เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่อุตส่าห์ตั้งแนวรับมากมายหลายตลบ แต่ไม่คาดว่าอาหารมื้อนี้จะทำมาหลังจากที่ซือไท่จิ้งซินเห็นชอบแล้ว... ทันใดนั้นเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่ค่อนข้างทำอะไรไม่ถูกด้วยความตกตะลึงก็ยืนนิ่งอยู่กับที่ มือลูบท้องน้อยๆ ที่ยังคงร้องจ๊อกไม่หยุดของตนโดยไม่รู้ตน พลันรู้สึกไขว้เขวขึ้นมา
ถึงอย่างไรคนก็เป็สตรี สวี่ชิวเยวี่ยผู้นี้หรือ... ก็เป็สตรีเช่นเดียวกัน ตนคงจะไม่ได้เสียเปรียบอะไรหรอกกระมัง... อีกอย่างตนเองก็หิวมากจริงๆ เสียงย้ำเตือนที่ดังขึ้นมาจากท้องทำให้เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วแทบจะโถมตัวเข้าไปหาอาหารพวกนั้นเสียเลย
“เปี่ยวเกอ...?”
สวี่ชิวเยวี่ยเห็นเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วไม่รู้ว่ากำลังลังเลอะไรอยู่ พลันอียงคอมอง อย่าง… อย่างน่ารักน่าเอ็นดู
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่กำลังสับสนฟุ้งซ่านอยู่ในใจ หากสวี่ชิวเยวี่ยในยามปกติสามารถเป็ประหนึ่งแจกันดอกไม้ที่ไม่พูดจาไม่ขยับเขยื้อนได้ตลอด เช่นนั้นตนก็อาจจะไม่เกลียดชังนางขนาดนี้ก็ได้ ไม่แน่ว่ายังอาจจะพิจารณาให้เป็อนุของเยี่ยนอวิ๋นเฟยพี่ชายตนเองเลยก็ได้
น่าเสียดายนัก น่าเสียดาย…
“หา?” เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วงุนงงอยู่พักหนึ่ง แล้วก็เอ่ยตอบอย่างงุนงง เห็นเพียงสวี่ชิวเยวี่ยเลิกคิ้วแย้มยิ้มหวาน เอ่ยขึ้นอย่างนุ่มนวล “หากเปี่ยวเกอยังไม่กิน อาหารพวกนี้จะใกล้จะเย็นชืดแล้ว ถึงยามนั้นในอารามชีไม่มีใครสามารถกินได้ ก็ต้องทิ้งไปอย่างสิ้นเปลืองนะเ้าคะ”
ใช่แล้ว ทิ้งขว้างข้าวปลาอาหารใช้ได้ที่ไหนกัน? เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วพยักหน้าอยู่ในใจ เพิ่งจะอ้าปากเตรียมตอบรับให้สวี่ชิวเยวี่ยเข้ามา ในหัวก็ผุดเงาร่างของเยวี่ยเจาหรานขึ้นมากะทันหัน
ใบหน้าของเยวี่ยเจาหรานที่เต็มไปด้วยสีหน้าดุดันโเี้ปรากฏขึ้นมาในหัวของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วยามนี้ทันใด เหมือนกับรูปทวารบาลที่ติดบนประตูตอนวันฉลองปีใหม่ยิ่งนัก ทว่าไม่ใช่แบบที่มีอารมณ์ที่เบิกบานเปี่ยมสุข แต่กลับเป็แบบที่ป่าเถื่อนโเี้ข้างๆ นั่นต่างหาก [1]
เยวี่ยเจาหรานที่ดูโเี้อย่างยิ่งจ้องเขม็งจนใบหน้าของเขาดำทะมึน คำพูดเขาวนอยู่ในหัวของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วซ้ำไปซ้ำมาไม่หยุดว่า ผู้หญิงคือเสือร้าย ผู้หญิงคือเสือร้าย ผู้หญิงอย่างสวี่ชิวเยวี่ยน่ากลัวคงเป็เสือโคร่งตงเป่ย [2] แค่คำเดียวก็กินเ้าเข้าไปได้เลยเชียว!
...
มาจากไหนอีกล่ะนั่น? เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วขมวดคิ้วอย่างไม่รู้ตัวแล้วนึกย้อนกลับไป ไม่ยักจำได้ว่าเยวี่ยเจาหรานเคยพูดด้วยท่าทางขึงขังว่าผู้หญิงคือเสือร้ายอะไรนั่นกับตนมาก่อน
ช่างเถอะ! ปากท้องสำคัญที่สุด! เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่ทุกข์ทรมานด้วยความหิวนั้นเตะเยวี่ยเจาหรานออกไปจากหัวไกลแปดจั้ง ก่อนจะบอกกับตัวเองว่าขอแค่ระมัดระวังตอนกินข้าวสักหน่อย ก็คงไม่เกิดปัญหาอะไรหรอก! จากนั้นจึงพยักหน้าให้กับสวี่ชิวเยวี่ย เอ่ยว่า “ที่เปี่ยวเม่ยชิวเยวี่ยพูดก็มีเหตุมีผล เช่นนั้น... เช่นนั้นเ้าก็ให้พวกเขาเข้ามาเถอะ”
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่พูดจบแล้วก็เบี่ยงตัว ยอมเปิดทางให้คนเข้ามาส่งอาหารให้ สื่อให้สวี่ชิวเยวี่ยและพวกเขาเข้ามาด้วยกัน สวี่ชิวเยวี่ยพลันแย้มยิ้มเบ่งบานราวกับช่อดอกไม้ ทั้งยังเป็แบบมีกลีบเยอะเป็พิเศษเสียด้วย สุดท้ายแล้วรอยยิ้มยับย่นนั้นก็เผยปัญหาด้านผิวพรรณมากมายที่ไม่ค่อยจะสอดคล้องกับอายุของสวี่ชิวเยวี่ยออกมา
“ขอบคุณเปี่ยวเกอ!” สวี่ชิวเยวี่ยพยักหน้า พร้อมกับสั่งให้ทุกคนยกอาหารเข้าไป เมื่อจัดวางเสร็จเรียบร้อย พวกเขาก็ค่อยๆ ถอยออกไปทีละคน
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วนั่งอยู่อีกฝั่ง สองมือกำแน่นเป็กำปั้น ข้าวปลาอาหารที่อยู่ตรงหน้าโต๊ะนี้ช่างล่อตาล่อใจยิ่งนัก ทว่า... ทว่ายังต้องเชื่อฟังคำพูดของเยวี่ยเจาหราน หากข้าศึกไม่ขยับ ข้าไม่เขยื้อน หากข้าศึกเขยื้อน…
ข้าก็จะขยับตามนาง!
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วก้มหน้าก้มตาแอบปฏิญาณตนอยู่ในใจ พยายามใช้ความคิดนั้นสร้างความมั่นใจเล็กๆ ให้กับตัวเอง แต่กลับถูกเสียงพูดของสวี่ชิวเยวี่ยทำให้ใสะดุ้งขึ้นมา
“เปี่ยวเกอ...?” เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่ได้สติกลับมาในฉับพลันมองไปยังสวี่ชิวเยวี่ยอย่างลนลาน เพียงได้ยินสวี่ชิวเยวี่ยถามต่อ “เปี่ยวเกอเหตุใดไม่กินเล่าเ้าคะ? เพราะกลัวชิวเยวี่ยทำอาหารไม่ถูกปากหรือ... แต่ชิวเยวี่ยเคยถามท่านป้าแล้ว นางบอกว่าของที่ท่านชอบกินที่สุดก็คือกับข้าวพวกนี้นะเ้าคะ...”
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วกัดมุมปากอย่างลำบากใจ ในใจสำนึกบุญคุณมารดาอย่างอดไม่ได้ ถึงอย่างไรในครั้งนี้ก็ไม่ได้มีความเท็จ ซี่โครงเปรี้ยวหวานสันในหมูทอดอะไรพวกนี้นั้น ก็ล้วนเป็อาหารที่เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเองชื่นชอบที่สุดจริงๆ
น่าเสียดาย... น่าเสียดายที่วันนี้ไม่อาจสวาปามอย่างไม่ยั้งคิดได้ ถึงอย่างไรชีวิตก็สำคัญกว่า
“อา เ้ากินก่อน เ้ากินก่อน เปี่ยวเกอไม่ค่อยหิวน่ะ...” เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วแย้มยิ้มเต็มใบหน้า แล้วเอ่ยเช่นนั้น แต่เมื่อสิ้นเสียงลง ท้องของนางก็กลับร้องดังขึ้นมาอย่างไม่ถูกจังหวะ
“เปี่ยวเกออย่าเกรงใจข้าเลย~” สวี่ชิวเยวี่ยคีบซี่โครงหมูชิ้นหนึ่งด้วยความกระตือรือร้น แต่ขณะที่คิดจะวางลงในถ้วยใบเล็กของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว ก็กลับเปลี่ยนทิศทางไปกลางคัน แล้วส่งเข้าไปในปากของตัวเองแทน “อร่อยมากเลยนะเนี่ย เปี่ยวเกอท่านเองก็ลองชิมดูสิเ้าคะ...”
เมื่อเห็นสวี่ชิวเยวี่ยกินซี่โครงหมูชิ้นหนึ่งลงไปแล้ว เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วสังเกตดูอย่างระมัดระวังอยู่อีกชั่วครู่ ก็ไม่ได้พบว่าเกิดสถานการณ์อย่างอาเจียนตาเหลือกน้ำลายฟูมปากอะไรเช่นนั้นขึ้นมา เมื่อนั้นจึงวางใจลง แล้วกินซี่โครงหมูชิ้นหนึ่งลงไปบ้าง
หอมหวานอร่อย ชุ่มฉ่ำเต็มคำ ต้องชมเลยว่าฝีมือการทำอาหารของสวี่ชิวเยวี่ยดีเยี่ยมจริงๆ เทียบกับเยวี่ยเจาหรานที่เอะอะเป็ต้องสั่งห้องครัวนั่นแล้ว อย่าให้เทียบเลยว่าเหนือกว่ากี่ขุม…
พอได้ขยับตะเกียบ เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วก็วางมือไม่ลงอีก แต่เนื่องจากนึกถึงคำพูดของเยวี่ยเจาหรานที่เคยบอกให้หลีกหนีสวี่ชิวเยวี่ยไปให้ไกล บวกกับหลายวันมานี้นางได้เรียนกลศึกกับอาจารย์อวี้มาไม่น้อย เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วจึงกินแต่ซี่โครงเปรี้ยวหวานเพียงอย่างเดียว ไม่นานนักก็กินจนปากลิ้นออกรสเปรี้ยว เต็มไปด้วยกลิ่นรสของเนื้อ
กระทั่งตนเองเริ่มจะรับไม่ไหวแล้วจริงๆ เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วถึงหยุดลง ในใจรอให้สวี่ชิวเยวี่ยดื่มน้ำสักคำ เช่นนั้นตนถึงจะกล้าใช้แก้วของสวี่ชิวเยวี่ยดื่มน้ำล้างปาก เพื่อไม่ให้กลิ่นเนื้อคาวปากไม่หาย เลี่ยนเสียจนแทบจะอ้วกออกมาอยู่แล้ว…
โชคดีที่สวี่ชิวเยวี่ยเป็หญิงสาวที่ ‘เห็นอกเห็นใจผู้อื่น’ บางทีนางคงสังเกตเห็นถึงความรู้สึกไม่ดีของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว จึงรีบหยิบจอกสุราของตนขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แล้วพยายามที่จะชนจอกกับเยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว…
“เปี่ยวเกอ~ ดื่มสุราหน่อยเถอะเ้าค่ะ บุรุษเช่นพวกท่านตอนที่กินข้าวฉลองด้วยกัน ก็ต้องดื่มสุราด้วยมิใช่หรือเ้าคะ...” น้ำเสียงของสวี่ชิวเยวี่ยนุ่มนวลอ่อนหวาน แต่กลับทำให้เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเกิดความเคลือบแคลงยิ่งกว่าเดิม
ถึงอย่างไรตอนที่ออกมาจากจวนเยี่ยน ก็ดูเหมือนว่าสวี่ชิวเยวี่ยจะไม่ได้มีท่าทีเช่นนี้เลย ความปล่อยวางและยอมรับชะตากรรมเช่นนั้น อย่าบอกนะว่าทั้งหมดล้วนเป็สิ่งที่สวี่ชิวเยวี่ยแสร้งแสดงออกมา?
ไม่มีเวลาให้คิดอะไรมาก ก็เห็นสวี่ชิวเยวี่ยแหงนหน้ากระดกเหล้าหมดจอกแล้ว เมื่อนั้นเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วถึงได้สติกลับมา นางรับจอกของสวี่ชิวเยวี่ยมาเหมือนว่าไม่ได้คิดอะไร แต่กลับถูกสวี่ชิวเยวี่ยขวางเอาไว้ “เปี่ยวเกอ... เปี่ยวเกอเหตุใดถึงจะใช้จอกของข้าล่ะเ้าคะ? นี่ยังไม่ได้ดื่มสุราก็เมาเสียแล้วหรือ...”
“เอ่อ... คือว่า จอกของข้าเพิ่งจะทำสกปรกไป ขอใช้ของเปี่ยวเม่ยไปก่อนแล้วกัน ทำไมหรือ เปี่ยวเม่ยรังเกียจข้าหรือ?” เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเอ่ยพลางแย่งจอกของสวี่ชิวเยวี่ยมา นางรินเหล้าให้ตนเต็มจอก แล้วแหงนหน้ากรอกลงคอ จากนั้นจึงแสดงจอกอันว่างเปล่าให้สวี่ชิวเยวี่ยดู
“อืม วันนี้ขอบคุณการเอาใจใส่ของเปี่ยวเม่ยจริงๆ นะ... เอิ๊ก...” เพราะกินซี่โครงเปรี้ยวหวานมากเกินไป เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่อดเรอออกมาไม่ได้พลันกุมปากของตัวเองเอาไว้ กลัวว่าจะถูกสวี่ชิวเยวี่ยได้ยินแล้วจะขายหน้าเอา ใครจะรู้ว่าเสียงเรอด้วยความอิ่มนั้นเดิมทีไม่อาจเล็ดลอดจากหูตาทิพย์ของสวี่ชิวเยวี่ยไปได้ ส่วนขี้หน้าก็ขายหมดไปตั้งนานแล้ว
แต่สวี่ชิวเยวี่ยก็ไม่ได้แสดงท่าทีรังเกียจแต่อย่างใด แม้จะสังเกตเห็นความยากลำบากในการกินอาหารมื้อนี้ของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วแล้ว แต่ก็ไม่ได้เผยท่าทีไม่พอใจอันใดออกมา “เปี่ยวเกอเกรงใจกันเกินไปแล้ว หลายวันมานี้โชคดีที่มีเปี่ยวเกอและพี่สะใภ้... ส่วนความเอาใจใส่ของข้า ชิวเยวี่ยเพียงแสดงความขอบคุณเท่านั้น ล้วนเป็สิ่งที่สมควรแล้ว”
เชิงอรรถ
[1] ทวารบาล (门神) หมายถึงเทพผู้เฝ้าพิทักษ์ประตู ในวันฉลองปีใหม่จีนนอกจากการติดกลอนคู่แล้ว ชาวจีนมักจะติดภาพเทพเ้าสององค์หันหน้าเข้าหากันไว้ที่ประตู ฝั่งหนึ่งมีหน้าดุร้าย และอีกฝั่งหนึ่งหน้าตายิ้มแย้ม การติดภาพทวารบาลเป็ความเชื่อว่าจะช่วยขับไล่สิ่งชั่วร้ายและภูตผีปีศาจ คุ้มครองบ้านเรือนให้ปราศจากอันตราย
[2] เสือโคร่งตงเป่ย / เสือโคร่งไซบีเรีย / เสือโคร่งแมนจูเรีย (东北虎) เป็เสือโคร่งที่มีถิ่นอาศัยอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของจีนและตะวันออกของรัสเซีย ซึ่งเป็สายพันธุ์เสือโคร่งที่ใหญ่ที่สุด
