ตอนที่ 8
ปัณณวีร์อยากจะร้องไห้แต่ก็ร้องไห้ไม่ออก ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้พอเหมาะพอเจาะขนาดนี้ ปกติแล้วศิลาก็มักจะบอกตนก่อนเสมอว่าจะมาตอนไหน มาเมื่อไหร่ ไม่รู้ทำไมต้องมาอยากเซอร์ไพรส์วันนี้ด้วย
ศิลากับปัณณวีร์นั่งอยู่ที่โซฟาข้างๆ กัน โดยที่น้ำหนึ่งนั่นยืนกอดอกอยู่อย่างกับผู้คุมที่รอให้นักโทษสารภาพความผิด ตัวศิลานั้นไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมาอยู่แล้ว แต่ปัณณวีร์นั้นไม่ใช่ เขาค่อยๆ เล่าเื่ราวของตนเองกับศิลาให้เพื่อนสนิทฟัง
เล่าั้แ่ตอนที่ศิลามาจีบเขา เมื่อ 3 ปีที่แล้ว ซึ่งตัวปัณณวีร์และศิลาเจอกันอยู่บ่อยครั้งเนื่องจากศิลามักจะติดมากับศรุตด้วยราวกับปาท่องโก๋เวลาที่ศรุตมาหาปัณณวีร์ ในตอนแรกเขาไม่ได้อะไรด้วย แต่อยู่มาวันหนึ่งศิลาก็เข้ามาพูดกับเขาตรงๆ ว่าจะขอจีบ ไม่ต้องให้เขารีบตัดสินใจเพราะตัวศิลาไม่เร่งเอาคำตอบ ขอแค่โอกาส ซึ่งในตอนนั้นปัณณวีร์ไม่ได้สนใจเื่ความรักเลยแม้จะรู้ว่าตัวเองชอบผู้ชายไม่ได้ชอบผู้หญิง และการจะคบกับผู้ชายสักคนมันก็เป็เื่ยากไม่ใช่จะหากันได้ง่ายๆ เลยคนที่ตรงกันกับเรา
ศิลาไม่ได้มาเล่นๆ แม้จะแอบๆ จีบแต่ก็ทำให้ปัณณวีร์รับรู้ได้ว่าเด็กคนนี้จริงใจ จากที่ไม่เคยมีใครเข้ามาทำให้หัวใจได้เต้นแรง ศิลาก็เป็คนแรก ยิ่งนานวันปัณณวีร์คิดว่าศิลาอาจจะล้มเลิกความตั้งใจไปเอง แต่กลับไม่ใช่เลย นั่นยิ่งทำให้ปัณณวีร์รู้ว่าจริงๆ แล้วความรักระหว่างผู้ชายกับผู้ชายก็ไม่ได้แพ้หรือด้อยไปกว่าระหว่างผู้หญิงกับผู้ชายเลย เพราะมีหลายคนมักบอกว่าความรักแบบเพศทางเลือกนั้นไม่ยั่งยืนหรอก แค่ความสุขชั่วคราวก็เท่านั้น แต่ปัณณวีร์เห็นแล้วว่ามันไม่ใช่ และคนที่ทำให้เขาเห็นก็เป็ศิลา เด็กหน้านิ่งที่เขาชอบแซวกับศรุตเสมอๆ ว่าน้องชายเขาทำหน้าอื่นไม่เป็แล้วหรอ
“แต่แกไม่ยอมบอกฉัน เลือกจะปิดบังฉันทำไมวะ” หลังเล่าทุกอย่างให้ฟังแล้วก็ทำเอาน้ำหนึ่งน้อยใจ
ศิลาดูเหตุการณ์แล้วจึงได้พูดขึ้น เนื่องด้วยอยากให้เพื่อนคุยกันและเคลียร์กันเอาเอง ถึงเขาอยู่เขาก็ไม่รู้จะช่วยพูดอะไร ยิ่งจะเป็การทำให้ทั้งสองคุยกันไม่สะดวกด้วย “ผมไปรอห้องผมนะครับ ถ้าคุยกันเสร็จแล้วพี่ค่อยขึ้นไปหาผม”
“อ่อ เอางั้นก็ได้ เดี๋ยวพี่ไปหา” ปัณณวีร์พยักหน้าอย่างเห็นด้วย เมื่อศิลาออกจากห้องไปแล้วน้ำหนึ่งจึงตรงเข้ามาหยิกต้นแขนเพื่อนสนิทแต่ก็ไม่แรงนักด้วยความโกรธ
“หนึ่ง...ขอโทษ” ปัณณวีร์ยอมให้น้ำหนึ่งทำเพราะรู้ว่ายังไงเพื่อนก็ทำไม่แรง พอสบตากันน้ำหนึ่งก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่พลางทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟาด้วยความหงุดหงิด เสียใจ น้อยใจปนกันไปหมด ไม่รู้ว่าตอนนี้ต้องรู้สึกยังไงดีที่เพื่อนเลือกจะปิดบัง
“แกเห็นฉันเป็เพื่อนไหมวีร์” น้ำหนึ่งพูดขึ้นเสียงเบา ปัณณวีร์ได้ยินมันชัดเจนจึงขยับเข้าไปจับมือทั้งสองของเพื่อนไว้แน่น
“ทำไมจะไม่เห็น แกเป็เพื่อนฉัน”
“เพื่อน แล้วทำไมแกไม่บอกฉันอ่ะ ศรุตรู้ทั้งๆ ที่แกกับเขามารู้จักกันตอนมหาลัย แต่ฉันที่คบกับแกมาั้แ่มัธยมกลับไม่รู้” เธอเอ่ยอย่างตัดพ้อ แม้ว่าเธอกับศรุตจะรู้จักกันแต่ก็ไม่ได้สนิทสนมเมื่อเทียบกับปัณณวีร์ น้ำหนึ่งกับศรุตออกจะเป็คู่กัดกันมากกว่าเพราะทั้งสองชอบจิกกัดกันมาั้แ่มหาลัยแล้ว
“ขอโทษน้ำหนึ่ง ที่ศรุตรู้เพราะเขาช่วยศิลาเข้าหาฉันเว้ย แล้วเื่นี้ฉันไม่ได้บอกใครเลย ยิ่งคนรู้น้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งดีฉันคิดแบบนั้น”
“ที่ไม่บอกหรือเพราะว่าแกกลัวว่าฉันจะเอาไปบอกใครหรอ”
“ไม่ ไม่ใช่แบบนั้น” ปัณณวีร์ไม่รู้จะอธิบายเพื่อนยังไงดี ตัวเขาไม่กล้าจะบอกน้ำหนึ่งเพราะตอนนั้นกลัวว่าน้ำหนึ่งจะรับในสิ่งที่เขาเป็ไม่ได้ ต่อมาก็ได้เห็นแล้วว่าเธอไม่ได้ตัดสินใครที่เพศสภาพของอีกฝ่าย แต่ปัณณวีร์ก็ยังขี้ขลาดอยู่ดี ไม่กล้าที่จะบอก
“เพื่อนอ่ะวีร์ มีเื่อะไรก็บอกกันได้ไม่ใช่หรอ ฉันไม่เคยจะอยากทำร้ายชีวิตแกนะ” น้ำหนึ่งเข้าใจดีว่าตอนนั้นทุกอย่างกำลังเริ่มต้น ปัณณวีร์ก็เริ่มต้นทำละครทั้งที่อายุยังน้อย ไม่มีใครรับประกันได้ว่าเขาจะดังหรือไม่ ส่วนศิลาเองเริ่มมีชื่อเสียงแล้ว ไม่แปลกที่พวกเขาจะไม่กล้าบอกให้ใครรู้เยอะ แต่มันก็ยังน่าน้อยใจที่ปัณณวีร์ไม่ยอมบอกเขาที่เป็เพื่อนกันมาขนาดนี้
“ไม่รู้จะพูดคำไหนนอกจากขอโทษจริงๆ ต่อไปถ้ามีอะไรฉันสัญญาว่าจะบอกแกทุกเื่ จะไม่ปิดบังแบบนี้อีกแล้ว แกยกโทษให้ฉันเถอะนะ”
น้ำหนึ่งนิ่งเงียบไปไม่ได้ตอบอะไรทำเอาปัณณวีร์ใจไม่ดีเลย กลัวว่าน้ำหนึ่งจะโกรธจนไม่ให้อภัย หากกลับกันเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับเขา ปัณณวีร์คิดว่าตัวเองก็คงจะโกรธน้ำหนึ่งที่ปิดบังเหมือนกัน
“แกสัญญาแล้วนะวีร์ ถ้ามีครั้งหน้าอีกฉันจะโกรธแกนานๆ เลย ครั้งนี้ถือว่าคาดโทษแกไว้ก่อน” น้ำหนึ่งหันมาพูดกับเพื่อนสนิทที่ยังทำหน้าซึมอยู่ พอได้ยินดังนั้น ปัณณวีร์ก็คลี่ยิ้มออกมาพร้อมกับน้ำตาคลอแล้วกอดน้ำหนึ่งเต็มแรง
“ขอบใจแกมากนะ ฉันขอโทษจริงๆ”
“อื้ม ไม่ต้องขอโทษแล้ว” น้ำหนึ่งลูบหลังปลอบคนเป็เพื่อนก่อนจะถามขึ้น “ถ้าเกิดวันนี้ฉันไม่รู้ แกคิดจะบอกฉันตอนไหน”
ปัณณวีร์ผละออกแล้วตอบกลับ “ก็คง … จนกว่าเื่นี้จะถูกเปิดเผยละมั้ง โอ๊ยย!”
น้ำหนึ่งตีเข้าให้ หากเขาต้องรู้พร้อมกับคนอื่นๆ แบบนั้นจะให้เขาเป็เพื่อนสนิททำไมกัน “มันน่าตีให้ตายนักนะ”
“ขอโทษน้าา~”
“ถือว่าเก่งมากนะที่คบกันมาได้นานขนาดนี้โดยไม่มีใครรู้” แม้แต่น้ำหนึ่งที่เป็คนใกล้ชิดกับปัณณวีร์เองยังไม่รู้เลยหากไม่มาเจอวันนี้ก็คงไม่รู้ไปอีกนาน
“มันก็มีข่าวนะว่าฉันกับศิลามักอยู่ในสถานที่เดียวกัน แต่ก็มีแฟนคลับของศิลาออกมาแก้ข่าวว่าพวกเราเป็คนรู้จักกันไม่แปลกตรงไหนเพราะว่าไม่ได้อยู่สองคน มีศรุตอยู่ด้วยทั้งคนเลยไม่มีใครสงสัยอะไรต่อ” เรียกได้ว่าโชคดีมาก หากไม่มีศรุตก็คงไม่สามารถอยู่มาได้ถึงตอนนี้
“ก็มีประโยชน์อยู่เหมือนกันนะ นึกว่าจะเ้าชู้ไปวันๆ คนอะไรก็ไม่รู้หล่อสู้น้องชายไม่ได้สักนิดแต่ควงหญิงไม่ซ้ำหน้า”
“หล่อสู้ไม่ได้อ่ะไม่เถียง แต่เขาก็ถือว่าหล่ออยู่นะ” แน่นอนว่าปัณณวีร์ก็ต้องเข้าข้างแฟนตัวเองอยู่แล้วว่าหล่อที่สุด แต่ศรุตก็เป็ผู้ชายที่หล่อเหมือนกัน หากมาเป็ดาราก็คงเป็พระเอกตีคู่กับศิลาแน่นอน
“หน้าอย่างกับเฟอร์บี้” ปัณณวีร์ถึงกับขำออกมาทันที แต่อีกด้านนั้นกลับจามไม่หยุด
“ฮัดเช้ย!! อะไรวะเนี่ย” ศรุตดึงทิชชู่ขึ้นมาเช็ดปากเช็ดจมูกในขณะที่ขับรถอยู่ เขาจามติดกันมาสี่ห้าครั้งแล้ว
[เอารถไปล้างบ้างนะ ฝุ่นเยอะ] เสียงของปลายสายดังขึ้น เป็เสียงของศิลาเพราะเ้าตัวโทรมาเล่าให้พี่ชายฟังเื่ที่น้ำหนึ่งรู้ความสัมพันธ์ของตัวเองกับปัณณวีร์แล้ว
“เพิ่งล้างไปเอง สงสัยจะมีคนนินทามากกว่า แล้วก็ไม่ต้องกังวลไปหรอก น้ำหนึ่งกับวีร์เป็เพื่อนกันมานาน ก็คงจะโกรธจะงอนกันแต่เดี๋ยวก็เคลียร์กันได้”
[พี่ว่าเราจะปิดเป็ความลับได้อีกนานแค่ไหน]
“ตอบยาก ความลับไม่มีในโลกหรอก แต่มันก็ใช่ว่าจะปิดไว้ให้นานที่สุดไม่ได้ คิดมากหรอ”
[แค่กลัวน่ะ...] ศรุตฟังน้ำเสียงของน้องชายก็พอจะรู้ ก็ไม่แปลกหรอกถ้าจะกลัวเพราะเราเองก็ไม่รู้ว่าเื่นี้จะส่งผลกระทบต่ออะไรบ้าง
“กลัวอะไรเป็ด้วยงั้นหรอ ไหนๆ น้ำหนึ่งก็อยู่ที่คอนโดวีร์แล้ว เราก็มากินหม้อไฟกันหน่อยไหม”
[อยากอยู่กับพี่วีร์สองคน] คำตอบของน้องชายทำเอาศรุตคิ้วกระตุก
“ให้มันน้อยๆ หน่อย อยู่กับพี่บ้างเนอะ เพื่อนก็ใช่ว่าจะมี” ใช่ นอกจากปัณณวีร์และศรุตแล้ว ศิลาไม่มีเพื่อนคนไหนเลยที่เขาสนิทด้วย เพราะเขาไม่ค่อยชอบไปไหนมาไหนกับเพื่อนคนอื่นๆ เรียกว่าเข้ากับคนได้ยากก็ได้ ยิ่งพอมาเป็ดาราก็ทำให้ไม่ได้ออกไปไหนเลย เขาจึงไม่มีเพื่อน
[มีแค่พี่วีร์ก็พอแล้ว]
“หมั่นไส้นะเอาจริง ไม่รู้แหละวันนี้อยากกิน เอาเป็ชาบูหม่าล่าเป็ไงเดี๋ยวแวะซื้อเข้าไปเลย”
[ผมบอกว่าไม่กินไง พี่ไม่ต้องมาเลย อีกอย่างนะอากาศร้อนจะตาย มาชวนกินอะไรร้อนๆ เผ็ดๆ อีกต่างหาก] ศิลาสถาปนาพี่ชายของเขาให้เป็คนที่หน้าด้านที่สุดก็ว่าได้ เพราะอีกฝ่ายไม่เคยจะฟังในสิ่งที่เขาคัดค้านเลย
“แล้วไง วีร์มันอยากกินเชื่อดิ แล้วเจอกันเดี๋ยวโทรบอกวีร์เอง”
[เดี๋ยว....] ศรุตกดวางสายทันทีโดยไม่ให้อีกฝ่ายได้พูดอะไรแล้วยิ้มออกมาอย่างนึกสนุกที่ได้แกล้งน้องชายหน้าตาย คงจะมีแต่เื่ปัณณวีร์นี่แหละที่เอามาแกล้งศิลาได้
ห้องที่ใช้ในการกินชาบูครั้งนี้ก็เป็ห้องของศิลา กลิ่นหอมของน้ำซุปลอยอบอวลไปทั่ว ทุกคนต่างเอ็นจอยกับการกิน คงจะมีแต่เ้าของห้องอย่างศิลามองพี่ชายตัวดีที่ชอบมาขัดเวลาที่เขา้าอยู่กับปัณณวีร์สองต่อสอง คนถูกมองก็ไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไรและนิสัยของสองพี่น้องก็แตกต่างกันอย่างกับอะไร คนพี่ชอบกินเผ็ด แต่คนน้องกินเผ็ดไม่ได้ จึงต้องมีหม้อน้ำซุปแยกของศิลาต่างหาก
หลังจากกินเสร็จเรียบร้อยแล้วเป็เวลาเกือบๆ จะสองทุ่ม ศิลาก็ไล่ให้พี่ชายกลับทันที โดยบอกให้ไปส่งน้ำหนึ่งด้วยเนื่องจากน้ำหนึ่งไม่ได้เอารถมาเอง เขาให้ผู้จัดการมาส่งและค่อยให้มารับตอนจะกลับ แต่ศิลาให้พี่ชายไปส่งแบบนี้ก็เหมือนเป็การไล่ให้กลับทางอ้อม
“กลับก่อนละ มีคนไม่อยากให้อยู่เป็ก้างขวางคอ” น้ำหนึ่งแอบกระซิบกับปัณณวีร์ ซึ่งปัณณวีร์เองก็เข้าใจศิลา เพราะเวลาที่พวกเขาได้อยู่ด้วยกันตามประสาคนรักนั้นมีเพียงแค่่เวลากลางคืน และก็บางคืนเท่านั้น เพราะบางวันศิลาต้องกลับไปนอนที่บ้าน
“กลับดีๆ ฝากส่งให้ถึงที่ด้วยนะศรุต” ปัณณวีร์เอ่ยขึ้น แอบคิดอยู่เหมือนกันว่าสองคนนี้จะเถียงกันไปตลอดทางไหม หากถามว่าจะเถียงเื่อะไรกันนั้นก็ต้องบอกเลยว่าเถียงได้ทุกเื่ แม้แต่เมื่อครู่ที่กินชาบูกันอยู่นั้นทั้งสองก็เถียงกันว่าเนื้อหรือหมูที่อร่อยกว่ากัน ดูแล้วเหมือนจะไม่ถูกกันแต่ปัณณวีร์คิดว่าสองคนนี้ก็แค่อยากเถียงชนะกันก็เท่านั้น เหมือนเด็กน้อยสองคนมากกว่า
“จะส่งให้ถึงคอนโดอย่างปลอดภัยเลย แต่ไม่กลัวเป็ข่าวแน่นะเกิดมีคนเห็นว่าดาราสาวสวยลงจากรถฉัน”
“เป็ข่าวกับนายเนี่ยฉันไม่กลัวหรอก แก้ข่าวได้สบายๆ อยู่แล้ว อีกอย่างนะระดับฉันไม่เอาผู้ชายอย่างนายมาควงหรอก อย่างมากก็เป็คนขับรถให้นั่นแหละ”
“คนขับรถงั้นหรอ นี่น้ำหนึ่ง ยัยบ๊อง!” ศรุตไม่เคยจะเจอผู้หญิงคนไหนที่ปากร้ายเท่านี้มาก่อน พอพูดจบก็ชิงเดินหนีไปก่อนซะอย่างนั้น
“กลับดีๆ นะ” ปัณณวีร์บอกกับเพื่อน
“ไม่ลงไปส่งนะมีคีย์การ์ดอยู่ เชิญ” ศิลาผายมือไปทางลิฟต์ที่ตอนนี้น้ำหนึ่งยืนรออยู่เพราะต้องใช้คีย์การ์ดในการกดลิฟต์ซึ่งตัวเธอไม่มี
“นี่ก็ไล่เก่ง” ปัณณวีร์ขำเบาๆ กับท่าทีของพ่อหนุ่มเพลย์บอยที่ไม่ใช่แค่ฉายาอย่างศิลาเดินไปที่ลิฟต์
“สองคนนี้เถียงกันเก่ง ไม่ใช่ว่าสุดท้ายลงเอยกันเองหรอกนะ” ปัณณวีร์พูดขึ้นเพราะเขาเองก็รอดูมานานแล้วเหมือนกันคู่นี้ ทั้งสองยืนอยู่หน้าประตูห้อง
“ก็ให้เป็เื่ของทั้งสองคนเถอะครับ”
“นั่นสินะ เราไปจัดการเื่ของเราดีกว่า” คนพี่เงยหน้าเล็กน้อยเพื่อสบตา ศิลายิ้มมุมปากก่อนจะถามขึ้นพร้อมกับมือที่ยกขึ้นมากอดเอวบาง
“เื่ของเรา อะไรครับ” ในหัวของศิลาคิดว่าจะเป็เื่บนเตียงและคิดว่าอีกฝ่ายคงคิดเหมือนกันจึงแกล้งถามราวกับไม่รู้ แต่พอปัณณวีร์ตอบกลับมาก็ทำเอาศิลาเบรกความคิดของตัวเองแทบไม่ทัน
“ล้างจานไง เต็มโต๊ะเลยนั่น” ในใจปัณณวีร์แอบขำกับสีหน้าของอีกฝ่ายเพราะรู้ว่าศิลาคิดอะไรอยู่ “ไปเถอะ พี่จะช่วยล้าง”
ศิลาแกล้งถอนหายใจอย่างเหนื่อยๆ เมื่อถูกคนพี่ลากกลับเข้าไปในห้อง “ล้างจากเสร็จพี่ต้องให้รางวัลผมนะรู้ไหม”
“ได้ๆ พี่จะอ่านนิทานให้ฟังก่อนนอนดีไหม”
“ผมไม่ใช่เด็กซะหน่อย” ทั้งสองพูดคุยหยอกล้อกันไปและช่วยกันเก็บจาน ล้างทำความสะอาดพร้อมกับฉีดสเปรย์ดับกลิ่นของอาหาร กว่าจะเสร็จก็เล่นเอาเหนื่อยเหมือนกัน
การเวิร์คช็อปผ่านไปได้ด้วยดี นักแสดงทุกคนมีการเรียนเพิ่มเติมของตัวเองอยู่แล้ว บวกกับบทที่มีผู้กำกับมาตีความให้เข้าใจลึกซึ้งอีกก็ไม่ยากอะไรเลยจึงใช้เวลาแค่ 3 วันเท่านั้น เพราะตัวนักแสดงเองก็มีไปเรียนการแสดงของตัวเองเพิ่มอยู่แล้ว หลังจากนั้นก็เป็การเตรียมเพื่อทำพิธีบวงสรวงที่จะจัดขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ โดยสถานที่จัดพิธีคือลานกว้างข้างตึกเจทีเอ็น เอ็นเตอร์เทนเมนท์
ซึ่งงานนี้ตัวปัณณวีร์รับผิดชอบในการเตรียมของไหว้เองไม่ว่าจะผลไม้หรือขนมหวาน ยิ่งใกล้วันงานก็ยิ่งยุ่ง ปัณณวีร์กับศิลาไม่ได้เจอกันอีกเลยั้แ่วันนั้น จะมีก็แต่เจอหน้ากันที่บริษัทหรือวิดีโอคอลหากัน เพราะศิลากลับไปนอนที่บ้านและมีงานตลอดทุกวัน ผ่านอาทิตย์นี้ไปจึงเป็อาทิตย์ที่เขาว่างงาน ก่อนจะเริ่มเปิดกล้องละครเื่นี้ของปัณณวีร์ แต่แม้ไม่ได้มาเจอกันก็ไม่ได้ทำให้ทั้งคู่ดูห่างเหินกันเลย กลับทำให้คิดถึงกันมากขึ้นซะอีก ว่ากันว่าห่างกันบ้างเพื่อให้ความคิดถึงได้ทำงานของมันท่าจะจริง
ระหว่างนั้นศิลากับนับดาวก็มีมานั่งไลฟ์สดกันที่ตึกบริษัทบ้างเมื่อเริ่มปล่อยภาพโปรโมทออกมา แม้เื่นี้จะเป็เื่แรกของนับดาวแต่เพราะก่อนหน้าเธอก็เป็ไอดอลมาก่อน ซึ่งก็มีคนติดตามเธอไม่น้อยเหมือนกัน นอกจากจะไลฟ์คู่กันแล้วก็ยังมีการไลฟ์พูดคุยกันผ่านช่องทางของตนเองอย่างเช่นอินสตาแกรมบ้าง ซึ่งตัวศิลาเองก็เหมือนมานั่งหล่อเฉยๆ และตอบคำถามที่ดารินอ่านให้ฟัง แค่นี้ก็ทำให้คนเข้ามาดูเยอะแล้ว หรือต่อให้เข้ามาดูแค่ภาพเคลื่อนไหวของดาราหนุ่มที่นานๆ ทีจะมาไลฟ์ก็ถือว่าคุ้ม
“ผมอยากรู้ว่าคนที่เขาพูดคนเดียวได้ในไลฟ์ต้องทำยังไง” เพราะศิลาเป็คนพูดไม่ค่อยเก่ง ถ้าให้พูดเองตัวเขาทำไม่ได้เลย แต่ที่แสดงละครได้นั้นเพราะมันมีบทให้เขาได้อ่าน เขาไม่ได้นึกคำพูดเอง และยิ่งให้คุยกับคนที่ไม่ได้สนิทเขายิ่งไม่ค่อยถนัดไปใหญ่ ดังนั้นทุกครั้งที่มาไลฟ์ ศิลาจะไลฟ์แค่ 15-20 นาทีเท่านั้น
“มันก็ต้องฝึกแหละ ศิลาไม่ค่อยพูดมันก็จะดูเหมือนยาก แต่ไม่ต้องคิดมากหรอกมีพี่อยู่” ดารินเข้าใจศิลาดี เผลอๆ เขาอาจจะเข้าใจศิลาได้ดีกว่ากนกผู้ที่เป็แม่ก็ได้
“ผมอยากลองทำอย่างอื่นด้วย ไม่อยากจำกัดตัวเองให้อยู่แค่ในเซฟโซนของตัวเอง ไม่อย่างนั้นตัวผมจะพัฒนาไปไกลได้ยังไง” ผู้จัดการส่วนตัวถึงกับอึ้งเล็กน้อยเมื่อเห็นศิลาคิดได้แบบนี้ เพราะเมื่อก่อนเ้าตัวมักจะบอกเสมอว่าถ้างานไหนไม่ชอบหรือไม่ใช่ตัวเขา เขาจะไม่ฝืนทำ อย่างเช่นไปเป็พิธีกรในรายการวาไรตี้ต่างๆ หรือไปเป็แขกรับเชิญ เพราะมันต้องยิ้มแย้มสนุกสนานซึ่งศิลาไม่ใช่คนที่จะทำอะไรแบบนั้นเลย
“คิดอะไรอยู่ ั้แ่กลับมาจากฟาร์มพี่ว่าศิดูเปลี่ยนไปนะ หมายถึงในแง่ของความคิดน่ะ” ศิลาเคยบอกกับดารินเองว่าการที่เขามาเป็ดาราก็เพราะปัณณวีร์ เขาอยากจะอยู่ในสายตาของปัณณวีร์ อยากจะโดดเด่นให้อีกคนได้เห็นเขา ไม่เคยคิดว่าจะทำอาชีพนี้ให้ไปถึงจุดสูงสุดเลย แต่ตอนนี้ดูเหมือนศิลาจะให้ความสำคัญกับมันมากขึ้น
“ผมอยากเป็คนที่มีความสามารถมากพอ เป็ที่ยอมรับมากพอจากใจจริงของทุกคน ผมรู้ว่าทุกวันนี้ก็ยังมีคนที่ไม่ชอบผม และนินทาผมว่าดังมาได้เพราะครอบครัวดัน ผมอยากจะทำให้พวกเขาเห็นว่าตัวผมมีความสามารถมาได้เพราะตัวผมเอง และอีกอย่าง สังคมนี้ก็มักยอมรับคนจากความสามารถและฐานะไม่ใช่หรอครับ”
“ศิลาพูดอะไรเนี่ย” แม้มันจะเป็เื่จริงแต่ดารินก็ไม่อยากให้น้องพูดออกมา
“ก็มันจริงหนิ” ประโยคที่อ้นพูดกับเขาในตอนนั้น ศิลายังจำมันได้ดี “จุดสูงสุดของการเป็ดารามันอยู่ที่ตรงไหนหรอครับ”
เป็ประโยคที่ดารินเองก็คิดหนักและไม่อาจจะตอบศิลาได้เช่นเดียวกัน เพราะมันไม่มีกฎเกณฑ์กำหนดตายตัวว่าต้องเป็แบบไหนถึงจะเรียกว่าไปถึงจุดสูงสุด อาจจะต้องมีชื่อเสียงมากระดับประเทศหรือระดับโลกกัน
“ศิลาเขาอาจจะเครียดเื่งานด้วยแหละครับ ่นี้พี่ดาก็อย่ารับงานให้เขาเยอะเลย” ดารินโทรมาเล่าให้ปัณณวีร์ฟัง
[พี่ไม่ได้อยากรับนักหรอก แต่ศิลาน่ะสิ พอดูงานแล้วเป็สิ่งที่เขาไม่เคยทำเขาก็บอกอยากจะทำดู คิวงานยาวมากตอนนี้ จนพี่คิดว่าจะหาเงินแต่งเมียรึไงกันนะ]
“ฮ่าๆๆ พี่ก็ว่าไป เขาก็คงอยากจะทำอะไรที่ตัวเองไม่เคยทำจริงๆ นั่นแหละครับ มันก็ดีแล้วไม่ใช่หรอครับ”
[มันก็ดีอยู่หรอก แต่กลัวเขาจะเหนื่อย]
“เดี๋ยวผมจะลองคุยกับเขาดูหน่อยก็แล้วกันครับ”
[ก็คงจะมีแต่วีร์ละมั้งที่ศิยอมคุยได้ทุกเื่น่ะ] ปัณณวีร์เผลอยิ้มออกมา
“กับพี่เขาก็บอก ฝากดูแลเขาดีๆ นะครับ ่นี้ก็ยุ่งกันทั้งสองเลยไม่ค่อยได้เจอกัน”
[ไม่ต้องห่วงๆ] หลังจากวางสายแล้วปัณณวีร์ก็ไปตรวจดูผลไม้ที่เพิ่งเอามาส่งว่ามีตกหล่นหรือไม่ วันงานจะได้ไม่ขาดอะไร
เมื่อถึงวันบวงสรวง ทุกคนก็ใส่เสื้อยืดสีขาวที่มีชื่อละครอยู่ตรงกลาง ไม่ว่าจะเป็นักแสดง ผู้จัด ผู้กำกับและทีมงานทุกคนที่มาร่วมพิธีในเช้าวันนี้ ซึ่งอากาศก็ดูจะเป็ใจมาก แดดไม่แรงมีลมพัดเย็นสบาย ความสูงของตึกก็บังแสงแดดไว้พอดิบพอดี โต๊ะวางของบูชาเต็มไปด้วยผลไม้มากมาย ของคาวของหวานเต็มไปหมด
เมื่อถึงเวลาทำพิธีศิลาก็เนียนมายืนข้างปัณณวีร์โดยมีนับดาวยืนข้างๆ อีกที ทั้งสองเพียงสบตากันเล็กน้อยแล้วเอ่ยถามกันเหมือนคนรู้จักทั่วไปเท่านั้น ไม่เหมือนคนเป็แฟนกันเลยสักนิด ทำเอาดารินที่มองอยู่นั้นนึกใจว่าหากปัณณวีร์มาแสดงละครก็คงจะรุ่งเพราะเล่นได้แเีมาก
หลังทำพิธีเสร็จ ทุกคนก็ต้องเข้าไปหยิบของไหว้ต่างๆ ไปกินหรือเป็ของมงคลติดตัวไป ซึ่งของตรงหน้านั้นมากพอที่จะให้ทุกๆ คนได้เพราะไม่ได้หยิบกันไปเยอะ จากนั้นก็มีการถ่ายรูปรวมเหล่านักแสดงและผู้จัดการจะมีการให้สัมภาษณ์ตามมาถึงเื่ราวของละคร
กนกยืนดูอยู่ห่างๆ อยู่บนชั้นสอง ในขณะที่ลูกชายยืนให้สัมภาษณ์กับนักข่าวและมีนับดาวอยู่ข้างๆ ระหว่างนั้นก็ได้ยินเสียงคุยกันของพนักงานที่พูดคุยกันตามประสา แต่มันกลับทำให้กนกได้ยินและเผลอคิดตาม
'ฉันได้ยินช่างแต่งหน้าเขาเม้ากันนะว่าน้องลันกับน้องธารเขาแอบคบกัน'
'ถึงว่าแหละน้องลันเขาดูไม่สนใจผู้หญิงเลย มีข่าวกับผู้หญิงคือออกมาปฏิเสธตลอด แต่พอเป็ข่าวลือเกี่ยวกับน้องธารไม่เห็นอะไร'
'เขาอาจจะทำเพราะสร้างกระแสคู่จิ้นให้อยู่นานๆ ก็ได้ป่ะ'
'ละครก็จบไปหลายเดือนแล้วนะ ยังจะสร้างกระแสต่ออีกหรอ'
'ก็น่าคิดนะ แล้วถ้าแอบคบกันจริงเป็เพราะว่าเล่นละครด้วยกันเลยปิ๊งกันนอกจอหรอหรือว่าเป็เกย์กันก่อนหน้าอยู่แล้วล่ะ' ลันกับธารเป็นักแสดงที่แสดงเื่ชายรักชายของปัณณวีร์ที่ผ่านมาและได้เซ็นสัญญากับทางช่อง เรียกได้ว่าเป็คู่จิ้นคู่แรกของเจทีเอ็น เอ็นเตอร์เทนเมนท์เลยก็ว่าได้
'นี่ว่าน่าจะเป็เกย์ก่อนหน้านั้นแล้วละมั้ง ไม่งั้นจะกล้ารับเล่นหรอ' เธอพูดออกมาเพียงแค่ใช้ความคิดเห็นส่วนตัวของตนเอง โดยไม่ได้สนใจเลยว่าความจริงจะเป็ยังไง นักแสดงที่รับเล่นบทชายรักชายใช่ว่าเป็แบบนั้นซะที่ไหน
'ท่าทางดูไม่เหมือนเลยนะ'
'ใครจะกล้าแสดงออกเยอะละว่าชอบผู้ชาย กำลังจะดังนะ' กนกหันไปมองสองคนที่ยืนคุยกันอยู่แม้ไม่ดังแต่เธอก็ได้ยิน เมื่อทั้งสองเห็นกนกก็รีบเม้มปากเข้าหากันแล้วเดินหนีไปเพราะกลัวจะถูกดุเนื่องจากเห็นว่ากนกนั้นออกตัวว่าสนับสนุนกลุ่ม LGBTQ
กนกคิดตามที่ทั้งสองพูดแล้วก็ทำให้ต้องหันมองลูกชายตัวเองอีกครั้ง เพราะศิลาเองก็แสดงออกมาตลอดว่าไม่สนใจเื่ความรักไม่สนใจผู้หญิงเลย และตัวเธอเองไม่เคยคิดถึงเหตุผลข้อนี้
ถึงอย่างนั้นกนกก็ไม่ได้ปักใจเชื่อเลยทีเดียวว่าลูกชายจะชอบผู้ชายเพียงเพราะได้ยินพนักงานคุยกันถึงคู่จิ้นที่อาจจะเป็คู่จริงอย่างอลันและธาร ยังคงบอกกับตัวเองว่าแค่ลูกไม่ได้สนใจผู้หญิงที่เธอเลือกมาให้ไม่ใช่ว่าจะเป็เกย์ซะหน่อย
และศิลาจะชอบผู้ชายจริงหรือไม่นั้น ตัวเธอย่อมต้องมีวิธีพิสูจน์อย่างแน่นอน...
TBC.