ตอนที่ 1 หนี้แค้นในม่านฝน
ท้องฟ้ากรุงเทพมหานครในยามบ่ายมืดครึ้มราวกับถูกฉาบทาด้วยหมึกสีดำทมิฬ เสียงฟ้าร้องครืนครางแว่วมาแต่ไกล คล้ายเสียงคำรามของสัตว์ร้ายที่กำลังตื่นจากจำศีล ไม่นานนัก สายฝนห่าใหญ่ก็เทกระหน่ำลงมาอย่างบ้าคลั่ง ราวกับฟากฟ้ากำลังร่วมหลั่งน้ำตาให้กับโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้น ณ ศาลาวัดเก่าแก่แห่งหนึ่งชานเมือง
กลิ่นธูปควันเทียนลอยคลุ้งผสมปนเปไปกับกลิ่นไอดินและความชื้นแฉะ บรรยากาศภายในศาลาสวดศพเต็มไปด้วยความหดหู่และเงียบงัน มีเพียงเสียงสะอื้นไห้เบาๆ ของหญิงวัยกลางคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ตัวหน้าสุด และเสียงสวดมนต์ของพระสงฆ์ที่ดังก้องกังวาน แข่งกับเสียงสายฝนที่สาดซัดหลังคาสังกะสี
ปานชีวา หรือ น้ำตาล ยืนสงบนิ่งอยู่ข้างโลงศพสีขาวสะอาด ใบหน้าหวานซึ้งที่เคยสดใสสมวัยยี่สิบสามปี บัดนี้ซีดเผือดไร้สีเื ดวงตากลมโตคู่สวยบวมช้ำจากการร้องไห้ติดต่อกันมาหลายคืน ร่างบางในชุดกระโปรงสีดำสนิทดูเปราะบางราวกับแก้วที่พร้อมจะแตกสลายได้ทุกเมื่อ แต่เธอก็พยายามฝืนยืนหยัดให้มั่นคง เพื่อเป็เสาหลักให้กับมารดาและน้องสาววัยกำลังโต
รูปถ่ายหน้าศพของชายวัยห้าสิบเศษส่งยิ้มใจดีมาให้... พ่อของเธอ จากไปแล้ว จากไปอย่างไม่มีวันกลับด้วยการตัดสินใจจบชีวิตตัวเอง ทิ้งไว้เพียงจดหมายขอโทษ และหนี้สินมหาศาลที่เกิดจากความล้มเหลวทางธุรกิจ
“ตาล... แม่ไม่ไหวแล้วลูก... ฮึก... ทำไมพ่อถึงทำกับเราแบบนี้” เสียงมารดาคร่ำครวญปานจะขาดใจ
ปานชีวารีบทรุดตัวลงนั่งโอบกอดมารดา มือเรียวลูบแผ่นหลังที่สั่นเทาอย่างปลอบโยน ทั้งที่ในใจของเธอเองก็กรีดร้องด้วยความเ็ปไม่ต่างกัน
“แม่คะ... อดทนหน่อยนะ พ่อไปสบายแล้ว เราต้องเข้มแข็งนะคะ”
แเื่ในงานมีเพียงไม่กี่คน ส่วนใหญ่เป็ญาติห่างๆ และพนักงานบริษัทเก่าแก่ที่ยังจงรักภักดี เพื่อนฝูงในแวดวงไฮโซที่เคยห้อมล้อมยามบิดามั่งมี บัดนี้หายหัวไปหมดสิ้นเมื่อทราบข่าวล้มละลาย นี่แหละหนา... สัจธรรมของมนุษย์
"โครม!!"
เสียงถีบเก้าอี้พลาสติกล้มระเนระนาดดังสนั่นขึ้นที่หน้าศาลา ทำลายความสงบเงียบของพิธีการลงในพริบตา แเื่ต่างพากันหวีดร้องด้วยความใ พระสงฆ์ชะงักการสวดมนต์
ชายฉกรรจ์สวมเสื้อแจ็กเก็ตหนังท่าทางนักเลงสามสี่คนเดินอาดๆ เข้ามาในศาลา รองเท้าคอมแบทเปื้อนโคลนย่ำลงบนพรมสีแดงอย่างไม่เกรงใจ ชายคนนำหน้าผิวเข้ม ไว้หนวดเครารุงรัง ะโเสียงดังลั่นแข่งกับสายฝน
“เฮ้ย! สวดกันเสร็จหรือยังวะ! กูมารอทวงเงินั้แ่วันแรกยันวันเผา พวกมึงยังเงียบกริบ!”
แม่ของปานชีวากรีดร้องและกอดลูกสาวคนเล็กแน่นด้วยความหวาดกลัว ปานชีวากัดริมฝีปากแน่น เธอลุกขึ้นยืนเผชิญหน้ากับพวกมันอย่างกล้าหาญ แม้ขาจะสั่นพั่บๆ ก็ตาม
“พวกคุณ... นี่มันงานศพนะคะ ให้เกียรติคนตายบ้าง” หญิงสาวเอ่ยเสียงสั่นเครือแต่แฝงความเด็ดเดี่ยว
“ให้เกียรติทำซากอะไร!” หัวหน้านักเลงถ่มน้ำลายลงพื้นเฉียดเท้าเธอ “พ่อมึงตายหนีหนี้ไปสบายแล้ว แล้วเงินห้าล้านที่มันยืมเสี่ยกูไปล่ะ ใครจะจ่าย! มึงเหรอ? หรือแม่มึง?”
มันเดินคุกคามเข้ามาใกล้ สายตาหยาบโลนกวาดมองปานชีวาั้แ่หัวจรดเท้า
“แต่ดูทรงแล้ว... ลูกสาวสวยขนาดนี้ น่าจะขัดดอกได้หลายบาทอยู่นะ”
มือหยาบกร้านเอื้อมจะมาจับปลายคางมน ปานชีวาเบี่ยงหน้าหลบด้วยความรังเกียจ
“อย่ามาแตะต้องตัวฉัน! ฉันจะหาเงินมาคืนพวกคุณแน่ แต่ไม่ใช่ตอนนี้... เชิญพวกคุณกลับไปก่อน”
“กลับไปให้โง่สิวะ! ถ้าวันนี้กูไม่ได้เงิน กูจะพังโลงพ่อมึงให้เละคามือ!”
สิ้นเสียงคำขู่ มันหันไปพยักหน้าให้ลูกน้อง ชายฉกรรจ์อีกสองคนตรงรี่เข้าไปยังโลงศพตั้งท่าจะผลักพวงหรีดและโลงให้ล้มคว่ำ
“อย่านะ! กรี๊ดดด! หยุดเดี๋ยวนี้!” ปานชีวาวิ่งเข้าไปขวางกางแขนป้องโลงศพพ่อ น้ำตาแห่งความอัดอั้นไหลพราก “คนเลว! พวกแกมันไม่ใช่คน!”
“ปากดีนักนะนังนี่ จับตัวมันไว้!”
สถานการณ์โกลาหลถึงขีดสุด ความหวาดกลัวเข้าเกาะกุมจิตใจของหญิงสาว เธอกำลังจะถูกมือสกปรกฉุดกระชาก... ในวินาทีที่ความสิ้นหวังถาโถมเข้ามาจนมืดมิด
"หยุด"
คำพูดเพียงคำเดียว... เรียบ นิ่ง ทุ้มต่ำ แต่ทรงพลังอำนาจราวกับประกาศิตจากฟากฟ้า ดังกังวานแทรกผ่านเสียงสายฝนและเสียงเอะอะโวยวาย
ทุกการเคลื่อนไหวในศาลาหยุดชะงักราวกับถูกกดปุ่มหยุดเวลา
ที่หน้าศาลา รถยนต์ลีมูซีนคันหรูสีดำสนิทเงาวับ รุ่นลิมิเต็ดที่มีเพียงไม่กี่คันในประเทศ จอดเทียบท่าอยู่ท่ามกลางสายฝน ประตูรถฝั่งผู้โดยสารเปิดออกโดยชายชุดดำที่กางร่มคันใหญ่รอรับ
รองเท้าหนังขัดมันวาวราคาแพงระยับ ก้าวลงมาเหยียบพื้นคอนกรีตที่เจิ่งนองด้วยน้ำฝนอย่างมั่นคง ตามด้วยร่างสูงใหญ่สมส่วนในชุดสูทสั่งตัดสีดำสนิทเข้ารูปที่ขับเน้นความสง่างามและความน่าเกรงขามให้แผ่กระจายออกมา
ภูผา
ชายหนุ่มวัยสามสิบสองปี ผู้เป็เ้าของใบหน้าหล่อเหลาคมคายราวกับรูปสลัก จมูกโด่งเป็สันรับกับคิ้วเข้มพาดเฉียง ดวงตาเรียวรีสีนิลลึกล้ำซ่อนอยู่ภายใต้ความเรียบเฉยที่คาดเดาอารมณ์ไม่ได้ เขาเดินเข้ามาในศาลาด้วยท่วงท่าเยือกเย็น ดุจพยัคฆ์ร้ายที่กำลังเดินชมอาณาเขต
ด้านหลังเขามีชายฉกรรจ์ในชุดสูทสีดำสวมแว่นตาดำนับสิบคนเดินตามประกบซ้ายขวา รัศมีอำนาจที่แผ่ออกมาจากกลุ่มคนมาใหม่ทำให้พวกนักเลงทวงหนี้เมื่อครู่ดูเป็เพียงเด็กเล่นขายของไปทันที
“พะ... พวกมึงเป็ใครวะ!” หัวหน้านักเลงถามเสียงสั่น พยายามทำใจดีสู้เสือ
ภูผาไม่แม้แต่จะปรายตามองมัน เขาถอดแว่นกันแดดออก เผยให้เห็นดวงตาคมกริบที่เย็นะเืจนคนถูกมองหนาวสะท้านไปถึงกระดูกสันหลัง เขาเพียงแค่ปัดมือเบาๆ เป็สัญญาณ
ลูกน้องของภูผาพุ่งเข้าประชิดตัวพวกนักเลงอย่างรวดเร็วและเป็ระบบ เพียงไม่ถึงสิบวินาที พวกนักเลงกระจอกก็ถูกจับล็อกแขนไพล่หลังกดลงกับพื้นอย่างไร้ทางสู้
“เอาขยะพวกนี้ออกไปให้พ้นหน้าฉัน... แล้วสั่งสอนให้พวกมันรู้ว่า งานศพไม่ใช่ที่ที่จะมาเห่าหอน”
น้ำเสียงของภูผาเรียบนิ่ง แต่เชือดเฉือนบาดลึก ลูกน้องรับคำสั่งทันที ลากพวกนักเลงที่ร้องโวยวายออกไปท่ามกลางสายฝน เสียงร้องโอดโอยเงียบหายไปอย่างรวดเร็ว
ความเงียบกลับมาครอบคลุมศาลาอีกครั้ง แต่คราวนี้เป็ความเงียบที่หนักอึ้งและน่ากดดันกว่าเดิมร้อยเท่า หลังจากนั้นเขาก็เข้ามานั่งที่โต๊ะรับแขก และเรียกปานชีวานั่งลง ซึ่งเธอก็นั่งแบบงงๆ หลังจากเสร็จพิธีสวดแล้วเธอลุกขึ้นเพื่อจะนำน้ำมาเสริฟ์แขก ซึ่งเธอก็ไม่รู้ว่าเขาคือใคร แต่เขาก็เข้ามาช่วยเธอในสถานการณ์คับขันพอดี
ปานชีวายืนตัวแข็งทื่อ หัวใจเต้นรัวแรงเมื่อสบเข้ากับดวงตาคมคู่นั้น... ผู้ชายคนนี้คือใคร? มาช่วยเธอไว้ทำไม?
ภูผาขยับตัวก้าวเข้ามาใกล้เธอช้าๆ ทุกย่างก้าวของเขาเหมือนตอกย้ำความยิ่งใหญ่และน่าเกรงขาม กลิ่นน้ำหอมราคาแพงผสมกลิ่นบุหรี่จางๆ ลอยมาแตะจมูกหญิงสาว
เขายืนหยุดอยู่ตรงหน้าเธอ ห่างกันเพียงไม่กี่คืบ สายตาคมกวาดมองใบหน้าหวานที่เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา ดวงตาที่บวมช้ำ จมูกแดงระเรื่อ และริมฝีปากที่สั่นระริก
...เธอผอมลงไปมาก...
ความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในหัวใจที่ด้านชาของภูผา มือหนาข้างลำตัวเผลอกำหมัดแน่นจนเส้นเืปูดโปนโดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็น เขารู้สึกเหมือนมีก้อนแข็งๆ จุกอยู่ที่คอเมื่อเห็นสภาพที่น่าเวทนาของผู้หญิงที่... เขาเฝ้ามองมาตลอดหลายปี
แต่เพียงเสี้ยววินาที ความอ่อนโยนที่เกือบจะหลุดลอดออกมาทางสายตาก็ถูกฉาบทับด้วยกำแพงน้ำแข็งอันหนาทึบ เขาต้องไม่ลืมว่า... พ่อของเธอทำอะไรไว้กับครอบครัวเขา
“คุณ... ขอบคุณนะคะที่ช่วยพวกเราไว้” ปานชีวายกมือไหว้ รวบรวมความกล้าเอ่ยขอบคุณ แม้จะรู้สึกหวาดหวั่นกับสายตาเ็านั่นก็ตาม
ภูผาเหยียดยิ้มมุมปาก เป็รอยยิ้มที่ไม่ได้ไปถึงดวงตา
“เก็บคำขอบคุณของคุณไว้เถอะ ปานชีวา”
หญิงสาวชะงัก “คะ? คุณรู้จักชื่อฉัน...”
“รู้จักดีเสียยิ่งกว่าตัวคุณเองเสียอีก” เขาเอ่ยเสียงเรียบ ก่อนจะยื่นมือไปด้านข้าง เลขาคนสนิทรีบส่งซองเอกสารสีน้ำตาลให้ทันที
ภูผาโยนซองเอกสารนั้นลงบนเก้าอี้ข้างตัวเธอ เสียงดัง ปึ้ก บ่งบอกถึงความหนาและน้ำหนักของสิ่งที่อยู่ข้างใน
“ฉันไม่ได้มาที่นี่เพื่อเป็ฮีโร่ช่วยสาวน้อยตกยาก... แต่ฉันมาในฐานะ เ้าหนี้ รายใหญ่ที่สุดของพ่อเธอ”
เหมือนฟ้าผ่าลงกลางใจ ปานชีวาเบิกตากว้าง มือสั่นเทาหยิบซองเอกสารขึ้นมาเปิดอ่าน ดวงตาคู่สวยกวาดมองตัวเลขในสัญญาเงินกู้และเอกสารจำนองบ้าน... ตัวเลขศูนย์ต่อท้ายที่ยาวเหยียดทำให้เธอแทบลมจับ
“หนึ่ง... หนึ่งร้อยล้าน...” เสียงหวานแ่เบาจนแทบไม่ได้ยิน “นี่มันเื่อะไรกันคะ พ่อไม่เคยบอก...”
“พ่อเธอเก่งเื่สร้างภาพ และเก่งเื่โกงคนอื่น” ภูผาพูดแทรกขึ้นด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม ดวงตาฉายแวววาวโรจน์ขึ้นมาวูบหนึ่งเมื่อนึกถึงอดีต “เงินจำนวนนี้คือเงินที่พ่อเธอโกงไปจากบริษัทพ่อฉัน จนพ่อฉันต้องตรอมใจตาย... วันนี้ถึงเวลาที่ฉันมาทวงคืน”
“ไม่จริง! พ่อไม่มีทางโกงใคร!” ปานชีวาเถียงแทนบิดาทั้งน้ำตา
“ความจริงมันอยู่ในมือเธอนั่นแหละ!” ภูผาตวาดเสียงกร้าว จนปานชีวาสะดุ้งเฮือก “บ้านหลังนี้ ที่ดินแปลงนี้ และทรัพย์สินทุกอย่างของตระกูลเธอ... ตอนนี้มันเป็กรรมสิทธิ์ของฉันตามกฎหมาย!”
เขาขยับตัวเข้ามาประชิด ร่างสูงใหญ่คุกคามจนเธอต้องถอยหลังไปชนขอบโลงศพ ไร้ทางหนี
ภูผาก้มลงกระซิบข้างหูเธอ กลิ่นอายอันตรายแผ่ซ่านจนขนลุกชัน
“ฉันให้เวลาเธอเจ็ดวัน... หาเงินหนึ่งร้อยล้านมาคืนฉัน พร้อมดอกเบี้ย”
“เจ็ดวัน!?” ปานชีวาเงยหน้ามองเขาอย่างไม่อยากเชื่อ “มันเป็ไปไม่ได้... ฉันจะไปหาเงินมากมายขนาดนั้นมาจากไหนในเวลาแค่นี้ คุณฆ่ากันให้ตายเลยดีกว่า!”
“งั้นก็มีอีกทางเลือก...”
ภูผาถอยออกมาเล็กน้อย สายตาคมกริบกวาดมองร่างบางั้แ่ศีรษะจรดปลายเท้า สายตานั้นไม่ใช่สายตาแทะโลมแบบพวกนักเลง แต่เป็สายตาประเมินสินค้า... ที่ทำให้คนถูกมองรู้สึกร้อนวูบวาบและอับอายยิ่งกว่าโดนเปลื้องผ้า
“ถ้าไม่มีปัญญาหาเงิน... ก็เอา ตัว มาขัดดอก”
“คุณ!” ใบหน้าสวยแดงก่ำด้วยความโกรธจัด “คุณดูถูกฉันมากเกินไปแล้ว ฉันไม่ใช่ผู้หญิงขายตัว!”
“ศักดิ์ศรีมันกินไม่ได้หรอกปานชีวา... ยิ่งกับคนล้มละลายอย่างเธอ ศักดิ์ศรีมันไม่มีราคา” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบราวกับน้ำแข็ง แต่ภายในใจกลับเต้นรัวแรงเมื่อได้อยู่ใกล้เธอขนาดนี้ เขาอยากจะดึงเธอเข้ามากอดปลอบประโลม แต่ความแค้นที่แบกไว้บนบ่านั้นค้ำคออยู่
“เลือกเอา... ระหว่างเห็นแม่กับน้องเธอไม่มีที่ซุกหัวนอน หรือจะยอมเดินเข้ามาในกรงของฉัน”
ภูผาหันหลังกลับทันทีโดยไม่รอคำตอบ ทิ้งท้ายด้วยประโยคที่เหมือนคมมีดกรีดลงกลางใจ
“งานศพเสร็จเมื่อไหร่ เก็บของซะ... ฉันจะมายึดบ้าน”
ชายหนุ่มก้าวเดินฝ่าสายฝนกลับไปขึ้นรถหรู โดยมีลูกน้องกางร่มตามประกบ ทิ้งให้ปานชีวายืนตัวสั่นเทาอยู่กลางศาลา มือบางกำซองเอกสารแน่นจนยับยู่ยี่ น้ำตาแห่งความเจ็บใจและสิ้นหวังไหลพรากลงมาแข่งกับสายฝน
ภายในรถลีมูซีนที่เงียบกริบ ภูผาทอดสายตามองผ่านกระจกติดฟิล์มดำไปยังร่างเล็กที่ยืนร้องไห้อยู่ไกลๆ ภาพนั้นบีบหัวใจเขาอย่างรุนแรงจนต้องหลับตาลงเพื่อข่มความรู้สึก
...เขาเลือกที่จะเป็ปีศาจร้ายในสายตาเธอ... ดีกว่าปล่อยให้เธอต้องตกเป็เหยื่อของเดรัจฉานพวกนั้น ที่พร้อมจะรุมทึ้งเธอจนไม่เหลือชิ้นดี หากการขังเธอไว้ในกรงทองแห่งความเกลียดชัง คือหนทางเดียวที่จะรักษาลมหายใจและความบริสุทธิ์ของเธอเอาไว้ได้... เขาก็ยินดีที่จะเป็คนใจร้ายที่เธอสาปแช่งไปตลอดชีวิต”
ภูผาถอนหายใจยาว พยายามปรับสีหน้าให้กลับมาเรียบเฉยไร้อารมณ์ดังเดิม ก่อนจะเอ่ยสั่งลูกน้องด้วยน้ำเสียงเ็าที่ปิดกั้นความรู้สึกทุกอย่างไว้ภายใน
“ออกรถ”
รถลีมูซีนคันหรูค่อยๆ เคลื่อนตัวฝ่าสายฝนอันหนาวเหน็บออกไปอย่างช้าๆ ทิ้งให้หญิงสาวร่างเล็กยืนเดียวดายอยู่เื้ั ท่ามกลางมรสุมชีวิตลูกใหญ่ที่เพิ่งเริ่มต้นขึ้น... มรสุมที่เขาตั้งใจจะเป็ผู้ก่อมันขึ้นมาเองกับมือ
เพื่อให้แน่ใจว่า... เธอจะไม่มีวันหนีไปจากเขาได้อีกตลอดกาล
////****////
