Chapter 9
โจไซอาไล่เอเดนไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าหลังจากพระอาทิตย์ตกดิน และไม่สามารถมองเห็นทะเลไกลสุดลูกหูลูกตาได้อีกแล้ว เพราะเหลือเพียงความมืดมิดกับเสียงคลื่น เอเดนแทบไม่ต้องเปิดกระเป๋าเดินทางหยิบของใช้ส่วนตัว เพราะบ้านของโจไซอามีพร้อมทุก ๆ อย่างที่เขา้า เขาสวมกางเกงวอร์มขายาวสีครีมกับเสื้อยืดสีขาวพอดีตัว ใช้ผ้าขนหนูขยี้เส้นผมเปียกชุ่มของตัวเองและเดินออกมาจากห้องน้ำกวาดสายตามองหาอีกฝ่ายแต่ไร้ร่องรอย
เขาเดินออกจากห้องนอนใหญ่ที่ชั้นสอง ได้กลิ่นหอมฟุ้งของมื้อเย็นทันทีที่เปิดประตูจึงเดินตามกลิ่นหอมนั้นไป และเห็นร่างเพรียวบางในชุดนอนสีฟ้าอ่อนลายทางสีขาวกำลังตักซอสเนื้อในหม้อราดลงบนเส้นสปาเก็ตตี้ในจาน เส้นผมสีทองหม่นเปียกหมาด ๆ ลู่ลงแนบกรอบหน้าและไม่ได้หวีจัดทรง
“หอมจัง” เขายิ้มกว้างให้โจไซอา อีกฝ่ายเงยหน้าตามเสียงขณะวางจานสปาเก็ตตี้ซอสเนื้อหน้าตาน่าอร่อยลงบนโต๊ะไม้
“ลืมถามไปเลยว่าเธอแพ้อาหารอะไรบ้าง”
“ไม่มีครับ แล้วนี่คุณ—”
“อย่าชมฉัน แม่ครัวเป็คนทำ” ความปากหวานของเอเดนกำลังเผยออกมาด้วยเสียงทุ้มเป็การชมมื้อเย็นตรงหน้า แต่โจไซอารีบขัดทันที
“อ้อ ขอบคุณครับ”
เขานั่งลงบนเก้าอี้ เลื่อนจานสปาเก็ตตี้ซอสเนื้อเข้าหาตัว แต่ยังไม่ลงมือจัดการมื้อเย็นแม้หิวจนท้องร้อง เพราะกำลังรอคอยว่าโจไซอาจะตักสปาเก็ตตี้จานของตัวเองมาเมื่อไร
“กินให้อร่อยนะ” และอีกฝ่ายเพียงแค่วางแก้วน้ำบนโต๊ะสองใบ ก่อนจะเทน้ำเปล่าใส่แก้วสำหรับตนเอง แล้วนั่งลงฝั่งตรงข้าม
“คุณไม่หิวเหรอเฮเซล” โจไซอาส่ายหน้า เขาไม่รู้จะบอกเอเดนว่าอะไร เมื่อเทพไม่จำเป็ต้องกินอาหารเพื่อความอยู่รอด เหล่าเทพไม่รู้จักความหิว
“ดื่มแต่ไวน์อย่างเดียวได้ยังไง”
เสียงทุ้มบ่นพึมพำแล้วลุกจากเก้าอี้ นำผ้าขนหนูวางพาดที่ไว้ที่พนัก แล้วเปิดตามชั้นวางตามหาจานขนาดพอเหมาะ เพื่อม้วนเส้นที่เตรียมเอาไว้แล้วใส่ลงไป ตามด้วยการราดซอสเนื้อ เอเดนวางจานมื้อเย็นสำหรับโจไซอาตรงหน้าร่างเพรียวบาง แวะเวียนกดจมูกข้างแก้มเนียน โอบแขนรอบบ่ากอดอ้อนจากด้านหลัง
“กินด้วยกันนะครับ”
หากเทพอย่างโจไซอาเจอน้ำเสียงออดอ้อนเช่นนี้ เขายอมกินทั้งที่ไม่รู้จักความหิวยังได้
เทพไม่้าอาหารเพื่อความอยู่รอด เทพไม่้าอากาศในการหายใจ เทพไม่ต้องอาศัยการหลับพักผ่อน แต่น่าแปลกที่โจไซอาเป็เทพประเภทนอนตื่นสายและขี้เซา เพราะ่ร้อยปีมานี้พวกเทพต่างคิดหาวิธีให้ดำรงชีวิตอยู่โดยไม่เบื่อหน่ายเศร้าซึมจนได้คำตอบว่าการนอนครึ่งวัน และตื่นครึ่งวันอย่างที่มนุษย์ทำช่วยแก้ปัญหาได้ ดังนั้นโจไซอาจึงเคยชินกับการฝึกให้นอนหลับตอนกลางคืน
แล้วไม่ยอมตื่นแม้พระอาทิตย์จะส่องแสงสว่างจ้าจนผ้าม่านไม่สามารถบดบังไว้ได้ทั้งหมด
“เฮเซล” เสียงทุ้มงัวเงียเพราะเพิ่งตื่นนอนเรียกคนในอ้อมแขนแ่เบา แต่เ้าของชื่อปลอมกลับนอนนิ่งไม่ตอบกลับ
มือหนาเสยเส้นผมยุ่งไม่เป็ทรง ลูบใบหน้าเรียกสติ และเรียกความทรงจำก่อนจะเข้านอนกลับมา การเดินทางไกลผนวกกับการเล่นน้ำทะเลอยู่นานทำให้เอเดนหลับง่ายกว่าทุกวัน และหลับสนิทที่สุดในรอบปีโดยไม่ต้องพึ่งยานอนหลับแม้แต่เม็ดเดียว อาการเจ็ตแล็กก็ไม่เกิดขึ้นกับร่างกายของเขา เพียงแค่งัวเงียยังไม่อยากลุกจากเตียงเท่านั้น
เขาโอบเอวร่างเพรียวบางจากด้านหลัง ดึงมากอดแนบอกจนอีกฝ่ายพลิกตัวนอนหงายโอนอ่อนตามการบังคับราวตุ๊กตา เอเดนขยับตัววางศีรษะลงบนลาดไหล่ นอนซบอกบางกลิ่นหอมเหมือนดอกไม้สีขาวแล้วหลับตาอีกครั้ง ใบหูที่แนบกับแผ่นอกได้ยินเสียงของหัวใจที่เต้นอยู่ภายใน แต่กลับแ่เบาและเชื่องช้าจนเอเดนเบิกตาด้วยความใ
เขาวางฝ่ามือที่แผ่นอกตัวเองเพื่อเปรียบเทียบการเต้นของหัวใจ ซึ่งของโจไซอาช้ากว่าของเขาสองเท่า เอเดนใช้แขนดันร่างกายตัวเองขึ้นเพื่อมองใบหน้าหวานสวยที่กำลังหลับ วางมือบนกรอบหน้าเกลี่ยนิ้วโป้งที่แก้มนวล ปลุกให้ตื่น
“เฮเซล เฮเซล” เสียงทุ้มเริ่มร้อนรน เมื่ออีกฝ่ายยังนิ่ง
“คุณ ได้ยินผมไหมครับ” เรียวคิ้วที่ขมวดเข้าหากันแสดงความหงุดหงิดเพราะถูกกวนทำให้เอเดนคลายความกังวล โจไซอาทำเสียงในลำคอตอบรับ แล้วพลิกตัวนอนตะแคงหนีเอเดน
มนุษย์ใสซื่อนามว่าเอเดนค่อย ๆ เหยียดยิ้มมุมปากด้วยความเอ็นดู เขาพบว่าตัวเองแค่คิดมากเพียงเท่านั้น แล้วลุกจากเตียงเพื่อจัดการตัวเอง โดยปล่อยให้เทพขี้เซานอนอยู่บนเตียงเช่นเดิม การเต้นของหัวใจที่แสนแ่เบาจนแทบไม่รู้สึกถึงมัน และบีบหดตัวเป็จังหวะเพียงนาทีละสามสิบครั้งเป็เื่ปกติของเทพ จึงไม่แปลกที่มนุษย์ผู้ใสซื่อจะเห็นเทพที่นอนนิ่งคล้ายศพไร้จิตและดวงิญญา
ความลุ่มหลงทำให้เอเดนไม่ติดใจสงสัยอะไรเกี่ยวกับโจไซอาเลยสักข้อ ราวม่านหมอกสีขาวที่ล้อมรอบตัวของเอเดนกับโจไซอาเอาไว้จนมองไม่เห็นสิ่งอื่น แต่ใครจะสนเมื่อมีชายหน้าตาหวานงดงามอยู่ตรงหน้า แม้หลังม่านหมอกสีขาวเ่าั้จะเต็มไปด้วยความลึกลับเพียงใดเอเดนก็ไม่คิดจะอยากรู้เลยสักนิด ประหนึ่งถูกสาปให้กลายเป็มนุษย์โง่เขลา
แต่หมอกสีขาวเ่าั้จะจางลงเมื่อเอเดนอยู่เพียงลำพังขณะที่โจไซอากำลังหลับ เขากลายเป็คนโง่คนหนึ่งที่ยืนอยู่กลางหมอกจนมองไม่เห็นรอบข้างไกลออกไปแค่สอง่แขน เอเดนเดินลงมาที่ชั้นล่างหลังจัดการตัวเองเรียบร้อยแล้วเพื่อมองสำรวจรอบบ้านพักตากอากาศสองชั้นแห่งนี้
ที่นี่ตกแต่งอย่างสวยงาม เน้นความอบอุ่นน่าอยู่ และผ่อนคลายด้วยวัสดุไม้เป็หลัก กำแพงฝั่งทะเลเป็กระจกหนาเต็มบาน ให้เห็นความสวยงามของหาดทรายสีขาวและทะเลสีฟ้าสด โต๊ะไม้สำหรับนั่งรับประทานอาหารมีเก้าอี้สี่ตัว มีเคาน์เตอร์บาร์ทำอาหารในมุมครัวขนาดใหญ่สะอาดเรียบร้อย เพียงแค่คาดคะเนด้วยดวงตาก็รู้ว่าความอบอุ่นน่าอยู่และเงียบสงบเช่นนี้ต้องแลกด้วยเม็ดเงินมหาศาล
เกาะส่วนตัวสวยงามที่เป็ของโจไซอา เรือยนต์หรูสองลำ คนพื้นเมืองผู้คอยดูแลเมื่อทั้งคู่มาถึงเมืองริมชายฝั่งทะเล แม่ครัวที่เตรียมมื้อเย็นไว้ให้รอต้อนรับ รวมถึงการพูดคุยกับพ่อของเอเดนอย่างถูกคอในเวลาอันสั้น ทั้งหมดทำให้เอเดนสงสัยในตัวโจไซอา ว่าอีกฝ่ายคือลูกหลานนักธุรกิจ หรือเป็ทายาทเศรษฐีร่ำรวย หรืออาจมีเชื้อสายราชวงศ์ของสักประเทศ เขาสงสัยว่าอะไรในตัวโจไซอาที่ทำให้คนบ้าอำนาจอย่างวิลเลียม กริฟฟินยอมโอนอ่อนได้มากเช่นนั้น
แต่เมื่อระลึกได้ในเสี้ยววินาทีที่คำถามเ่าั้เกิดขึ้นในหัว เขาก็เริ่มรู้สึกว่าตนเองเป็ลูกของวิลเลียม กริฟฟินโดยแท้ เขาเริ่มคิดถึงชาติตระกูลของโจไซอา แล้วตั้งคำถามเกี่ยวกับเม็ดเงินมหาศาลและอำนาจที่อีกฝ่ายมี หากเป็พ่อของเขา คำถามเหล่านี้จะผุดขึ้นทันทีที่เห็นคนแปลกหน้าสักคน
เอเดนจึงรีบสลัดความคิดเ่าั้ทิ้งไป เพราะเขาไม่อยากเป็เหมือนพ่อ ไม่ว่าโจไซอาเป็ลูกหลานของใคร หรือเป็ใคร เขาก็ไม่อยากนำสิ่งเ่าั้มาเป็ตัวตัดสินความรู้สึกที่เกิดขึ้น
เขาไล่ความคิดที่ตนรังเกียจด้วยการยกมือนวดขมับ และเริ่มสำรวจของในครัว เขาเปิดตู้แขวน้าและพบข้าวโอ๊ตทั้งแบบหยาบและแบบละเอียด รวมถึงกล่องซีเรียลธัญพืชวางเรียงเป็ระเบียบในชั้น เอเดนสำรวจต่อไปที่ตู้อื่น ๆ จนเจอตู้เย็นที่ซ่อนหลังบานประตูไม้ ด้านในมีเครื่องดื่มอยู่เต็ม ทั้งน้ำอัดลม และน้ำแร่ รวมถึงของสดที่อัดแน่นอยู่ในนั้น
เอเดนยกยิ้มอย่างไม่รู้ตัวเมื่อคิดอะไรดี ๆ ออกพร้อมกับใบหน้าหวานสวยของคนที่ยังหลับอยู่บนเตียง
โจไซอาชอบพวกมนุษย์มากเป็พิเศษ เขาทำได้ดีในการฝึกร่างกายให้ใกล้เคียงกับมนุษย์ ทั้งการหายใจเสียงดังมากยิ่งขึ้น การแกล้งเหนื่อย และดีมากเกินขอบเขตเมื่อเป็เื่การนอน เพราะเขาขี้เซากว่าเทพนับพันรวมกัน หากโจไซอาได้เกิดเป็มนุษย์ ก็คงจะเป็มนุษย์ี้เีและชอบนอนมากคนหนึ่ง
ยิ่งมีอ้อมกอดจากมนุษย์อย่างเอเดนเขายิ่งหลับสนิทด้วยความสุข แทบจะฝันเป็เื่เป็ราวอย่างที่พวกมนุษย์เป็กัน แต่ต้องลืมตาตื่นอย่างงัวเงียแล้วพลิกตัวจ้องเพดานนิ่ง ๆ ระลึกเื่ราวทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับตนเองั้แ่เกิดจนถึงปัจจุบันด้วยความทรงจำอันเลือนรางเพราะเป็เวลานานกว่าร้อยปี แต่เขาไม่สนใจอดีตและเลือกที่จะมองหามนุษย์ตัวอุ่นมีกล้ามแขนใหญ่น่ากอดเท่านั้น
โจไซอาล้างหน้าล้างตาจัดการตัวเองในห้องน้ำ แล้วเดินตามกลิ่นอาหารหอมฟุ้งเหมือนกับห้องอาหารของโรงแรมยามเช้า เดินตามเสียงเครื่องครัวจานช้อนส้อมกระทบกัน กับเสียงฝีเท้าหนักย่ำเดินไปเดินมาในบ้านพักตากอากาศหลังนี้
ร่างเพรียวบางมองเห็นเอเดนที่เคาน์เตอร์ครัวพร้อมกับกระทะและตะหลิวในมือ โจไซอาเท้าแขนกับราวบันไดขั้นเกือบล่างสุด แล้วมองตามหุ่นกำยำรูปร่างสมบูรณ์แบบเดินไปมาในบ้านของตนเองที่ไม่เคยให้ใครเข้ามาด้วยรอยยิ้ม และเขารู้ตัวดีว่าอาการที่เกิดขึ้นของตนเองในตอนนี้มันยิ่งกว่าคำว่าหลงใหลในตัวเอเดนเสียอีก
“คุณตื่นตอนเที่ยงพอดี” เอเดนหันมาเห็นเขาเมื่อวางจานอาหารสองจานลงบนโต๊ะ
“ทำไมเธอไม่ปลุกเลย”
“ผมปลุกแล้วครับ แต่คุณไม่ขยับเลย ผมคิดว่าเป็อะไรไปด้วยซ้ำ” โจไซอาเบิกตาเล็ก ๆ พร้อมเลิกคิ้วเพราะไม่ได้ยินเสียงเรียกของเอเดนเลยสักคำ
“เป็คนหลับลึกน่ะ” เขาโกหกหลบหลีกสายตา เลื่อนเก้าอี้ไม้ออกมาและนั่งลงไป ทำตาลุกวาวตื่นเต้นกับมื้อเช้าควบเที่ยงฝีมือเอเดน
“เธอไปหัดทำของแบบนี้มาจากไหน”
“ตอนเบื่อ ๆ”
เอเดนตอบเสียงเรียบ แล้วยกหม้อเล็ก ๆ มาที่โต๊ะ เพื่อราดซอสฮอลแลนเดซลงบนไข่ดาวน้ำบนจานทั้งสอง สีเหลืองนวลเนียนของซอสเงาวาวเป็ประกายทำให้มื้ออาหารสมบูรณ์น่ากิน โจไซอาคิดว่าตนเองเจุ์ช่างเอาใจและโรแมนติกเข้าแล้ว ถึงตัวเองไม่จำเป็ต้องมีชายหนุ่มคุณสมบัติทำอาหารเป็เลิศอยู่ข้างกาย
“เหมือนอยู่โรงแรมเลย เขาเรียกกันว่าอะไรนะ”
โจไซอาไม่ค่อยรู้จักชื่ออาหารนัก ถึงรู้ก็ไม่อยู่ในความทรงจำของเขานาน เพราะมันเป็สิ่งที่ไม่จำเป็จึงถูกลบออกจากความทรงจำอย่างง่ายดาย เพียงแค่จำภาพเลือนรางว่าเคยเห็นของแบบนี้เสิร์ฟเป็มื้อเช้าในโรงแรมหรู
“ไข่เบเนดิกต์” ความสงสัยก่อตัวขึ้นในความคิดของเอเดนเมื่อโจไซอาไม่รู้จักเมนูอาหารเช้ายอดนิยมชนิดนี้
“เธอเก่งจังเอเดน” มือเรียวรับส้อมและมีดจากเอเดน พูดชมกลบเกลื่อนแววตาเต็มไปด้วยคำถามของอีกฝ่าย
โจไซอาตักมื้อเช้าฝีมือเอเดนเป็คำเล็ก ๆ เข้าปาก รสชาติกลมกล่อมกำลังดีที่แสนคุ้มค่ากับการเคี้ยวและกลืนลงคอ พร้อมกับความปลื้มปริ่มที่มีชายหนุ่มลงมือทำอาหารให้โดยที่ไม่เอ่ยขอทำให้มื้อนี้อร่อยเป็พิเศษ เอเดนยังไม่ยอมกินและมองโจไซอาด้วยสายตาคาดหวัง
“อร่อย ขอบคุณเอเดน” คนปรุงอาหารอย่างเอเดนยอมกินมันเมื่อโจไซอาพึงพอใจกับรสชาติอาหาร
“เฮเซล” มือหนาหยิบกระดาษทิชชูบนโต๊ะเพื่อเช็ดปากให้โจไซอา เอ่ยเรียกชื่อปลอมเมื่อยังมีเื่ค้างคาในใจ
“หืม”
“คุณเป็คนหลับลึกแบบนี้ปกติเลยเหรอ”
“อื้อ ใช่” โจไซอาสบถในใจ เพราะเอเดนลากวนกลับมาเื่นี้อีกแล้ว
“ผมยังใไม่หายน่ะ คุณนิ่ง… เหมือนไม่ได้หายใจ” ทั้งหัวใจเต้นอ่อนแรง และผิวกายเย็น เอเดนไม่ได้พูดออกไปทั้งหมด
“ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันเป็อย่างนี้แหละ” เมื่อโกหกไม่เก่งก็ใช้รอยยิ้มเข้าสู้ โจไซอาแย้มยิ้มหวานอย่างไม่มีเหตุผล
“คุณทำให้ผมนึกถึงลูกแมวที่เลี้ยงตอนเด็ก ๆ”
เมื่อคลายความกลัว ภาพลูกแมวตัวเล็ก ๆ ที่ช่วยมาจากซอกตึกในเมืองหลวงเมื่อตอนเอเดนอายุเก้าขวบก็ผุดขึ้นในหัว ตอนนั้นเขากังวลไม่ต่างจากวันนี้ เพราะลูกแมวสีขาวนอนหลับนิ่ง ปลุกเท่าไรก็ไม่ยอมตื่นจนเอเดนคิดว่ามันจากเขาไปแล้ว เป็ภาพซ้อนทับกับโจไซอาเมื่อตอนสายวันนี้ไม่มีผิด
“เธอเคยเลี้ยงแมวด้วยเหรอ”
“ครับ ตอนสิบขวบ มันติดอยู่ในซอกตึกเลยไปช่วยมันออกมา เป็แมวตัวสีขาว ตาสีน้ำตาลทอง คิดไปคิดมาก็เหมือนกับคุณเลยเฮเซล”
โจไซอาหัวเราะ เพราะไม่เคยมีใครเอาเทพไปเปรียบเทียบกับสัตว์สี่ขา และมนุษย์คนอื่นที่ไม่รู้จักตัวตนของเขาก็ไม่เคยพูดแบบเอเดนเลยสักคน ชายหนุ่มคนนี้ช่างแตกต่างจริง ๆ
เอเดนอารมณ์ดีตามเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะหวานใส แต่ความทรงจำที่มาตามหลังเื่แมวสีขาวตัวนั้นทำให้ใบหน้าแต่งแต้มรอยยิ้มของเขาหายไป ความสุขวูบดับราวแสงเทียนถูกลม เพราะมีเื่ไม่น่าจดจำและฝังใจอยู่ในความทรงจำของเอเดนเช่นกัน
“เธอได้ตั้งชื่อให้มันไหม” โจไซอายังไม่ทันสังเกตเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนแปลง
“ครับ”
“ชื่ออะไรเหรอ”
“เรนนี่” เสียงทุ้มเริ่มแ่เบาราวกระซิบ ดวงตาเหม่อมองขอบจานกระเบื้องสีขาว แต่มองเห็นเป็ความทรงจำฝังใจในวัยเด็ก น้ำเสียงเช่นนั้นทำให้โจไซอารับรู้ความรู้สึกของเอเดนที่ไม่ปกติ
สิ่งที่เอเดนรักจะถูกทำลายเมื่อเขาขัดคำสั่งของครอบครัว ไม่เว้นแม้แต่สิ่งมีชีวิต เขาจำเรนนี่ได้ขึ้นใจ ลูกแมวตัวสีขาวมอมแมมที่เขาพบในซอกตึกตอนฝนตก เพื่อนคู่ซี้ที่อยู่ด้วยกันเป็ปีแต่ต้องจากไปอย่างที่เขาไม่อยากยอมรับ เรนนี่เป็สัตว์เลี้ยงตัวแรกของเอเดน และเป็สัตว์เลี้ยงตัวสุดท้ายที่เขามี เพราะเด็กน้อยเอเดนวัยเก้าขวบคนนั้นคิดฝังใจว่าตนเองไม่สามารถปกป้องสิ่งที่รักได้ จึงไม่อยากรัก
โจไซอากลืนน้ำลายเหนียวลงคอเมื่อเห็นแววตาของความเ็ปจากเอเดน เขาพอจะคาดเดาเหตุการณ์เลวร้ายได้ในทันทีเพราะรับรู้เื้ัชีวิตของเอเดนแทบทั้งหมด และได้เห็นรถคู่ใจถูกทุบทำลายกับตามาแล้ว
“เธออยากได้อะไรหรือเปล่าเอเดน” เขาพูดโพล่งออกไป
“ครับ?”
“ตอนบ่ายฉันจะพาเธอไปที่หมู่บ้าน ขาดอะไรก็ซื้อที่นั่นนะ”
“ได้ครับ”
โจไซอาไม่ถนัดเื่การจัดการความรู้สึกของมนุษย์ที่ซับซ้อน และการพูดเปลี่ยนเื่กะทันหันทำให้เอเดนหลุดออกจากห้วงความฝังใจในวัยเด็กได้จริง แต่ก็ทำให้บรรยากาศที่ครอบคลุมในบ้านหลังนี้แปลกไปเช่นกันหลังพูดจบ มีแต่ความเงียบ มีเสียงคลื่นเล็ดลอดเข้ามา
และเสียงกริ่งจากแขกที่ไม่ได้รับเชิญ
“ใครเหรอครับ” เอเดนเกิดคำถามทันที เพราะทั้งคู่อยู่บนเกาะส่วนตัวที่มีเพียงสองต่อสอง และเขาแน่ใจว่าไม่ได้ยินเสียงเรือยนต์
“คงเป็แม่ครัวหรือไม่ก็แม่บ้าน ฉันรีบไปดูก่อนนะ โอ้! ไอ้—”
โจไซอารีบลุกจากเก้าอี้เพื่อไปเปิดประตูบ้าน แต่แขกไม่ได้รับเชิญกลับหายตัวและปรากฏกายที่ชายหาดด้านหลังกระจกที่เอเดนนั่ง เขาอยากสบถด่าความสะเพร่าของผู้ส่งจดหมายเทพที่มาในร่างชายหนุ่มตัวผอมใบหน้าเยาว์วัย และใช้พลังวิเศษที่เทพมอบให้ต่อหน้ามนุษย์ ดีแค่ไหนแล้วที่เอเดนนั่งหันหลังให้ชายหาดแล้วไม่ทันมองภาพนั้น
ร่างเพรียวบางเดินไปที่ประตูเชื่อมกับชานบ้าน ฝีเท้าของผู้ส่งจดหมายเทพเดินเข้ามาหาอย่างแน่วแน่ ใบหน้าเยาว์วัยเรียบนิ่งไร้อารมณ์แล้วส่งซองจดหมายสี่เหลี่ยมผืนผ้าสีขาวดูธรรมดา เพราะปลอมแปลงให้ใกล้เคียงกับแบบที่มนุษย์นิยมใช้ โจไซอารีบรับมันมาไว้ในมือ พลางเหลือบมองเอเดนและพบว่าอีกฝ่ายยังจ้องเขาอยู่ด้วยความแปลกใจ
“เขาเป็มนุษย์ ช่วยเดินกลับไปแบบมนุษย์ด้วย ไม่อย่างนั้นนายจะตกงาน”
“ครับท่านเทพโจไซอา” แต่ผู้ส่งจดหมายเทพกลับโค้งคำนับนอบน้อบและเรียกเขาเกือบเต็มยศอย่างน่าหงุดหงิด โชคดีที่โจไซอาปิดประตูบ้านไว้แล้วเพื่อไม่ให้เสียงดังเข้าไปถึงหูเอเดน
“รีบไปซะ”
โจไซอาปั้นรอยยิ้มกว้างเมื่อกลับเข้ามาในบ้านพักหลังผู้ส่งจดหมายเทพเดินกลับออกไปด้วยท่าทางเกร็ง ๆ ดูแปลกพิลึก เอเดนยิ้มตอบอย่างเคย แต่ดวงตาสีเฮเซลยังเต็มไปด้วยคำถาม เขาอยากถามเต็มแก่ว่าจดหมายอะไร ทำไมคนคนนั้นถึงรู้ว่าโจไซอาอยู่ที่นี่ เขามาที่นี่ได้อย่างไร ใคร ๆ ก็ขับเรือมาได้หรือไม่ แต่ทุกคำถามนั้นถูกเพิกเฉย พับเก็บไว้ด้านหลังเพราะเอเดนท่องวนบอกตัวเองในใจว่ามันเป็เื่ส่วนตัว
“ฉันขึ้นไปอาบน้ำนะ” ร่างเพรียวบางมายืนซ้อนหลัง และไม่เปิดจดหมายอ่านต่อหน้าเอเดน แขนเรียววางบนไหล่กว้าง โน้มใบหน้ามาจูบแก้มแ่เบา
“คุณยังกินไม่เสร็จเลย”
“อ้อใช่ เธอทำให้ทั้งที ฉันไม่ควรทิ้งใช่ไหม” โจไซอาคว้าส้อมที่วางทิ้งไว้บนจานตนเองฝั่งตรงข้าม จิ้มแป้งมัฟฟินกับแฮมหนึ่งเสี้ยวเข้าปากเป็คำสุดท้าย ก่อนจะรีบเดินขึ้นบันไดไปที่ชั้นสอง
“วันนี้ฉันจะสอนเธอขับเรือ” โจไซอาทิ้งท้ายพร้อมรอยยิ้มสดใส แล้วรีบร้อนขึ้นห้องชั้นสอง
เอเดนมองตามจนมองไม่เห็นร่างเพรียวบางในกรอบสายตา เขาวางส้อมลงบนจานที่ยังเหลือมื้อเช้าอยู่อีกเสี้ยวหนึ่งพร้อมกับความรู้สึกไม่อยากกินมันอีก เพราะความรู้สึกสองด้านในใจของเอเดนกับกำลังต่อต้านกันเอง ด้านหนึ่งบอกว่าเขาไม่ควรนึกสงสัยอะไร ไม่ควรตั้งคำถามในเื่ส่วนตัวและเชื่อมั่นในตัวเฮเซลที่เขารู้จัก แต่อีกด้านมีแต่ความสงสัยอยู่เต็มไปหมด หลายสิบคำถามที่เพิกเฉย ละทิ้งไว้ด้านหลังกำลังกองพะเนินสูงขึ้นจนเมินมันไม่ได้อีก
เอเดนรู้จักเฮเซลจริงหรือ
ความรู้สึกอันยุ่งเหยิงยังต่อต้านกันเองในหัวไม่หยุดเมื่อมาถึงหมู่บ้านเล็ก ๆ แต่มีร้านค้าขายของใช้และร้านอาหารเปิดให้บริการ บรรยากาศเงียบสงบเป็กันเองของที่นี่ดีกว่าเมืองที่พวกเขามาถึงตอนแรก ซึ่งหนาแน่นไปด้วยนักท่องเที่ยวจากต่างแดนมาพักผ่อน่ฤดูร้อน
“ที่นี่ชายหาดมีแต่โขดหินกับหินกรวด คนเลยไม่ค่อยมาเล่นน้ำกันน่ะ แต่อาจจะได้เห็นนักท่องเที่ยวมาเดินในหมู่บ้านบ้าง ถ้าเธอไม่ชอบเรารีบซื้อรีบกลับก็ได้” โจไซอาพูดระหว่างจับมือเอเดนที่ส่งมาช่วยพยุงตอนก้าวขาขึ้นท่าเรือ
“ไม่เป็ไรครับ ที่นี่ไม่มีใครรู้จักผมอยู่แล้ว”
เอเดนพยายามเก็บซ่อนความรู้สึกด้วยรอยยิ้มฉาบหน้าไม่ให้โจไซอาสงสัย พวกเขาเดินจับมือกันเดินเที่ยวรอบหมู่บ้านขนาดเล็ก แต่งตัวสบาย ๆ ด้วยกางเกงขาสั้นผ้าลินินกับเสื้อเชิ้ตแขนสั้นปลดกระดุมสามเม็ด ส่วนโจไซอาเป็เชิ้ตแขนยาวสีฟ้าอ่อนมีแว่นกันแดดห้อยอยู่ที่กระเป๋าตรงอกซ้าย
เมืองนี้ไม่แต่งต่างจากเมืองใหญ่ที่เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวที่พวกเขามาถึงตอนแรก ตึกทาสีหลากสีสัน เนื้อสีบางส่วนหลุดลอกเป็แผ่นจนเห็นกำแพงปูนสีขาวทำให้ดูเก่ากว่าแต่ไม่ลดความสวยงาม พื้นยังคงเป็ทางลาดของูเา มีพื้นราบน้อยยิ่งกว่าเมืองนั้น
โจไซอาจูงมือพาเอเดนเข้าร้านแว่นกันแดดทันที แล้วเลือกหยิบแบบที่คิดว่าเอเดนสวมแล้วเท่ที่สุด แต่คนโครงหน้าคมชัดแบบเอเดนใส่อะไรก็ดูดีไปเสียหมดอย่างน่าชื่นชม พวกเขาเดินออกมาซื้อปลาสำหรับมื้อเย็นเป็อย่างต่อมา รวมถึงวัตถุดิบปรุงอาหารเพิ่มเติมตามที่เอเดนเป็คนเลือกทั้งหมดเพราะโจไซอาทำอาหารไม่เป็
“แน่ใจนะว่าจะไม่ให้แม่ครัวทำ”
“ผมทำให้คุณเองครับ บอกแล้วนี่ว่าอยากให้เกาะนั้นมีแค่เรา” เอเดนส่งยิ้มให้ขณะเลือกผลเลมอนลูกที่ขนาดพอเหมาะและไม่มีรอยช้ำ
ทั้งคู่เดินกลับพร้อมกับถุงใส่อาหารและเสื้อผ้าใส่ว่ายน้ำของเอเดนสองสามชุด รวมถึงแว่นกันแดดสีดำที่คาดอยู่บนศีรษะ คนเริ่มเยอะขึ้นใน่เย็นทำให้เอเดนอยากรีบกลับ พวกเขาจึงไปที่ท่าเรือใช้เส้นทางลัดเลาะอีกเส้นหนึ่ง ต่างกับตอนมาถึง และได้พบรูปสลักกลางจัตุรัสของเมืองบนพื้นที่ราบแห่งเดียวในหมู่บ้านเล็ก ๆ
เอเดนที่หอบถุงใส่ของยืนมองรูปสลักสีเทาซีดนิ่งด้วยความตื่นตาตื่นใจ เพราะความละเอียดลออประณีตที่เขาไม่เคยพบเห็นมาก่อนของรูปสลักหินสูงเกือบสามเมตร เป็รูปชายร่างกำยำตัวใหญ่นั่งคุกเข่าข้างหนึ่งบนแท่นโขดหินขรุขระ แขนแข็งแรงข้างหนึ่งวางค้ำที่หน้าขาที่ตั้งชัน ส่วนแขนอีกข้างอยู่แนบลำตัว ราวกับท่าค่อมหัวทำความเคารพของทหารในยุคกลาง
เพียงแต่นี่ไม่ใช่รูปสลักของมนุษย์ เพราะแม้จะเป็ชายรูปร่างกำยำ แต่กลับมีปีกขนาดใหญ่ติดอยู่ที่สะบักหลัง ที่ศีรษะมีเขาใหญ่สองข้างโค้งงอไปด้านหลังเหมือนกับเขาแพะูเา ใบหน้าของรูปสลักคมชัด ดูเต็มไปด้วยความเ็ป กล้ามเนื้อกำยำทุกสัดส่วนของร่างกายชัดเจนราวกับไม่ใช่รูปสลัก แต่เป็ของจริงที่เคยมีชีวิต
“สวยเหรอ” โจไซอาถามเพราะเห็นเอเดนยืนมองอยู่นาน
“ครับ สวยจนคิดว่าทำไมถึงได้มาตั้งอยู่ที่นี่” มันเหมือนงานประติมากรรมหินอ่อนสลักของศิลปินระดับโลกที่อยู่ในพิพิธภัณฑ์
“เหมือนจะอยู่มานานมากแล้ว เป็สัญลักษณ์ของเมืองน่ะ”
โจไซอาเห็นมันตั้งอยู่ตรงนี้ั้แ่ครั้งแรกที่มาเมื่อสิบปีก่อน มันคือรูปสลักของซาตาน และทำออกมาได้สมจริงมากจึงคิดว่าอาจเป็ฝีมือของเทพด้านศิลปะสักองค์หนึ่งที่นึกอยากสลักหินเป็ซาตานที่พวกเทพมักจ้างให้เป็ผู้รับใช้
เสียงฟ้าร้องดังลั่นตัดขาดทั้งคู่ออกจากห้วงความคิดในหัว เอเดนเงยหน้ามองท้องฟ้าที่มีเมฆก้อนใหญ่กำลังลอยต่ำลงมา โจไซอาแปลกใจกับฝนหลงฤดู และหงุดหงิดเทพแห่งฝนที่คงไปมีความรักหรือความรู้สึกรุนแรงจนควบคุมฝนในโลกมนุษย์ได้ไม่ดีพอ
“รีบกลับกันเถอะครับ”
จากที่ตั้งใจว่าจะลองสอนเอเดนขับเรือยนต์ก็ต้องพับเก็บแผนการนั้นไว้ก่อน เพราะเมฆฝนที่กำลังคืบคลานเข้ามาจนท้องฟ้าเป็สีหม่น บดบังความสดใสของแสงอาทิตย์ ทั้งคู่แทบไม่ได้พูดคุยอะไรกันเลยระหว่างที่เดินทางกลับ ด้วยเหตุที่ต่างคนต่างไม่อยากะโสู้กับเสียงเครื่องยนต์และเสียงคลื่นที่ซัดรุนแรงขึ้นจนเรือโคลงเคลง
เม็ดฝนเริ่มหยดลงมาเมื่อโจไซอาจอดเรือเทียบท่าบนเกาะของตัวเอง เอเดนหอบถุงกระดาษแนบอก เป็คนเดินขึ้นท่าเรือก่อนแล้วส่งมือให้อีกฝ่ายจับเช่นเดิม ก่อนที่โจไซอาจะสะบัดมือเอเดนออกเมื่อเม็ดฝนเริ่มขยายใหญ่และเทลงมาถี่ขึ้น เอเดนมองตามแผ่นหลังบางที่เริ่มห่างออกไป แล้ววิ่งตามอีกฝ่ายเมื่อโจไซอาหันมากวักมือเรียก
แต่กว่าที่พวกเขาจะวิ่งมาหลบฝนในบ้านพัก ทั้งตัวก็ชุ่มไปด้วยน้ำ เสื้อเชิ้ตผ้าบางแนบเนื้อเส้นผมเปียกจนลู่แนบกรอบหน้า เอเดนเสยผมไปด้านหลังแล้ววางถุงห่อกระดาษลงบนเคาน์เตอร์ครัวเงียบ ๆ
“ฝนหลงฤดูอีกแล้ว เราเปียกกันจนดูไม่ได้เลย” โจไซอาพูดกลั้วเสียงหัวเราะด้วยความอารมณ์ดี เพราะถึงอากาศไม่สดใสแต่เขาก็มีเอเดนอยู่เคียงข้าง
“แต่เธอชอบตากฝนนี่เอเดน” เขานึกถึงตอนเห็นเอเดนวิ่งออกไปยืนกลางสายฝนและเงยหน้ารับเม็ดฝนด้วยรอยยิ้ม จึงเดินเข้าไปหาเอเดนที่กำลังยืนหันหลัง แล้วคว้าข้อมืออีกฝ่าย “อยากออกไปเล่นน้ำทะเลตอนฝนตกกับฉันไหม”
แต่เอเดนบิดข้อมือเพื่อให้มือของโจไซอาหลุดออก
“เอเดน” เสียงหวานเอ่ยเรียกแ่เบาด้วยความไม่เข้าใจ โจไซอารอคอยให้เอเดนหันมาสบตา และคาดเดาหลากหลายอารมณ์ความรู้สึกจากดวงตาสีเฮเซลไม่ได้เลย
“เฮเซล”
“เธอเป็อะไรหรือเปล่า” มือเรียวทั้งสองข้างกุมมือข้างขวาของเอเดน
“ผมมีเื่อยากถามคุณครับ หลายเื่มาก ๆ ด้วย” เสียงทุ้มแข็งกร้าวและหนักแน่น ยามนี้ความคิดที่บอกเอเดนให้ต้องถามคำถามคลายความสับสบชนะความคิดอีกด้านหนึ่งในที่สุด
“อะไร ถามมาสิ ฉันจะตอบทุกเื่”
คนตรงหน้าของเอเดนบอกเขาเช่นนั้น แต่เอเดนกลับไม่มีความเชื่อมั่นใจตัวโจไซอาเลย เขาคิดแต่ว่าอีกฝ่ายจะโกหกทุกคำถามจากเขา หรือไม่ก็อาจเปลี่ยนเื่
“คุณอยู่ที่นี่ได้กี่ปีแล้วครับ”
“สิบปี” โจไซอาไม่ได้โกหก แต่ความไม่ไว้ใจและความน้อยอกน้อยใจในความไม่ยุติธรรมทำให้เอเดนไม่เชื่อ
“คุณซื้อทั้งเกาะนี้เหรอ”
“ฉันได้เป็ของขวัญ”
“จากใครครับ”
“พ่อของฉัน” เอเดนเงียบไปสักพัก และคิดว่าควรเข้าเื่เสียที
“พ่อของคุณคือใครเหรอครับ รู้จักกับพ่อผมหรือเปล่าถึงได้สนิทกันง่ายขนาดนั้น” เอเดนเกลียดตัวเองที่พูดประโยคแบบนั้น เพราะมันฟังดูเหมือนพวกบ้าอำนาจเอาชื่อเสียงและเงินทองมากำหนดค่าของคนไม่มีผิด
“เปล่า ไม่ใช่หรอก ไม่ได้รู้จักกัน ฉันบอกแล้วว่าเป็เพราะฉันเล่นกอล์ฟเหมือนพ่อเธอ”
“ถ้าอย่างนั้นคุณคงมีอะไรสักอย่างที่ทำให้คนอย่างพ่อผมยอมรับได้สินะ” โจไซอาขบกัดริมฝีปาก ดวงตาสั่นไหว
“จะว่าอย่างนั้นก็ได้”
“คุณโกหกผมเฮเซล” เอเดนรับรู้ได้ในทันทีว่ามันเป็เื่โกหกจากความไม่มั่นใจและการหยุดคิดของโจไซอา เขาชักมือตัวเองออกจากมือเรียว
“เอเดน เธอ้าอะไร เธออยากรู้อะไรเธอถามฉันได้ทุกอย่าง ทุกอย่างจริง ๆ”
“ผมไม่ได้้าอะไรจากคุณหรอกครับ” เขาหันหน้าหนีมองสายฝนที่กระหน่ำเทลงมาราวพายุด้านนอก “ผมแค่รู้สึกแย่” เขาถอนหายใจยาวและหันกลับมาสบมองดวงตาสีน้ำตาลอ่อน
“คุณรู้ทุก ๆ อย่างของผมเฮเซล รู้ว่าผมชื่ออะไร รู้ว่าครอบครัวผมเป็ยังไง คุณโผล่มาตอนที่ผม้าที่สุดได้ คุณรับรู้ความรู้สึกที่อ่อนแอที่สุดของผม แต่ผมแทบไม่รู้จักคุณเลย ที่ผมไม่เคยสงสัยเพราะผมอยากรักคุณโดยที่ไม่สนว่าคุณจะเป็ใคร แต่นี่มันไม่ยุติธรรม”
เขาะเิคำพูดทุกอย่าง ไม่มีการตะคอกหรือแผดเสียง เพราะมันคือความเ็ปน้อยใจ ไม่ใช่ความโมโห
“ต่อจากนี้ฉันจะบอกเธอทุกอย่าง เอเดน ฉัน—”
“หมายถึงโกหกน่ะเหรอ” เอเดนพูดแทรกจนโจไซอาชะงัก
“แม้แต่ชื่อคุณยังโกหกผมเลย คุณไม่ได้ชื่อเฮเซลด้วยซ้ำ”
เอเดนรู้มาตลอด แต่ความจริงถูกกดทับเอาไว้ล่างสุดของห้วงความรู้สึก เพราะเขาเต็มไปด้วยความลุ่มหลงต่อชายผู้งดงาม ความหลงที่เขามีมากพอให้ละทิ้งคำถาม ละทิ้งคำโกหกได้อย่างง่ายดาย และมันรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนย้อนกลับมาขยายใหญ่จนะเิเป็คำพูดในวันนี้
โจไซอากลืนน้ำลายเหนียวลงคอ สูดหายใจลึกเรียบเรียงคำพูดและตั้งสติ เพื่อบอกความจริง
“ฉันชื่อโจไซอา”
“นามสกุลล่ะ”
“เทพไม่จำเป็ต้องมีนามสกุลหรอก” เอเดนขมวดคิ้ว ดวงตาสีเฮเซลมีแต่คำถาม ไม่ได้คลายความสงสัยเลยแม้แต่น้อย
“คุณกำลังพูดเื่อะไร”
“ฉันพูดไปเธอก็ไม่เชื่อ”
พวกมนุษย์จะคิดว่าเป็เื่เหลวไหลเพ้อเจ้อไม่เป็ความจริง เทพจึงมีวิธีแสดงตัวตนกับมนุษย์โดยเฉพาะ
“คุณกำลังคิดคำโกหกผมอยู่—”
เสียงเอเดนถูกกลืนหายไปในลำคอ เพราะโจไซอากุมมือที่กรอบสันกรามเพื่อล็อกแน่น และประกบริมฝีปากเข้าหาส่วนเดียวกัน เมื่อจำเป็ต้องแสดงตัวตน เทพจะใช้การัักับมนุษย์แล้วแสดงภาพของตนเองั้แ่เกิดให้มนุษย์ผู้นั้นเห็น โจไซอาใช้การจูบเอเดน
ดวงตาสีเฮเซลเบิกโพลงใ แต่ภาพที่เขาเห็นไม่ใช่ความพร่ามัวไม่ชัดเจนในระยะใกล้ กลับเป็ภาพฟุ้งราวความฝัน ขอบเป็สีดำจางไล่ระดับ ราวกำลังจ้องมองทุกอย่างจาก้า เขาเห็นชายหญิงรูปงามยิ้มให้กันด้วยความรัก ในอ้อมแขนหญิงผมยาวคนนั้นมีเด็กทารกผมสีทองกำลังยิ้มร่าอวดดวงตากลมสีน้ำตาลอ่อนใสเป็ประกาย
ภาพต่อไปเป็ห้องเพดานสูงที่เอเดนไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน จะว่าเพดานสูงก็ไม่อาจบรรยายเช่นนั้นได้ เพราะมีหมอกสีขาวลอยอยู่ที่เพดาน เหมือนกับก้อนเมฆบนท้องฟ้า และเอเดนเห็นโจไซอาที่ไม่แตกต่างจากตอนนี้ กำลังยิ้มมีความสุขอยู่หน้ากระจก สวมเสื้อสูทสีดำยาวถึงหัวเข่าทับด้านนอกเสื้อสีขาวโปร่ง และมีหมวกสีดำทรงสูงกับไม้เท้าอยู่ในมือเหมือนการแต่งกายของผู้ชายในอดีต โจไซอาหมุนตัวมองตัวเองในกระจกดูร่าเริงมีความสุข
เขาเห็นโจไซอาสวมชุดย้อนยุคเดินในสักเมืองของยุโรปด้วยใบหน้าตื่นตาตื่นใจ มีผู้คนในชุดเสื้อผ้าแบบเดียวกันเดินขวักไขว่ เอเดนระลึกได้ด้วยตนเองว่าที่นั่นคือโลกมนุษย์เมื่อราวร้อยปีก่อน จากนั้นโจไซอาเดินเข้ามุมซอกตึกปลอดผู้คนด้วยแววตาระแวดระวัง ก่อนจะหายตัวไปในอากาศ
เขาเห็นโจไซอายิ้ม เห็นโจไซอาตื่นกลัวกำลังวิ่งหนีอะไรบางอย่าง เห็นน้ำตาที่อาบบนแก้มพร้อมกับอ้าปากะโคำที่เอเดนไม่ได้ยิน เห็นโจไซอาเขินอายจนแก้มเป็สีแดง เห็นโจไซอาร้องไห้อีกครั้ง และอีกครั้ง ร้องไห้จนน้ำตากลายเป็สายเืไหลเป็ทางจากหางตา
บางอย่างในความรู้สึกบอกกับเอเดน ราวกับความฝันยามหลับที่สามารถระลึกได้เองว่าเกิดอะไรขึ้น ราวกับความจริงอย่างถ่องแท้ที่วิ่งเข้ามาในหัว
โจไซอา คือเทพแห่งการร่วมประเวณี
โจไซอาผละจูบ มือยังวางแนบอยู่ที่กรอบหน้าของเอเดน พยายามสบตาสีเฮเซลที่ยังเหม่อลอยราวภาพเ่าั้ที่เขาตั้งใจให้เอเดนเห็นยังคงติดตา
“เอเดน” เสียงหวานสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ด้วยความกลัว
เอเดนเลื่อนสายตาสบมองโจไซอาตอบกลับ โจไซอาไม่สามารถคาดเดาความรู้สึกอันซับซ้อนของมนุษย์คนนี้ได้เลย มือสองข้างที่กุมอยู่ค่อย ๆ คลายออกเชื่องช้า
เพราะเอเดนก้าวเท้าถอยออกไปจากตัวเขา
tbc.
#เฮเซลอาย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้