“ยัยโง่”
จ้านอี้หยางคุกเข่าลง เขาตักน้ำขึ้นมาไว้ในมือก่อนจะยื่นไปที่หน้าซูหรงหรง
“ลองชิมดูอีกครั้งสิ”