ดวงตาผลซิ่งของอวี๋เจียวเจือรอยยิ้มยามมองไปที่เขา นางเดินเข้าไปข้างโต๊ะแล้วก้มหน้ามองบทประพันธ์ที่เขากำลังคัด เห็นลายมือเมฆเหินน้ำไหลของเขาคัดบทประพันธ์ได้อย่างงดงาม นางเอ่ยพลางทอดถอนใจ “ไม่รู้เมื่อใดข้าจะมีลายมือที่งดงามเยี่ยงนี้”
บทประพันธ์ใต้ปลายพู่กันของอวี๋ฉี่เจ๋อมาถึง่ท้ายแล้ว เขาเอ่ยอย่างเชื่องช้าว่า “การคัดอักษรไม่อาจฝึกสำเร็จภายในวันเดียว จำต้องขยันฝึกจึงจะถูก”
เขายกมือที่ข้อต่อกระดูกชัดเจนขึ้นก่อนจะวางพู่กันลงเบาๆ เก็บบทประพันธ์ที่เพิ่งคัดเสร็จขึ้นมาเพื่อสละพื้นที่ให้อวี๋เจียวฝึกคัดอักษร
“ท่านคัดของท่านไป ข้าจะไปเอาเก้าอี้มาอีกตัว ใช้พื้นที่ที่ว่างอยู่ก็พอแล้ว” นับั้แ่อวี๋เจียวเข้ามาฝึกคัดอักษรในห้องของอวี๋ฉี่เจ๋อ เขาก็ยกโต๊ะตำราในห้องให้นางเสียแล้ว ในใจของอวี๋เจียวรู้สึกผิดอยู่บ้าง นางก็แค่ฝึกคัดอักษรเท่านั้น แต่อวี๋ฉี่เจ๋อเป็ผู้ที่ต้องลงสอบขุนนาง นางยังแยกแยะหนักเบาได้ชัดเจน
อวี๋ฉี่เจ๋อกำลังจะหยิบม้วนตำราไปนอนอ่านบนเตียง ครั้นได้ยินอวี๋เจียวเอ่ยเช่นนี้ เขาจึงชะงักเล็กน้อย มุมปากหยักยิ้มบางเบา เขาย้ายเก้าอี้ไปด้านข้างเพื่อเว้นพื้นที่ว่างครึ่งโต๊ะให้อวี๋เจียว
อวี๋เจียวไปยกเก้าอี้มาจากห้องโถง ตามด้วยควานหาแบบฝึกคัดลายมือที่อวี๋ฉี่เจ๋อทำให้นาง คลี่กระดาษเซวียนจื่อพลางนั่งลงข้างอวี๋ฉี่เจ๋อ จากนั้นก้มหน้าก้มตาคัดอักษร
สายตาของอวี๋ฉี่เจ๋อปราดมองใบหน้าด้านข้างของนาง หลังจากนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งค่อยเอ่ยถามว่า “เหตุใดจึงรั้งอยู่เล่า?”
อวี๋เจียวฟังไม่ถนัดนัก นางเงยหน้าขึ้นมองเขา “ท่านว่าอย่างไรนะ?”
อวี๋ฉี่เจ๋อส่ายหน้า เก็บสายตากลับมาจากการจดจ้องนาง หลุบตาลงเอ่ยว่า “ไม่มีอะไร เ้าฝึกคัดต่อไปเถิด”
อวี๋เจียวหรี่ดวงตาผลซิ่ง แย้มยิ้มพลางขยับเข้าไปข้างกายเขา “พี่ฝูหลิงบอกว่าท่านไม่อาจหักใจให้ข้าไป อีกทั้งยังเสียใจ ตอนนี้ข้ายังอยู่ ท่านดีใจมากใช่หรือไม่?”
หัวใจของอวี๋ฉี่เจ๋อสั่นไหวเล็กน้อย ทว่าใบหน้ากลับไม่แสดงออก
เมื่อครู่เขาคิดมากไปเสียแล้ว อวี๋เจียวเคยแสดงเจตนาว่าอยากไปจากจวนสกุลอวี๋ไม่ใช่เพียงแค่ครั้งเดียว ในคราแรกที่นางบอกว่าจะรักษาร่างกายของเขาให้หายดี รอกระทั่งเขาสอบติดขุนนาง นางก็จากไป ถึงแม้ครั้งนี้นางจะไม่จากไป แต่วันหน้าเล่า?
นางไม่เหมือนสตรีอื่นๆ ไม่ต้องพึ่งพิงผู้ใด นางก็ยังสามารถใช้ชีวิตเพียงลำพังได้อย่างดี อีกทั้งจวนสกุลอวี๋ยังไม่มีพันธะอะไรมาผูกมัดนาง
ครั้นเห็นอวี๋ฉี่เจ๋อนิ่งเงียบ อวี๋เจียวรู้สึกตนเองรนหาเื่ไม่น่าสนุกใส่ตัวเสียแล้ว “ช่างเถิด ข้าไม่หยอกล้อท่านแล้ว!”
อวี๋ฉี่เจ๋อเงยหน้ามองนาง ภายในดวงตาดอกท้อสะท้อนเงาของนาง เอ่ยแต่ละคำออกมาอย่างจริงจังว่า “ใช่ ที่เ้าอยู่ต่อ ข้าดีใจมาก”
อวี๋เจียวไม่ทันเตรียมรับมือกับวาจาตรงไปตรงมาของเขา เมื่อถูกสายตาลึกซึ้งของอวี๋ฉี่เจ๋อจับจ้องจึงรู้สึกไม่เป็ตัวของตนเองนัก นางหลบสายตา กำพู่กันก้มหน้าคัดอักษร เอ่ยเสียงเบาว่า “เช่นนั้นภายหน้าท่านก็ทำดีกับข้าสักหน่อย”
“ได้สิ” อวี๋ฉี่เจ๋อหัวเราะไม่เอ่ยสิ่งใด
คนทั้งสองนั่งเคียงไหล่อยู่ข้างโต๊ะตำรา แผ่นหลังหนึ่งคู่ ผู้หนึ่งสูงผู้หนึ่งต่ำ อาภรณ์ธรรมดาเรียบง่าย ครั้นมองแต่ไกลแลดูกลมกลืนกันเป็อย่างดี ภายในห้องมีเพียงเสียงพู่กันจรดกระดาษ
่เวลาเงียบสงบเช่นนี้มีไม่นานนัก ภายในเวลาครึ่งวัน ชื่อเสียงของอวี๋เจียวลือไปทั่วหมู่บ้านชิงอวี๋ ท่านหมอในใต้หล้าล้วนแต่เป็บุรุษ ยามนี้มีหมอหญิงฝีมือดีเช่นอวี๋เจียวปรากฏตัว แม่ม่ายหลี่ที่ป่วยด้วยโรคสตรีท้ายหมู่บ้านตื่นเต้นยิ่งนัก นางฉวยโอกาสขณะฟ้าเริ่มมืดลอบมาหน้าจวนสกุลอวี๋ คิดอยากจะให้อวี๋เจียวช่วยตรวจโรค
อวี๋เจียวเพิ่งจะคัดอักษรตามแบบฝึกไปแค่สามแผ่นก็ได้ยินว่ามีคนมาตรวจไข้ นางวางพู่กันลงแล้วเดินไปยังห้องโถง
สตรีแซ่อวี๋โจวกำลังพูดคุยกับแม่ม่ายหลี่ เมื่อเห็นว่าอวี๋หรูไห่ไม่ได้อยู่ที่ห้องโถง อวี๋เจียวไม่นึกสนใจ นางสอบถามอาการของแม่ม่ายหลี่และพานางไปที่ห้องสมุนไพรในห้องฝั่งทิศตะวันตก ปิดประตูแล้วตรวจดูจุดที่มีอาการของแม่ม่ายหลี่
แม่ม่ายหลี่หน้าแดงด้วยความเขินอาย หลังจากอวี๋เจียวจัดยาทำความสะอาดจุดที่มีอาการและเขียนเทียบยาสำหรับทานเสร็จ นางจ่ายเงินค่ารักษาแล้วรีบก้มหน้าออกจากจวนสกุลอวี๋ ท่าทางหวาดกลัวว่าจะถูกผู้อื่นเห็นเข้า
ผู้ใดจะรู้ว่าทันทีที่นางออกจากเรือนก็ชนเข้ากับบุรุษผู้หนึ่ง แม่ม่ายหลี่ใจนหลุดเสียงร้องออกมา ครั้นตั้งใจมองจึงพบว่าเป็อวี๋ฮั่นซานของครอบครัวสามสกุลอวี๋ นางจึงเรียกเขาด้วยความเขินอาย “พี่สาม”
หลังจากนายท่านเหอกลับไป อวี๋ฮั่นซานถูกบุรุษในหมู่บ้านลากออกไปดื่มสุรา ตอนนี้เมามายจนสายตาพร่ามัว รู้สึกเพียงว่าเรือนร่างของสตรีที่เดินชนเข้ามาในอ้อมกอดของเขาอ่อนนุ่มยิ่งนัก
ครั้นได้ยินน้ำเสียงเหนียมอายของสตรี ร่างกายของเขารู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมาเล็กน้อย เขาจ้องแม่ม่ายหลี่อย่างเลื่อนลอยอยู่พักหนึ่งก่อนจะเอ่ยวาจาเคล้ากลิ่นสุราออกไป “ซิ่วเอ๋อหรือ เย็นป่านนี้แล้วเ้ามาทำอะไรที่จวน?”
ลมหายใจของบุรุษตกกระทบบนใบหน้าของนาง หลี่ซิ่วเอ๋อรีบถอยหลังไปเล็กน้อย เอ่ยตะกุกตะกักว่า “ไม่มีอะไร... ข้า... ข้าแค่มาซื้อยา พี่สาม ข้ากลับก่อนนะเ้าคะ”
นางเดินอ้อมอวี๋ฮั่นซานไป จากนั้นมุ่งหน้าไปยังท้ายหมู่บ้านด้วยฝีเท้ารีบร้อน
อวี๋ฮั่นซานยืนนิ่งไม่ขยับ สายตาของเขายังคงจับจ้องอยู่บนร่างของหลี่ซิ่วเอ๋อที่เดินจากไป
แม้ว่าหลี่ซิ่วเอ๋อจะอายุสามสิบกว่าแล้ว แต่เป็สตรีท่าทางชดช้อย อีกทั้งยังงดงามไม่น้อย เมื่อปีก่อนสามีของนางจากไปเพราะวัณโรค เลี้ยงบุตรชายหญิงสองคนตามลำพัง เอวบางร่างนิ่มเช่นนั้น ตอนอวี๋ฮั่นซานเมามายอยู่บนโต๊ะสุรายังเคยได้ยินบุรุษเลอะเลือนเอ่ยถึงสองสามคำ ครั้นวันนี้เดินชนจนโผเข้าสู่อ้อมกอดอย่างไม่คาดฝัน จึงได้รู้ว่าร่างนั้นอ่อนนุ่มถึงเพียงนี้
สตรีแซ่จ้าวมาเทน้ำในลานเรือน ครั้นเห็นบุรุษของตนยืนเหม่อลอยอยู่หน้าประตูจวนโดยไม่รู้ว่ากำลังมองอะไร นางเดินมาหน้าประตูเรือนได้กลิ่นสุราคละคลุ้งไปทั่วทั้งตัวของอวี๋ฮั่นซาน “ยืนเหม่อมองผู้ใดอยู่? นี่ไปดื่มสุรามาเท่าใดอีกแล้ว?”
อวี๋ฮั่นซานใ ถึงกับสร่างเมาขึ้นหลายส่วน ครั้นเห็นว่าร่างของหลี่ซิ่วเอ๋อหายลับไปแล้วจึงรู้สึกวางใจ เขาหันกลับมามองสตรีแซ่จ้าวแล้วเอ่ยอย่างคลุมเครือว่า “พวกผีซานไม่กี่คนอยากรู้เื่สกุลเหอจึงลากข้าไปดื่มสุราอยู่ไม่น้อย ข้าจึงยืนรับลมสักหน่อย”
“รีบเข้ามาเถิด ท่านพ่อกับจิ่นซูเข้าไปในเมือง ตอนนี้ยังไม่กลับมา ไม่รู้ว่าจัดการเรียบร้อยแล้วหรือไม่” สตรีแซ่จ้าวเดินเข้ามาประคองเขา ปรายตามองไปหน้าหมู่บ้านชั่วครู่แล้วปิดประตูจวนลง
“ท่านพ่อกับจิ่นซูเข้าเมืองไปทำอะไร?” ครั้นอวี๋ฮั่นซานเห็นรูปร่างสูงใหญ่ของสตรีแซ่จ้าวพลันรู้สึกรำคาญตาอย่างไม่อาจเลี่ยง
สตรีแซ่จ้าวประคองเขาเข้าห้อง จากนั้นรินน้ำชาส่งไปจรดริมฝีปากของเขา “จิ่นเหยียนเสนอความคิดหนึ่งให้ท่านพ่อ ให้ท่านพ่อไปที่ว่าการอำเภอเพื่อใส่ชื่ออวี๋เจียวลงในทะเบียนบ้าน ให้เป็บุตรสาวของครอบครัวรอง”
“นี่มันความคิดโง่เขลาอันใด?” ยากจะได้เห็นอวี๋ฮั่นซานฉลาดสักครั้ง เอ่ยเสียงดังโวยวายว่า “หากเป็บุตรสาวครอบครัวรองก็ยังต้องแต่งออกไป จิ่นเหยียนก่อเื่วุ่นวายแล้วจริงๆ ท่านพ่อก็ช่างเลอะเลือนฟังคำเด็กอย่างเขา”
“ท่านเบาเสียงสักหน่อย!” สตรีแซ่จ้าวทนฟังเขาตำหนิบุตรชายไม่ได้ เอ่ยพึมพำว่า “ความคิดโง่เขลาอะไรกัน ใบสัญญาซื้อขายตัวถูกฉีกแล้ว ท่านพ่อไม่วางใจ อีกทั้งคนป่วยเรื้อรังอย่างอวี๋ฉี่เจ๋อยังเข้าหอไม่ได้ ข้ากลับคิดว่าความคิดเช่นนี้ของจิ่นเหยียนไม่เลว ทำให้นังเด็กคนนั้นยังอยู่ในจวนสกุลอวี๋ของพวกเรา อีกทั้งยังป้องกันไม่ให้นางเกิดความคิดชั่วร้ายยั่วยวนจิ่นซูอีก”
อวี๋ฮั่นซานเอนกายนอนลงบนเตียงแค่นหัวเราะ “ตอนนั้นพวกเราไม่น่าขวางเลย หากแม่หนูผู้นั้นกลายเป็ภรรยาของจิ่นเหยียนจริงๆ ภายหน้าเงินค่ารักษาก็คงเป็ของครอบครัวสามของพวกเราทั้งหมด!”
“ท่านหุบปากนะ นั่งเด็กชั้นต่ำเช่นนั้นจะคู่ควรกับจิ่นเหยียนของพวกเราได้อย่างไร? ข้ายังรอให้ภายหน้าจิ่นเหยียนสอบติดขุนนางแล้วค่อยหาคุณหนูสกุลใหญ่ที่มีชาติกำเนิดดีมาเป็ภรรยาของเขา!” สตรีแซ่จ้าวถอดถุงเท้ากับรองเท้าให้อวี๋ฮั่นซาน จากนั้นห่มผ้าห่มให้เขา
สตรีแซ่ซ่งทำกับข้าวเสร็จแล้ว แต่เพราะอวี๋หรูไห่ไม่อยู่ในจวน สตรีแซ่อวี๋โจวจึงไม่ยอมให้ตั้งสำรับ ทำได้เพียงเอากับข้าววางไว้ในห้องหุงต้ม ทุกคนในจวนต่างกำลังเฝ้ารอ
เจี๋ยเกิงน้อยบุตรสาวของอวี๋จือหางหิวมาก สตรีแซ่จางจึงลอบเอาไข่เป็ดออกมาสองฟอง จากนั้นแอบเข้าไปในห้องหุงต้ม เพื่อทำไข่น้ำรสหวานแล้วยกออกไปป้อนแม่หนูน้อย
กระทั่งปลายยามเซิน อวี๋หรูไห่กับอวี๋จิ่นซูเร่งรีบเดินทางกลับมา สีหน้าของอวี๋หรูไห่ดูดีขึ้นกว่าแต่ก่อนไม่น้อย
