“ก็ได้ ก็ได้ ข้ากลัวเ้าแล้วก็ได้!” หลิวเสี่ยวหลันสีหน้าเปลี่ยน ผ่านไปชั่วครู่แล้วจึงเอ่ย “พูดเถอะ เ้า้าถามเื่อะไร ที่ผ่านมาเราสองคนดีต่อกันที่สุด หากไม่ใช่เพราะแม่เ้าทำเื่อะไรไม่เข้าท่า ข้าเองก็ไม่มีทางไม่ช่วยเ้าอยู่แล้ว”
หลิวจูเอ๋อร์ตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า “ข้ารู้ว่าอาเล็กดีที่สุด เฮ้อ แม่ข้าคิดอะไรก็พูดไปเช่นนั้น จะว่าไป คราวก่อนที่เอ่ยถึงเื่สินเดิมออกเรือนของอาเล็ก จะโทษแม่ข้าทั้งหมดก็ไม่ได้ อาเล็ก เ้าคิดดู ทั้งที่เ้ารู้สาเหตุแต่แรก กลับไม่บอกกับแม่ข้า หัวใจของแม่ข้าจึงโกรธเป็ฟืนเป็ไฟ”
“ข้ามีเื่อันใดปิดบังเ้าหรือ? จูเอ๋อร์ เราสองคนมีสัมพันธ์ดีต่อกัน แม่เ้าเองก็ไม่เคยถามข้า ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่านาง้าสิ่งใด?” หลิวเสี่ยวหลันไม่พอใจ
ลำพังแค่นึกถึงก็โกรธ คราวก่อนหลิวซุนซื่อมาแทรกแซง ท่านแม่ไม่เพียงแต่ไม่ได้ให้พี่ใหญ่น้อยลง ทั้งยังจ่ายออกไปอีกห้าตำลึง แม้ว่าตนเองจะโวยวาย แต่หลิวฉีซื่อรับปากนางว่าจะซื้อกำไลเงินให้หนึ่งคู่ กำไลเงินที่หญิงสาวสวมใส่นั้นสวยงามแต่ไม่ได้ราคาสูง จะเทียบกับห้าตำลึงเงินได้อย่างไร?
สำหรับเื่นี้ ทำให้หลิวเสี่ยวหลันนั้นเกลียดชังหลิวซุนซื่อเข้าไส้
หลิวจูเอ๋อร์เป็คนหูตาไว จึงเอ่ยยิ้มแย้ม “เอาเถิด อาเล็ก ข้าไม่เชื่อว่าย่าจะไม่มีอะไรให้เ้า อีกอย่าง บ้านเราได้ตำลึงเงินมา แม่ข้าก็รีบเอาไปซื้อปิ่นปักผมใหม่ล่าสุดที่โรงเครื่องเงิน”
เมื่อพูดถึงเื่นี้ ดวงตาของนางหยุดอยู่ที่ปิ่นปักผมนั้น
หลิวเสี่ยวหลันต้องถามว่า “แล้วเ้าอยากรู้อะไร?”
เมื่อเห็นว่าน้ำเสียงของนางนุ่มนวลลงไม่น้อย หลิวจูเอ๋อร์เองก็ไม่อ้อมค้อม ชี้ไปทางจางกุ้ยฮัวที่กำลังรดน้ำแปลงผัก “อาเล็ก ข้าเห็นน้าสะใภ้สามเอาแต่รดน้ำแปลงผัก ผ่านมาก็หลายวัน นางดูแลเพียงครึ่งเดียว นิสัยเกียจคร้านนี้ปล่อยไว้ไม่ได้”
หลิวเสี่ยวหลันเหลือบมองไปในทิศทางของสวนผักและตอบอย่างไม่แยแสว่า “แม่ของข้าบอกว่าต่อไปจะปลูกแค่ครึ่งแปลง”
“เพราะเหตุใด แล้วที่เหลือเล่า?” หลิวจูเอ๋อร์ได้ยินดังนั้นหัวใจก็หนักอึ้ง เหตุใดจึงไม่ปลูก? นางคนนี้ไม่สมควรปล่อยให้อยู่สุขสบาย!
หลิวเสี่ยวหลันอดไม่ได้ที่จะกลอกตา “เหตุผลหลักเพราะจางกุ้ยฮัวปลูกมากกว่านี้ไม่ได้ ที่เหลือน่ะหรือ? แม่ก็ไม่ได้ว่าอะไร ทว่า ข้ากับแม่เคยเกริ่นว่า ให้นางปลูกต้นพุทรา ต้นท้อกับต้นแพร์ เช่นนี้ บ้านเราจะได้มีผลไม้ไว้กิน”
หลิวจู่เอ๋อร์เริ่มไม่พอใจขึ้นเรื่อยๆ อดไม่ได้ที่จะดูถูกหลิวเสี่ยวหลันว่ารู้ไม่เท่าทัน ผลไม้ที่ปลูกเองในบ้านจะไปอร่อยเท่าที่ซื้อจากข้างนอกได้อย่างไร
“จางกุ้ยฮัวไม่ยอมปลูก ทําไมหรือ?”
หลิวเสี่ยวหลันกล่าวอย่างรำคาญใจว่า “จะเพราะอะไรอีก ข้าว่าจูเอ๋อร์ พี่รองทำงานในโรงเตี๊ยม และเป็ถึงเหรัญญิก บ้านเ้าก็ไม่ได้ขาดแคลนผักแค่นั้น ทุกครั้งที่กลับมาในเทศกาลตรุษจีน บ้านเ้ายังหอบของกินกลับไปเป็หนึ่งรถเข็นวัวใหญ่ๆ แน่นอนว่า ยามปกติก็เอาผักกลับไปไม่น้อย
หลิวจูเอ๋อร์ไม่กล้าเอ่ยออกมา ผักตากแห้ง ปลาแห้ง เนื้อแห้งที่ลากกลับไปทุกครั้ง ล้วนส่งไปขายให้โรงเตี๊ยม อีกทั้งฝีมือที่จางกุ้ยฮัวทำก็ไม่เลว บรรดาพ่อครัวจึงชอบใจ เพียงแต่ว่าหลิวเหรินกุ้ยไม่ให้ที่บ้านรู้เื่นี้ ที่ผ่านมาจึงบอกว่าคนในบ้านไม่ได้มีเวลาว่างมากนัก ต้องดูแลสวน
ตอนนี้จางกุ้ยฮัวไม่ปลูกผัก แล้วไก่กับเป็ดล่ะ?
ทันใดนั้นนางก็ถามหลิวเสี่ยวหลันอีกครั้งว่า “เหตุใดจึงไม่เลี้ยงไก่และเป็ดล่ะ? อาเล็กเกิดมาร่างกายอ่อนแอ ข้าว่าต้องหาทางบำรุงให้มากๆ เลี้ยงไว้จะได้เชือดเพื่อมาให้อาเล็กบำรุงร่างกายได้บ่อยครั้ง”
หลิวเสี่ยวหลันชอบฟังคำพูดเช่นนี้ ยิ้มแล้วเอ่ย “จูเอ๋อร์ของเราเป็คนดี ไก่นี่น่ะ เฮ้อ ่นี้ในบ้านค่อนข้างยุ่ง แล้วยังมีแขกพักอาศัยอยู่ แม่ไก่ในบ้านถูกเชือดไปพอสมควร แม่ข้าบอกว่า ปีนี้ต้องเลี้ยงเป็ดไก่ให้มากหน่อย”
นางไม่ทราบว่าหลิวฉีซื่อ้าเลี้ยงไก่และเป็ดมากขึ้น เพราะวางแผนที่จะไม่ให้การปันส่วนสําหรับครอบครัวของหลิวเหรินกุ้ยอีกต่อไป
หลิวจูเอ๋อร์ฟังแล้วสบายใจขึ้น ไม่ปลูกผัก แต่อย่างน้อยเลี้ยงไก่ก็ยังดีกว่าไม่ใช่หรือ
คล้อยกันนั้น หลิวเสี่ยวหลันจึงเอ่ยอีก “ทว่า ไก่คงเลี้ยงไม่เยอะ เพราะถึงอย่างไรปีหน้าก็ต้องเลี้ยงหมูเพิ่ม จูเอ๋อร์ ข้าจะแอบบอกให้เ้ารู้ แม่ข้าไม่ค่อยชอบแม่เ้า ฮึ พวกนางเห็นว่าข้าอายุยังน้อย ยังไม่เข้าใจกระมัง”
“หมายความเช่นไร?” หลิวจูเอ๋อร์ใบหน้าตึงเครียด มิน่า ่นี้หลิวฉีซื่อมองแม่ตนเองแล้วขวางหูขวางตาไปหมด
หลิวเสี่ยวหลันจึงเล่าเื่ที่จางกุ้ยฮัวจะขอหย่าคราวก่อนให้ฟัง ถัดจากนั้นจึงเอ่ย “เฮ้อ ถ้าเ้าไม่เอ่ยเื่นี้ขึ้น ข้าเองก็ลืมไปแล้ว ตอนนั้นนางเหี้ยมโหดไม่น้อย สายตานั้นราวกับจะกินคนให้ได้ ทำเอาข้าตกอกใหมด”
“อะไรนะ พวกนางทั้งบ้านไม่เพียงแต่จะไม่ปลูกแปลงผัก ยังได้เงินห้าร้อยอีแปะเช่นนั้นหรือ?” หลิวจูเอ๋อร์คิดว่าควรบอกเื่นี้ให้แม่ตนเองรับทราบ
“ไม่เพียงแค่นั้น พ่อของข้ายังบอกอีกว่าในอนาคตอย่าให้จางกุ้ยฮัวทำงานหนัก นางยังต้องให้นมลูก ทั้งยังต้องบำรุงร่างกาย ดังนั้น จึงต้องลำบากแม่เ้า” หลิวเสี่ยวหลันหมั่นไส้เื่ที่ครอบครัวจางกุ้ยฮัวได้เงินห้าร้อยอีแปะอย่างง่ายดาย
นางไม่้าให้หลิวฉีซื่อเกื้อหนุนต่อครอบครัวของจางกุ้ยฮัว นางชอบให้คนในครอบครัวฝั่งนั้นใช้ชีวิตแบบลำบากตรากตรำ มองดูนางตัวดีพวกนั้นมองตนเองด้วยใบหน้าอิจฉาชื่นชม
“นอกจากนี้ จางกุ้ยฮัวบอกพ่อและแม่ของข้าว่า ต่อไปจะไม่ปลูกผักให้บ้านเ้า และไม่ช่วยเลี้ยงไก่ นางบอกว่า ใครใคร่ปลูกก็ปลูกเอง ใครใคร่เลี้ยงก็เลี้ยงเอง ครอบครัวนางจะไม่ช่วยผู้ใดเลี้ยงโดยเปล่าประโยชน์อีกต่อไป
“อะไรนะ?” เสียงแหลมเล็กของหลิวจูเอ๋อร์ดังขึ้นในลานบ้าน ทําให้นกกระจอกที่อยู่บนต้นไม้ตื่นใและบินหนี
ความคิดของจางกุ้ยฮัวสร้างความเสียหายให้กับครอบครัวของนางอย่างรุนแรง จะให้นางยอมรับมันได้อย่างไร
“นางกล้าหรือ? ผู้หญิงแพศยาคนนี้คิดว่าตัวเองเป็ลูกคุณหนูหรืออย่างไร? ก็แค่หญิงสาวบ้านคนจน หากไม่ใช่เพราะย่าเมตตา เห็นว่านางน่าสงสาร จะให้อาสามมาสู่ขอนางหรือ? ถุย คิดว่าตนเองเป็ใคร ไม่ส่องกระจกดูเงาตนเองเสียบ้าง”
ดังนั้นแล้ว การด่าคำหยาบนั้นสามารถถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นจริงๆ
หลิวจูเอ๋อร์ที่สีหน้าอ่อนโยนเรียบร้อยในยามปกติ แต่อันที่จริง มีสันดานของหลิวฉีซื่อที่ถ่ายทอดมาซ่อนอยู่ในกระดูก
เมื่อได้ยินหลิวจูเอ๋อร์ด่าคน ในใจของหลิวเสี่ยวหลันก็รู้สึกสาแก่ใจ จึงเอ่ยเสริม “นั่นสิ นั่นสิ นางผู้หญิงเลี้ยงหมูคนนี้ วันๆ เอาแต่ทำตัวแพศยา แล้วยังทำให้แม่ข้าโมโหไม่น้อย”
“อาเล็ก เ้าพูดได้ไม่ผิด นางคือนางหมูแพศยา อีกทั้งเห็นหมูตัวผู้ก็ไม่ขยับไปไหน” ริมฝีปากเล็กสีแดงของหลิวจูเอ๋อร์ พอพ่นคำพูดออกมาก็ช่างร้ายกาจ เด็กสาวที่ยังไม่ออกเรือนพูดจาเช่นนี้ออกมา นับว่าน่าขยะแขยงสิ้นดี
หลังจากที่นางพูดแบบนี้ ก็พบว่าสีหน้าของหลิวเสี่ยวหลันนั้นเปลี่ยนไป จึงยิ้มแล้วเอ่ย “อาเล็ก มีอะไรหรือ!”
นิ้วดุจหยกของหลิวเสี่ยวหลันกำผ้าเช็ดหน้าไว้เบาๆ ชี้ไปทางด้านหลัง แล้วขานเรียกเสียงเบา “พี่สะใภ้สาม”
“อะไร? พี่ พี่สะใภ้สาม...” หลิวจูเอ๋อร์ใ เพราะถึงอย่างไรตัวนางก็เป็ผู้าุโน้อย หากว่าจางกุ้ยฮัวจะหาเื่ขึ้นมา เกรงว่านางคงต้องถูกผู้าุโในบ้านจับคุกเข่าต่อหน้าโต๊ะบรรพบุรุษ
ถ้าข่าวออกไป คงมีปัญหาใหญ่กับการออกเรือนในอนาคตเป็แน่
ขณะนี้ ร่างกายที่สั่นเทาของนางหันมาช้าๆ
จางกุ้ยฮัวจ้องมองนางด้วยใบหน้าที่มืดมน สายตาเยือกเย็นอย่างน่าแปลกประหลาด ราวกับสุนัขคลั่งที่หิวมานาน หลิวจูเอ๋อร์ไม่กล้าเอ่ยปาก กลัวว่าทำแล้วอีกฝ่ายจะพุ่งเข้ามากัดและฉีกเนื้อนาง
หลิวจูเอ๋อร์เชิดหน้า จ้องมองแววตาที่ดุร้ายนี้ แต่ขณะที่จางกุ้ยฮัวค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้ นางก็ยิ่งหวาดกลัว!
ในที่สุด แสงสว่างช่วยชีวิตของหลิวจูเอ๋อร์ก็ปรากฏขึ้น เมื่อแสงนั้นก็เดินเข้ามา ถัดจากนั้นก็ตามด้วยกลิ่นแปลกๆ ที่ลอยมาตามลมจางๆ นางรู้สึกเหมือนตนเองเป็คนจมน้ำ จนในที่สุดเหมือนเป็ฟางเส้นสุดท้าย นางได้ขานเรียกด้วยน้ำเสียงสั่นคลอนเพื่อขอให้ช่วยชีวิต “แม่!”
เสียงของนางน่าสังเวช สีหน้านั้นน่าสงสาร ร่างกายของนางขยับถอยจนเอนตัวไปด้านหลังเล็กน้อย เมื่อมองจากที่ไกลๆ ราวกับว่านางหวาดกลัว และตื่นตระหนกเพราะจางกุ้ยฮัวไม่น้อย
หลิวซุนซื่อเพิ่งทำความสะอาดคอกหมูเรียบร้อย เดิมทีเื่นี้เป็หน้าที่ของหลิวชิวเซียง ปรากฏว่าหลิวซานกุ้ยเอ่ยในตอนกลางวันว่า หลิวต้าฟู่่หลายวันมานี้ลงแช่น้ำตลอด หัวเข่าของเขาปวดอย่างรุนแรง ให้หลิวชิวเซียงไปหาต้นแปลงทินมาต้มน้ำดื่ม
ต้นแปลนทินเป็พืชริมถนนที่สามารถพบได้ทุกที่ และมีการใช้เป็ส่วนประกอบสําหรับการรักษาโรคข้ออักเสบ
หลิวต้าฟู่ทํางานในน้ำมาหลายปี ด้วยอายุของเขา หัวเข่าจึงมีอาการเ็ปมาเป็แรมปี วันนี้ตอนเที่ยงก่อนที่จะพักผ่อน หัวเข่าของเขาก็มีอาการกำเริบ
หลิวฉีซื่อรู้เื่นี้ก็ไม่ได้รู้สึกผิดปกติ กระนั้นจึงยกเื่ทำความสะอาดคอกหมูให้ตกเป็หน้าที่ของหลิวซุนซื่อ
เมื่อหลิวเต้าเซียงได้ยินหลิวชิวเซียงเล่าให้ฟัง อดไม่ได้ที่จะพ่นคำพูดออกมา แล้วด่าเสียงค่อย “สมน้ำหนัก นางคิดว่าหมูเหล่านี้กินลมโตขึ้นมาหรือ”
“นั่นสิ ข้าว่าบ้านป้ารองนั้นเชือดหมูขาย แล้วจะไม่รู้เื่นี้เลยเชียวหรือ?” หลิวชิวเซียงแสดงท่าทีสงสัยอย่างลึกซึ้ง
หลิวเต้าเซียงตอบอย่างไม่แยแสว่า “คนดีมักถูกรังแก ม้าดีก็จะถูกคนข่มขี่ พี่ใหญ่ หากว่าป้ารองเป็คนดี เราย่อมไม่คิดอคติต่อนาง แต่จากนิสัยของนาง ข้าเองไม่เคยเห็นนางพูดอะไรที่เป็ความจริงแม้แต่ครั้งเดียว”
“เฮ้อ น้องรอง เ้าพูดได้มีเหตุผลยิ่งนัก”
นั่นสินะ หลิวชิวเซียงเองก็เห็นด้วย ดูสิ หลังจากที่แม่ของนางกล่าวอย่างกล้าหาญชาญชัย ใครที่กล้าคิดไม่ดีกับนาง นางจะแอบวางยาฆ่าหญ้า กระนั้น บ้านหลังนี้ก็สงบ
หลิวฉีซื่อและหลิวเสี่ยวหลันไม่ยุ่งกับนางอีก
หลิวเต้าเซียงยิ้มเมื่อได้ยินถ้อยคําเหล่านี้ ในที่สุดพี่สาวของนางก็สลัดคราบอมิตตาพุทธออกไปได้ กลายเป็คนที่ยอดเยี่ยม
“พี่ใหญ่ ป้ารองไม่ใช่คนที่ยอมอะไรง่ายๆ จำต้องอาละวาดอีกเป็แน่”
หลิวชิวเซียงอยากคุกเข่าคำนับอีกสักครั้ง เทพเหลือเกิน น้องสาวของนาง!
“เ้าพูดถูกต้องจริงด้วย พี่จูเอ๋อร์มีท่าทีเช่นนั้น ป้ารองย่อมต้องคิดว่านางถูกรังแกอยู่แล้ว?”
หลิวเต้าเซียงนิ่งเงียบ เพราะนางเชื่อว่าจางกุ้ยฮัวที่ทำงานใช้แรงมาโดยตลอดไม่มีทางเสียเปรียบ หลังจากหนึ่งเดือนที่ได้รับการบำรุงก็ยิ่งแข็งแรงกว่าเดิม จางกุ้ยฮัวรู้ดีว่านอกจากครอบครัวฝั่งตนเองแล้ว ในบ้านแซ่หลิวนี้ไม่มีใครดีแม้แต่คนเดียว
หลิวชิวเซียงนึกถึงสภาพน่าเวทนาของหลิวซุนซื่อตอนนั้น ถึงกับอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสาแก่ใจอีกหน
ปรากฏว่า เมื่อหลิวซุนซื่อเห็นหลิวจูเอ๋อร์ในสภาพนั้น ก็โมโหเป็ฟืนเป็ไฟ พอนึกถึงกลิ่นมูลหมูที่เหม็นขึ้น์ นางก็อยากอาเจียนอีกรอบ
เมื่อเห็นภาพตรงหน้า นางกำลังคิดอยู่เชียวว่าจะหาเื่จางกุ้ยฮัวอย่างไรดี จึงไม่แม้แต่จะถาม แล้วพุ่งตัวเข้าไปพร้อมกับด่ากราด “นางตัวดีจางกุ้ยฮัว ช่างเป็คนที่หัวใจถูกสุนัขคาบไปกินเสียจริง มารดาเ้าเถอะ กล้ารังแกเด็กอย่างหน้าไม่อาย”
เดิมทีจางกุ้ยฮัวโกรธมาก เมื่อได้ยินคำด่าจากหลิวซุนซื่อก็ยิ่งโมโหจนดวงตามืดสนิท กัดฟันแน่น แล้วหันศีรษะมาอย่างดุร้าย
“ดวงตาสุนัขของเ้าบอดไปแล้วหรือ เ้าเอาดวงตาข้างไหนที่มองเห็นว่าข้ารังแกนาง ทุบตีหรือด่านาง ทำให้ข้าดูหน่อยสิ กร่างมาจากไหนกัน!”
นางเองก็โต้ตอบกลับอย่างไร้ซึ้งความอ่อนแอ
-----