ตอนที่ 9
“คุณคะ ฉันมีเื่อยากจะถามคุณหน่อย” กนกนั่งทาครีมอยู่ที่โต๊ะเครื่องแป้งพูดขึ้น มองผู้เป็สามีผ่านกระจก ในขณะที่อาธิปนั่งพิงหัวเตียงอ่านหนังสืออยู่
“ว่ามาสิครับ” อาธิปตอบกลับมาโดยไม่ได้เงยหน้าสบตาคู่สนทนา
“คุณคิดว่าเพราะอะไรลูกเราถึงยังไม่อยากมีแฟน หรือว่าเขาไม่สนใจผู้หญิงเพราะอะไร” คำถามที่เอ่ยถามขึ้นนั้นทำให้อาธิปละสายตาจากหนังสือมาที่คนถาม กนกยังคงนวดเนื้อครีมให้เข้ากับใบหน้าและรอฟังคำตอบอยู่
“มันก็ไม่ใช่เื่น่าแปลกนะคุณนก” นก เป็ชื่อเล่นที่อาธิปใช้เรียกภรรยาเวลาที่อยู่กันตามลำพัง “ใช่ว่าผู้ชายทุกคนจะชอบและสนใจผู้หญิงนะ ถ้าผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่คนที่เขาถูกใจจริงๆ ศิลาก็อาจจะมีสเปคในใจตัวเองแล้วเพียงแต่ไม่เจอคนคนนั้น”
“ฉันคงจะคิดมากไปเอง...” เธอพูดพึมพำกับตัวเอง เพราะเื่วันนี้ที่มันกวนใจเธออยู่ “คุณว่าศิลาเหมือนเกย์ไหมคะ”
อาธิปที่กำลังจะก้มอ่านหนังสืออีกครั้งชะงักไปก่อนจะปิดหนังสือ วางลงที่โต๊ะข้างหัวเตียงและเดินไปหาภรรยาที่หน้ากระจก มือหนาบีบไหล่ให้เธอเบาๆ เพื่อให้รู้สึกผ่อนคลายก่อนจะถามขึ้น
“อะไรทำให้คุณคิดแบบนั้น หรือเพราะลูกไม่สนใจผู้หญิงงั้นหรอ”
“ค่ะ มันก็อดคิดไม่ได้จริงๆ หนิคะ” เธอมองสามีผ่านกระจก
“แล้วถ้าสมมุตินะ สมมุติว่าลูกชอบผู้ชายไม่ได้ชอบผู้หญิงล่ะ” สิ่งที่สองสามีภรรยาคุยกันในวันนี้เป็เพียงการคิดไปเองก่อนทั้งนั้นเพราะไม่ได้รู้ความจริงเลยว่าเป็ยังไง แม้เื่ที่สมมุติกันนั้นจะเป็เื่จริง
“ฉัน...” กนกยังนึกไม่ออกว่าตัวเธอจะรู้สึกยังถ้าเป็เช่นนั้น ก่อนจะพูดออกไป “ฉันคิดว่าฉันคงรับไม่ได้หรอกค่ะ”
“ทำไมล่ะ คุณเองก็สนับสนุนกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศในสังคมไม่ใช่หรอ” อาธิปถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเสมอกับคนรัก
“ฉันสนับสนุนคนเ่าั้ก็จริง แต่ถ้าเป็ลูกเราฉัน ... ฉันยังทำใจรับไม่ได้หรอกค่ะ” กนกเลือกจะพูดตามตรง เพราะระหว่างเธอกับอาธิปไม่มีอะไรที่ต้องเป็ความลับอยู่แล้ว ซึ่งอาธิปก็พอจะเดาคำตอบของภรรยาได้อยู่
“เพราะอะไรครับ” อาธิปเลือกที่จะใช้คำถามตอบกลับกนก ให้อีกฝ่ายได้คิดว่าเพราะอะไร ติดที่ตรงไหน กนกนิ่งงั้นไปพักใหญ่ ราวกับกำลังคิดกับตัวเองว่าเพราะอะไรถึงรับไม่ได้
“ความรักแบบนั้น คุณคิดว่ามันจะมั่นคงจริงหรอคะ ฉันเห็นหลายๆ คู่ก็ไม่ได้ยืนยาวเลย”
“เื่นี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเพศซะหน่อย ขึ้นอยู่ที่ตัวของบุคคลต่างหาก” ตัวอาธิปเองเป็นักเขียนอิสระ เขาอ่านหนังสือมาเยอะเหมือนกันไม่ว่าจะหนังสืออะไร มีหลายอย่างที่ได้จากหนังสือที่ตัวเขาไม่มีโอกาสจะได้ััมันเองกับตัวก็คือความรักระหว่างผู้ชายกับผู้ชาย
หนังสือเล่มนั้นเป็ของนักเขียนชาวต่างชาติที่ถูกแปลเป็ไทยมา เป็เื่ราวของตัวเขาที่เขาอยากจะเขียนและเล่าเื่ราวให้ผู้อื่นได้รู้ เพราะเขาเป็คนกลุ่มน้อยที่รักเพศเดียวกัน หนังสือเล่มนี้โด่งหลังจากที่เขาเสียชีวิตไปแล้ว คนที่อ่านมันต่างก็นับถือในความรักของพวกเขาสองคนที่ต้องแลกอะไรมากมายเพื่อจะได้อยู่ด้วยกัน พวกเขาอยู่ด้วยกันจนอีกฝ่ายจากไปเพราะโรคร้าย และตัวเขาก็สัญญาว่าจะไม่รักใครอีกเลย เขาใช้ชีวิตต่ออีกเกือบ 10 ปีก่อนจะลาโลกนี้ไป
หนังสือเล่มนี้ทำให้อาธิปรับรู้ได้ว่าคนเขียน้าจะสื่ออะไร ้าจะบอกให้ทุกคนได้รู้ว่าความรักระหว่างเพศเดียวกันของพวกเขานั้นไม่ผิด ตัวอาธิปเปิดใจกับเื่นี้อยู่แล้ว แต่กับภรรยาของเขานั้นไม่ใช่
“เห้ออ ... เราอย่าเพิ่งพูดเื่นี้กันดีกว่า ฉันอาจจะคิดมากไปเองนั่นแหละ” เธอเลือกจะไม่พูดถึง เลือกจะไม่สงสัยเพราะกลัวว่าถ้ายิ่งสงสัยยิ่งจะเป็ความจริง
“คุณก็อย่าไปคิดมาก ชีวิตลูกเขาโตแล้ว ให้เขาได้เลือกของเขาเองเถอะ” อาธิปพูดอ้อมๆ บอกกับภรรยา ไม่ใช่แค่เื่แฟนแต่เขาพูดเผื่อเื่ที่กนกกังวลอยู่ด้วย
“ค่ะ” เธอรับคำด้วยรอยยิ้มก่อนจะหันไปจับมือสามีแล้วจับจูงกันไปนอนที่เตียง ไม่รู้ว่าที่ตอบรับนั้นเข้าใจจริงๆ หรือเปล่า
หลังจากพิธีบวงสรวงไปเกือบสองอาทิตย์ก็ถึงเวลาเปิดกล้องละคร ทุกคนขยันขันแข็งกันเต็มที่ ซึ่งวันแรกนี้มาถ่ายกันที่บ้านที่เช่าเอาไว้ เป็ฉากที่อยู่ในบ้านซึ่งก็มีหลายคนที่ต้องเข้าซีน นักแสดงหลายคนเป็นักแสดงอิสระ แต่วันนี้เป็วันที่มีนักแสดงรุ่นใหญ่ของทางช่องมาร่วมด้วย ก็สร้างความตื่นเต้นให้นักแสดงไม่น้อย
“น้องเขาดูเกร็งๆ นะครับว่าไหม” ปัณณวีร์ที่นั่งอยู่หน้าจอมอนิเตอร์พูดกับผู้กำกับ ทั้งสองช่วยกันดู ทำงานด้วยกันอย่างเข้าขาเพราะนี่เป็เื่ที่สองแล้วที่ทำงานร่วมกันมาจึงทำให้สนิทกว่ารอบแรกนัก
“พี่ว่าน้องเขายังเกร็งเพราะคุณพรเป็ดารารุ่นใหญ่ เด็กหลายคนที่ไม่เคยเจอนักแสดงรุ่นใหญ่ก็เป็แบบนี้กันธรรมดา”
“พี่คิดว่าไง ให้น้องพักผ่อนไหม” เพราะถ่ายมาหลายเทคแล้ว ปัณณวีร์เห็นว่าอาจจะต้องให้น้องไปทำความคุ้นชินกับดารารุ่นใหญ่ก่อน
“เห็นด้วยนะ” ผู้กำกับสั่งคัทก่อนจะลุกเดินไปหานักแสดงทั้งสองคน ปัณณวีร์ยังคงนั่งอยู่ที่เดิมเปิดดูฉากต่อไปที่สามารถนำมาถ่ายต่อได้
“น้ำค่ะคุณวีร์” เสียงผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นมาระหว่างนั้นทำให้ปัณณวีร์เงยหน้ามองก่อนจะยิ้มให้เมื่อเห็นว่าเป็ผู้จัดการส่วนตัวของนับดาว
“อ่อ ขอบคุณนะครับ” ปัณณวีร์รับน้ำชาเย็นมาเป็เครื่องดื่มจากร้านดังที่ใครๆ ก็รู้จักและราคาก็ถือว่าสูงอยู่เหมือนกัน
“แก้วนี้ฝากไว้ให้คุณผู้กำกับด้วยนะคะ” เป็ชาเขียวอีกแก้วหนึ่ง ปัณณวีร์จึงรับไว้แล้วเอาวางไว้ที่โต๊ะข้างๆ ตัวเอง ระหว่างเก้าอี้เขากับเก้าอี้ผู้กำกับ
“ขอบคุณมากนะครับ” ปัณณวีร์เอ่ยขอบคุณอีกรอบ
“ไม่เป็ไรค่ะ เป็น้องนับดาวที่สั่งมาให้ทุกคนค่ะ งานแรกของน้องยังไงก็ฝากน้องด้วยนะคะ” เธอพูดด้วยรอยยิ้มพร้อมมองปัณณวีร์ตาหวานจนปัณณวีร์รู้สึกขนลุกแปลกๆ
“ครับ ครั้งหน้าไม่ต้องก็ได้นะครับ มันแพงพวกเราเกรงใจ”
“ไม่เป็ไรหรอกค่ะ น้องดาวอยากให้ทุกคนดื่มของดีๆ น่ะค่ะ” ปัณณวีร์ไม่รู้จะพูดอะไรต่อทำเพียงยิ้มให้แล้วทำท่าก้มอ่านบทในมือ ไม่นานเธอก็เดินจากไป ปัณณวีร์มองแก้วชาเย็นก็ไม่รู้จะเอาไปให้ใครดื่มเพราะตัวเขาไม่ดื่มชาเย็น
“น้ำเปล่าดีกว่าครับ” ศิลาเดินมาพร้อมกับผู้จัดการส่วนตัวอย่างดารินพร้อมกับยื่นขวดน้ำเปล่าให้กับคนพี่ “แลกกัน”
ปัณณวีร์มองแวบหนึ่งก่อนจะเอาชาเย็นแลกกับน้ำเปล่า เพราะศิลารู้ว่าคนพี่ไม่ดื่มชาเย็น หากไม่ดื่มหน่อยก็จะเสียมารยาท ร่างสูงนั่งลงข้างๆ คนพี่และมีดารินนั่งด้วยจึงไม่ได้ผิดปกติอะไร
“ครั้งหน้าถ้าพี่ไม่ชอบพี่ก็บอกไปบ้างนะครับ” ศิลาพูดขึ้นเสียงเบา
“รู้แล้วครับ เดี๋ยวเตรียมตัวเลยนะเข้าฉากต่อเลย” ระหว่างรอเซทฉากอยู่นั้นศิลาก็นั่งอ่านบทไปไม่ได้ให้ความสนใจคนพี่อะไรมาก ทำเหมือนดารากับผู้จัดทั่วไป หลังผู้กำกับเดินกลับมาก็คุยกับปัณณวีร์ครู่หนึ่งก่อนจะให้เริ่มซีนต่อไปที่ศิลาเข้าแสดงกับนักแสดงชายอีกคนหนึ่ง
วันแรกของการถ่ายก็ผ่านไปได้ด้วยดี ทุกอย่างเป็ไปตามที่วางแผนเอาไว้และมีถ่ายวันพรุ่งนี้กับมะรืนอีกเป็สองวัน เวลาเลิกกองของพวกเขาวันนี้ 18 นาฬิกา ทุกคนแยกย้ายกันกลับไปพักผ่อนเนื่องจากพรุ่งนี้ต้องมาทำงานกันต่อซึ่งการถ่ายทำวันหนึ่งนั้นไม่ใช่งานเบาๆ เลย ่ที่มีงานติดกันหลายวันนั้นศิลาจะมาพักที่คอนโดซึ่งก็เป็โอกาสที่พวกเขาจะได้อยู่ด้วยกัน เช่นวันนี้ที่เลิกงาน ศิลาก็กลับคอนโดไปก่อน ปัณณวีร์มีประชุมแผนวันพรุ่งนี้กับหัวหน้าแต่ละแผนกต่อก่อน กว่าจะกลับมาถึงก็เกือบสองทุ่มเพราะรถที่ติดอีกทำให้การเดินทางล่าช้า
“ผมชอบเวลาที่พี่ทำงานมากเลย ดูมีเสน่ห์ดี”
“แอบมองหรอ” ปัณณวีร์มองด้วยรอยยิ้มก่อนจะตักข้าวเข้าปาก
“แน่นอนสิ พี่แอบมองผมบ้างไหม” ศิลาที่ทานข้าวเย็นไปแล้วแต่ก็มานั่งเฝ้าคนพี่เพราะเขาต้องดูแลหุ่นจึงต้องทานให้เป็เวลา ทำให้ต้องกินก่อนปัณณวีร์ซึ่งเื่นี้ปัณณวีร์ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว
“ไม่นะ” ปัณณวีร์พูดขณะเคี้ยวข้าวเต็มแก้มก่อนจะกลืนมันลงไปแล้วพูดต่อ “ไม่ได้แอบ มองตรงๆ เลย”
ศิลาเผยรอยยิ้มออกมาแล้วเอื้อมมือไปหยิกแก้มของปัณณวีร์อย่างมันเขี้ยว หากเป็คนอื่นที่พูดตอนเคี้ยวข้าวอยู่ศิลาคงจะมองว่าไม่มีมารยาท แต่พอเป็ปัณณวีร์ ทุกอย่างที่เขาไม่ชอบกลับเป็ข้อยกเว้นสำหรับปัณณวีร์แค่คนเดียวเท่านั้น
เช้าวันต่อมาของการถ่ายทำ ปัณณวีร์ออกจากคอนโดั้แ่ 6 โมงเช้าเพื่อจะมาเตรียมตัวก่อน เขากับชามาถึงที่กอง 7 โมงครึ่ง ทีมช่างไฟก็มาเตรียมไฟพร้อมแล้ว นักแสดงใหม่ที่ได้รับบทเป็ตัวละครในเื่ก็มากันแต่เช้า คงเพราะตื่นเต้นแต่นั่นก็เป็เื่ดี เพราะการมาก่อนเวลาหรือมาตรงเวลายังดีกว่ามาสาย ซึ่งวันนี้ศิลามีคิวถ่าย่บ่ายไปถึงดึกเนื่องจากมีคิวกลางคืนด้วยวันนี้จนถึงเที่ยงคืน
ศิลามาถึงใน่เที่ยงของวัน เขาซื้อข้าวมาทานที่กองด้วยเพราะกลัวว่าจะไม่ทัน เพราะยังไม่ได้แต่งหน้าเซ็ทผมอะไรเลย นอกจากจะซื้อข้าวของตัวเองแล้วยังซื้อข้าวอีกร้านมาฝากปัณณวีร์ด้วย แล้วทำเหมือนกับปัณณวีร์สั่งมาเองโดยการเอามาวางไว้ที่กองสวัสดิการและติดโพสอิทไว้เป็ชื่อของ ‘ปัณณวีร์’
"พี่วีร์สั่งข้าวมาหรอคะ ทีมงานเอามาให้ไม่เห็นพี่ไปเอาสักที กลัวว่าจะไม่ได้กินข้าว" ชาถือมาให้กับปัณณวีร์ที่กำลังนั่งพูดคุยกับผู้กำกับอยู่
"พี่หรอ" ปัณณวีร์ขมวดคิ้วเล็กน้อยแต่พอเห็นตัวหนังสือในโพสอิทก็รู้ว่าเป็ของดาริน คงเพราะตัวเขายังไม่ได้จับมือถือเลยก็เลยไม่เห็นข้อความของศิลาที่ส่งมาว่าซื้อข้าวมาฝาก
"อ่อใช่ๆ มาส่งนานยัง" ปัณณวีร์เออออไปกับชา
"สักพักแล้วค่ะพี่ พี่กับผู้กำกับทานข้าวกันก่อนเถอะค่ะ" ชาไม่ลืมที่จะถือมาให้ผู้กำกับด้วยพร้อมกับน้ำเปล่าคนละขวด หลังการทานอาหารเที่ยงเสร็จทุกคนก็ได้ของหวานเย็นชื่นใจจากเหล่าแฟนคลับของศิลาที่ได้มีฟู๊ดซัปพอร์ตมาให้ถึงหน้ากองถ่าย เป็รถไอศกรีมเคลื่อนที่ 4 คันเพียงพอต่อคนทั้งกองถ่ายแน่นอน
"แฟนคลับพี่ศิลานี่เปย์กันจังเลยอ่ะ น่ารักมากๆ เลยนะคะ" นับดาวพูดขึ้นเมื่อได้รับไอศกรีมจากผู้จัดการส่วนตัวที่ไปเอามาให้
ศิลานั่งให้ช่างทำผมอยู่ไม่ได้พูดตอบอะไรออกไปซึ่งนับดาวก็พอจะรู้อยู่แล้วกับท่าทีของอีกฝ่าย ไม่ใช่ครั้งแรกที่พูดด้วยแต่เขาไม่พูดกลับ จะมีแต่ให้ช่วยซ้อมต่อบทกันตามที่ปัณณวีร์หรือผู้กำกับบอกเท่านั้นที่ศิลาจะมานั่งต่อบทด้วย
ปัณณวีร์เดินเข้ามาในห้องแต่งตัวเพื่อมาดูความเรียบร้อย เห็นศิลานั่งอยู่และมองมาที่ตัวเองแวบหนึ่งจึงเดินเข้าไปหาแล้วเอ่ยถามขึ้น
"มาั้แ่เมื่อไหร่ กินข้าวรึยัง?" เป็คำถามที่คนภายนอกมองก็ไม่ได้มีอะไร เพราะปัณณวีร์เป็คนที่อัธยาศัยดีและห่วงใยคนอื่นแบบนี้เสมอ ไม่ใช่แค่กับนักแสดง แต่กับทีมงานเขาก็แสดงออกแบบนี้
"เรียบร้อยแล้วครับ" ศิลาก็ตอบแค่นั้นก่อนจะก้มอ่านบทต่อ แต่ใจจริงนั้นอยากจะดึงมาหอมแก้มให้หายคิดถึงไปเลย
"อร่อยไหมนับดาว ยังเหลืออีกนะแฟนคลับเอามาให้เยอะมาก ทานเยอะหน่อยเราผอมมากนะ" ปัณณวีร์เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม ศิลาเหลือบมองคนพี่และคิดในใจว่าควรจะบอกตัวเองเหมือนกันนั่นแหละว่าต้องกินเยอะๆ
"อร่อยค่ะ แต่ทานเยอะไม่ได้เดี๋ยวจะใส่ชุดไม่ได้เอาา" เธอตอบกลับพร้อมลูบท้องเบาๆ ปัณณวีร์คุยกับนักแสดงคนอื่นๆ เช่นเดียวกันเล็กน้อยและเข้าไปดูชุดที่ต้องใช้ในวันนี้ ก่อนจะออกไปเตรียมถ่าย
ผ่านไปสามวันกับการถ่ายทำ และพักกองอีก 3 วัน เริ่มถ่ายอีกครั้งเป็วันพฤหัส ศุกร์ เสาร์และอาทิตย์ ่พัก 3 วันนี้ก็ใช่ว่าจะเป็เวลาพักของปัณณวีร์เพราะเขาต้องเข้าออฟฟิศไปเตรียมงานเตรียมของต่างๆ ไว้อีก ผ่านมาสามวันนี้ทุกอย่างราบรื่นดีเป็ไปตามที่วางแผนเอาไว้หมดซึ่งมันทำให้การถ่ายทำเป็ไปได้เร็วแต่ก็เล่นเอาเหนื่อยไม่ใช่น้อยเหมือนกัน
"เหนื่อยไหมครับ" ศิลาเอ่ยถามหลังจากที่คนพี่ออกมาจากห้องนอนหลังอาบน้ำเสร็จ ปัณณวีร์พยักหน้าเบาๆ เดินทอดน่องมานั่งมานั่งบนตักศิลาที่นั่งดูหนังอยู่
"เหนื่อยยย แล้วดูอะไรอยู่"
"ผมอยากดูการแสดงของนักแสดงต่างชาติน่ะครับ เขาแสดงได้สมจริงมากๆ" ศิลากอดเอวคนพี่เอาไว้หลวมๆ
"ศิก็แสดงเก่ง เข้าถึงบทบาทได้ดีมาก สลัดภาพจำของพี่ที่เป็ศิลาออกไปได้อ่ะ" ปัณณวีร์ลูบผมศิลาเบาๆ ก่อนจะจูบปากหยักเบาๆ แล้วกอดคออีกฝ่ายไว้ซบหน้าลงกับไหล่เหมือนกำลังกอดเพื่อชาร์จแบต เป็แบบนี้ประจำเมื่อปัณณวีร์รู้สึกเหนื่อย ซึ่งศิลาก็รู้ดี นั่งกอดพี่ไว้นิ่งๆ แล้วดูหนังในจอทีวีขนาดใหญ่ไปปล่อยให้ปัณณวีร์นั่งอยู่แบบนี้สักพัก
ผ่านไปจนศิลาเผลอลืมไปเลยว่าปัณณวีร์นั่งอยู่บนตัก หลังจากละสายตาจากจอทีวีก็ค่อยๆ ชำเลืองมองปัณณวีร์ที่เหมือนจะทิ้งน้ำหนักตัวลงมาหมดราวกับคนหลับ และก็จริงอย่างที่คิดเพราะเ้าตัวนั้นหลับไปแล้ว หลับไปทั้งอย่างนั้นเหมือนกับเด็กน้อยแต่ก็สร้างความเอ็นดูให้ศิลาได้ดี
ศิลาอมยิ้มก่อนจะหยิบรีโมทขึ้นมาปิดทีวีแล้วค่อยๆ สอดมือข้างหนึ่งใต้ข้อพับขาของปัณณวีร์ อีกข้างก็เลื่อนขึ้นมาที่แผ่นหลัง ค่อยๆ ยกตัวอีกฝ่ายขึ้นแล้วลุกขึ้นตาม ปัณณวีร์ที่เพิ่งจะหลับไปนั้นรู้สึกตัวพอดีแต่ก็ไม่ทันแล้วเพราะศิลาอุ้มตัวเขาขึ้นมาแล้ว
"อืออ ศิ" ปัณณวีร์พูดอื้ออึงในลำคอเพราะถูกรบกวนการนอน
"นอนเถอะครับ ไม่ต้องกลัวตกผมจะพาไปนอนดีๆ" ศิลาอุ้มปัณณวีร์ได้สบายราวกับอีกคนตัวเบา แต่ปัณณวีร์ก็ตัวเบาจริงๆ นั่นแหละเพราะเ้าตัวหนักแค่ 58 เองหากเทียบกับน้ำหนักของผู้ชายทั่วไปถือว่าน้อยมาก
ศิลาค่อยๆ วางร่างบางลงบนเตียง ปัณณวีร์ที่กึ่งหลับกึ่งตื่นก็ขยับเข้าไปข้างในให้อีกเล็กน้อย ศิลาจึงขึ้นมานอนข้างๆ ด้วยพร้อมกับห่มผ้าให้เสร็จสรรพและกอดเอาไว้แน่นให้ความอุ่น
่เวลาพักกอง 3 วันนั้นศิลาก็ได้กลับไปนอนที่บ้าน 2 วัน การถ่ายทำวันนี้เปลี่ยนสถานที่เป็บ้านอีกหลังที่ติดต่อขอเช่าเอาไว้ ซึ่งใช้เป็บ้านของนางเอก และมีปรับฉากอีกหน่อยภายในบ้านหลังใหญ่นี้ให้เป็บ้านสองหลังในหนึ่งหลัง เพื่อที่จะไม่ต้องเปลืองงบประมาณเยอะ ปัณณวีร์และทีมงานก็มาถึงกองก่อนเวลาเสมอ แม้เป็งานที่เหนื่อยแต่ปัณณวีร์กลับชอบมัน อย่างที่มีคนเคยบอกไว้ว่าต่อให้เป็สิ่งที่ชอบ เหนื่อยแค่ไหนก็ย่อมทนได้
และระหว่างที่มีการถ่ายทำอยู่นั้น ปัณณ์วีร์ก็ได้รับโทรศัพท์จากศรุต เนื่องจากรายการของช่องอยากจะบุกกองเข้าไปถ่ายภาพและการทำงานหน่อยเพื่อจะเอามาทำการโปรโมทละครไปในตัว ตัวปัณณวีร์ก็ไม่ได้ติดอะไรอยู่แล้วเพราะก็เป็แบบนี้เสมอมา พอคุยโทรศัพท์เสร็จกำลังจะหันหลังกลับก็ต้องใเกือบจะอุทานออกมาเสียงดัง ดีที่ปิดปากไว้ทันเมื่อศิลายืนอยู่ หันหลังกลับมาเจอเข้ากับอีกฝ่ายพอดีด้วยความสูงของทั้งสอง ริมฝีปากของศิลาถูกบริเวณหน้าผากของคุณผู้จัดพอดีราวกับกะเอาไว้แล้ว
"มาทำไมเนี่ย"
"ก็ไม่ได้เข้าฉาก" ดีที่บริเวณหลังบ้านตรงที่ปัณณวีร์ออกมาคุยโทรศัพท์ไม่มีคนพอดี ไม่งั้นคงได้เห็นอะไรที่เซอร์ไพรส์แน่ๆ
"เมื่อวานทั้งวันผมไม่ได้กอดพี่เลย" ศิลาจับข้อมือของปัณณวีร์แล้วดึงให้เดินตามเข้าห้องน้ำไปโดยที่คนพี่จะพูดบอกเสียงดังก็ไม่ได้
"ศิ! ลากมาทำไมเนี่ย เดี๋ยวใครมาเห็น" ทั้งสองเข้ามาอยู่ในห้องน้ำห้องใหญ่ที่อยู่หลังบ้าน ซึ่งบริเวณหลังบ้านนั้นใช้เป็ที่เก็บอุปกรณ์ต่างๆ
"ทุกคนทำงานอยู่ ไม่มีใครเห็นหรอก ขอจูบหน่อย" คำขอที่ตรงไปตรงมาทำเอาปัณณวีร์รีบปิดปากตัวเองทันที แต่มีหรือที่มือเล็กๆ จะป้องกันอะไรได้
"ศิ อย่าดื้อ"
"พี่แหละอย่าดื้อ ให้จูบเร็วก็เสร็จเร็ว อยากให้ใครมาตามก่อนรึไง" ศิลายื่นหน้าเข้าใกล้คนรักมากขึ้น เพราะเมื่อวานเลิกกองเขาก็มีถ่ายละครต่อ ละครที่ถูกยกกองเมื่อวันนั้น กลับถึงห้องก็ตี 3 แล้วจึงไม่อยากไปรบกวนการนอนของคนพี่
"เอาแต่ใจ" ปัณณวีร์หมดคำพูดที่จะเอามาว่าอีกคนจริงๆ และมันก็เหมือนกับเป็คำยินยอมให้จูบกลายๆ ศิลาไม่รอช้า ใช้มือเชยคางคนพี่ขึ้นเล็กน้อยแล้วก้มลงไปประกบจูบทันที
แต่ไม่ใช่จูบที่รุนแรงเหมือนอย่างตอนที่จะทำเื่อย่างว่ากันบนเตียง ศิลาค่อยๆ จูบปากเรียวแล้วผละออกเล็กน้อยและเข้าไปจูบอีกทำอยู่อย่างนั้น บ้างก็ประกบปากกันใช้ลิ้นตวัดตอบสนองกันไปมาจนปัณณวีร์รู้สึกอ่อนระทวยไปหมดกับัันี้และก็ไม่รู้ว่าอยู่อย่างนี้นานเท่าใด
"อืมม พะ พอแล้ว"
"แค่จูบเองนะ ถึงกับจะยืนไม่ไหวเลยหรอ" ศิลากระซิบเสียงเบาทั้งที่ริมฝีปากใกล้ชิดกันจนใช้ลมหายใจร่วมกันก็ว่าได้
"เอาแต่ใจจริงๆ ออกไปก่อนเลย" ศิลาอมยิ้มเมื่อได้ในสิ่งที่้าแล้ว และยังได้เห็นหน้าหวานๆ ของคนพี่แดงระเรื่ออีก
"พี่จำจูบของผมไว้ให้ดี แล้วดูว่าผมว่าไม่มีทางทำแบบนี้กับใคร" ศิลาบอกเสียงเบาก่อนจะเปิดประตูแล้วมองซ้ายมองขวาก่อนเป็จังหวะเดียวกับที่ดารินเดินมาพอดี
"ศิ มาทำอะไรตรงนี้เนี่ย" ศิลาไม่ตอบอะไรแต่ประตูห้องน้ำที่ถูกศิลาปิดไว้ก็พอรู้ว่ามีอีกคนที่อยู่ในนั้น ดารินแทบจะลมจับเพราะกลัวว่าจะมีคนเห็น
"ไม่ต้องกลัวหรอกครับ ไปเถอะ"
หลังจากได้ยินเสียงเดินของทั้งสองเบาไปเรื่อยๆ ปัณณวีร์นึกถึงประโยคเมื่อครู่ที่ศิลาบอก คงเพราะวันนี้เ้าตัวมีฉากจูบกับนางเอกถึงได้พูดแบบนั้น พอนึกถึงการกระทำและััจูบเมื่อกี้นี้ปัณณวีร์ก็ยิ้มออกมา เขาอยู่ในห้องน้ำต่ออีกสักพักก่อนจะทำเป็กดชักโครกและล้างมือ เมื่อออกมาก็เห็นทีมงานเดินผ่านพอดี ทำเพียงยิ้มให้เท่านั้นราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
"คุณเข้าหาฉัน เพราะว่าพ่อของฉันคือคู่แข่งของคุณ ที่ผ่านมาคุณหลอกฉันมาตลอดงั้นหรอ!"
"ไม่ใช่นะมีน ผมยอมรับว่าผมเข้าหาคุณเพราะเื่ธุรกิจแต่คะ..."
"ที่ผ่านมาคุณเคยจริงใจกับฉันไหม" เสียงของนับดาวสั่นเครือระคนเ็ปที่ถูกหลอกใช้เป็เครื่องมือทำลายพ่อของตัวเอง
ปัณณวีร์นั่งมองผ่านจอมอนิเตอร์อย่างลุ้นๆ ว่าน้องจะเข้าถึงอารมณ์ได้ไหมเพราะครั้งนี้เป็เทคที่สามแล้ว พวกเขาก็เห็นใจน้องที่ต้องร้องไห้แต่มันยังไม่ถึงตามที่ผู้กำกับ้าก็ต้องถ่ายใหม่อีกรอบ อย่าว่าแต่ผู้จัดอย่างเขา ผู้กำกับนั้นยิ่งกว่า ในมือกำวิทยุสื่อสารแน่นและลุ้นไม่ต่างกัน
"ความรู้สึกของคุณมันจริงแค่ไหนอ่ะ! หรือว่ามันไม่มีอะไรจริงละ ... อื้ออ" นับดาวยังคงเล่นต่อไปเมื่อไม่มีคำสั่งคัทจากผู้กำกับ
หลังจากนั้นก็เป็ฉากที่ศิลาต้องจูบเธอ จูบเพื่อส่งความรู้สึกแทนคำพูดที่ต่อให้พูดไปเธอก็ไม่เชื่อในตอนนี้ ปัณณวีร์มองภาพนั้นแม้จะบอกว่าไม่หวงเลยก็ไม่ถูก แต่ก็เข้าใจว่ามันเป็แค่งาน และจูบที่ศิลาจูบนั้นก็ธรรมดาๆ ใช้การขยับเล็กน้อยเพื่อสื่ออารมณ์แค่นั้นไม่เหมือนกับที่จูบกับเขาอย่างที่เ้าตัวบอกไว้
"คัท!" เสียงของผู้กำกับดังขึ้น เพียงเท่านั้นศิลาก็ผละออกในทันที ผู้กำกับก็ลุกขึ้นเดินไปบอกกับนักแสดงด้วยตัวเองอีกครั้ง
"นับดาวครับ เราต้องไม่จูบตอบครับ คือเรายังต้องโกรธเขาอยู่และก็ต้องงงกับการกระทำของเขาอยู่นะ"
"อ่อค่ะ ขอโทษทีค่ะหนูนึกว่ามีนจะเคลิ้มไปตามพิรุณ" นับดาวใช้ชื่อตัวละครในการพูดแทน ไม่ได้ใช้ว่าเป็ตัวเขา
"จะเป็รอบที่สองนะครับมีนถึงจะจูบตอบ ครั้งแรกพิรุณจะจูบเราก่อนแล้วเขาจะผละออกมาพูดความรู้สึกกับเรา จากนั้นถึงจะจูบต่อ ตอนนั้นเราถึงค่อยๆ จูบตอบเล็กน้อยก็พอ"
"ค่ะ" นับดาวพยักหน้าเข้าใจ
"งั้นพักดื่มน้ำ เติมหน้าเติมตากันก่อน 10 นาทีนะ" ผู้กำกับบอกก่อนจะกลับมานั่งที่เดิมและพูดคุยกันถึงซีนจูบเมื่อครู่ที่คิดว่าศิลานั้นจูบได้ดีและรู้องศารู้มุมกล้องว่าแบบไหนจะสวย ทำเอาผู้กำกับชมใหญ่ว่าเป็คนที่เก่งและมืออาชีพมากจริงๆ โดยที่เขาไม่ต้องบอกและจัดมุมให้เลยด้วยซ้ำ
ปัณณวีร์ได้แต่คิดในใจว่าจะไม่รู้องศาได้ยังไง ก็เล่นซ้อมจูบกับเขาออกจะบ่อย อ้างตลอดว่าให้ช่วยซ้อมบท แต่บทที่ว่าก็เป็บทจูบตลอดและมันก็ไม่เคยหยุดอยู่ที่จูบเลยสักครั้งน่ะสิ ใครบ้างจะรู้กันว่าศิลาที่แสนเยือกเย็นและแสนจะสุภาพกับทุกคนจะเป็คนหื่นแต่กับปัณณวีร์กัน...
“มาครับ จูบอีกรอบนะเริ่มตอนจูบได้เลย ตอนนี้นับดาวต้องโกรธนะครับ ยังโกรธและเสียใจอยู่” ผู้กำกับให้นับดาวยืนทำอารมณ์อยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเธอหันมาบอกว่าพร้อมแล้วจึงได้เริ่มถ่ายทำต่อ
“แอคชั่น!” เมื่อสิ้นเสียงของผู้กำกับ ทุกคนก็เหมือนหยุดหายใจ มีเพียงนักแสดงที่เล่นไปตามบทบาท ปัณณวีร์มองแล้วก็อยากจะชกบทละครขึ้นมาปิดไว้ไม่อยากดูเท่าไหร่ เมื่อก่อนไม่เคยได้ดูอีกฝ่ายเล่นเลิฟซีนเท่าไหร่ ถึงจะดูแต่ก็เป็ตอนที่ออนแอร์ในทีวีแล้ว แต่ครั้งนี้เห็นชัดๆ กับตาแถมยังต้องถ่ายหลายเทคอีกต่างหาก
ใครบ้างไม่หวงแฟนตัวเองกันเล่า ปัณณวีร์ได้แต่นึกหงุดหงิดเล็กน้อยในใจแต่ก็ไม่ได้แสดงออกไปให้ใครเห็น พลางคิดในใจว่าคืนนี้คงต้องล้างปากให้ศิลาเสียหน่อย...
TBC.