ตอนที่ 7
เมื่อกลับมาถึงกรุงเทพกันแล้วก็เหมือนกลับออกมาจากโลกแห่งความฝัน ่เวลาที่อยู่ฟาร์มนั้นทำให้ศิลาเห็นถึงความแตกต่างอย่างมากกับชีวิตประจำวันของตัวเอง แค่เดินเข้าบริษัทมาก็ต้องลอบถอนหายใจแล้วเพราะคนเป็แม่ยืนรออยู่
“เที่ยวมาแล้วเป็ไงลูกผ่อนคลายขึ้นไหม” กนกกอดแขนลูกชายพาไปที่ห้องของตัวเอง
“ครับ แม่มีอะไรรึเปล่า เดี๋ยวผมต้องไปอัดรายการ”
“อาทิตย์หน้าจะมีงานการกุศล แม่อยากจะชวนศิไปกับแม่ด้วย” เธอบอกด้วยรอยยิ้ม ศิลามองแค่ครู่เดียวก็รู้จุดประสงค์ของผู้เป็แม่แล้วจึงได้ตอบกลับ
“คงจะไม่ว่างครับ อาทิตย์หน้าผมมีงานทั้งอาทิตย์ต้องไปเวิร์คช็อปไปฟิตติ้งอีก”
“งานการกุศลมันก็จัดกลางคืนไงคะลูก ไปหน่อยเถอะเพื่อนๆ คุณหญิงคุณนายของแม่อยากจะเจอลูกกัน”
“แม่ครับ ผมทำงานมาเหนื่อยๆ ผมก็อยากจะพักผ่อน ไม่อยากไปออกงานสังคมหรอกครับ แม่ก็รู้ว่าผมไม่ชอบงานอะไรแบบนี้” แม้จะทำงานในวงการบันเทิงแต่ศิลาก็ไม่ได้ชอบการออกงานเสมอไป โดยเฉพาะงานที่ไม่มีปัณณวีร์ไปร่วมงานด้วย
“ศิลาก็เป็ซะแบบนี้”
“ขอโทษครับแม่ แต่ผมไม่อยากไปจริงๆ อย่าบังคับผมเลย” ศิลาบอกอย่างจริงจัง ในบางเื่เขายอมทำตามผู้เป็แม่ได้ หากแต่เื่ไหนที่เขาไม่อยากทำเขาจะไม่ทำ จะให้เขาไปงานการกุศลแล้วทำหน้านิ่งๆ ทุกคนในงานคงจะหมดสนุกกันได้
“ได้ๆ” กนกถอดใจเพราะหากลูกชายบอกว่าไม่แล้วทำยังไงก็ไม่เปลี่ยนใจแน่นอน “แล้วไปฟิตติ้งกันวันไหนลูก”
“ผมจำวันไม่ได้ครับ ต้องถามพี่ดา จำได้แค่ว่าประมาณอาทิตย์หน้า”
“กับหนูดาว แม่พูดคุยกับน้องเขามาน้องเป็คนน่ารักนะลูกอย...”
“แม่ครับ” กนกพูดยังไม่ทันได้จบประโยคก็ถูกลูกชายพูดแทรกขึ้นมาก่อน “ผมไม่ได้ชอบเธอเหมือนแม่ เพราะงั้นเื่นี้อย่าพยายามอีกนะครับ เย็นนี้เราคงต้องคุยกันหน่อยจะได้เข้าใจตรงกัน”
ศิลาพูดกับผู้เป็แม่อย่างสุภาพตามเคยแม้ว่าจะไม่พอใจอยู่ก็ตามที กนกเองก็ไม่ได้รู้สึกโกรธที่ลูกชายพูดขัดหรือว่าไม่ทำตามจึงได้แต่ตอบเสียงอ่อน
“ได้ เราค่อยคุยกันที่บ้าน”
“ผมขอตัวนะครับ” ศิลาพูดจบก็เดินออกมาจากห้องของผู้เป็แม่โดยมีดารินรออยู่ พอเห็นศิลาออกมาจึงเข้าไปหาทันที
“มีอะไรรึเปล่า หน้าดูหงุดหงิดนะ”
“ก็เื่เดิมๆ แม่ชอบใครแม่ก็มาเชียร์ให้ผม ผมเบื่อ” ดารินถอนหายใจเบาๆ ด้วยความเห็นใจ การบอกใครไม่ได้เื่คนรักของตัวเองแม้แต่กับครอบครัวก็ต้องปิดบังเอาไว้นั้นคงอึดอัดใจไม่น้อยเลย
เมื่อกลับเข้าสู่โหมดการทำงาน ทั้งศิลาและปัณณวีร์ต่างฝ่ายต่างก็ทำงานของตัวเอง ดารินรับงานให้ศิลามากขึ้นตามที่เ้าตัวบอกมา ศิลาคิดกับตัวเองแล้วว่าตัวเขาต้องเก่ง ต้องมีความสามารถมากขึ้น จากที่ดารินจะรับละครเื่ไหนก่อนเื่นั้นศิลาต้องเป็พระเอก ด้วยคาแรกเตอร์ที่ถูกสร้างมาแต่แรกในภาพความจำของคนดูว่าเขาคือพระเอก ทำให้ศิลาคิดว่ามันน่าเบื่อ
เขาไม่ได้อยากจะได้บทพระเอกตลอดแบบนี้ จึงได้คุยกับดารินใหม่ว่าต่อให้เป็บทตัวร้าย แล้วบทนั้นมันดี มันดูท้าทายความสามารถของเขา เขาจะรับ แน่นอนว่าพอกนกรู้เข้าก็ไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นัก เพราะกนกสร้างบุคลิกของศิลามาให้เป็พระเอก และอยากให้ลูกได้เป็พระเอกเบอร์ต้นๆ ของประเทศด้วย
“เื่นี้แม่ว่าไม่ต้องรับดีไหม” กนกคุยกับลูกชายในห้องทำงานส่วนตัวของตัวเอง จริงๆ แล้วตัวกนกไม่จำเป็เลยที่ต้องไปยุ่งเกี่ยวกับการรับงานของเหล่าดาราในสังกัด เพราะยังไงละครพวกนี้ก็เป็ของช่องอยู่แล้ว แต่เพราะศิลาเป็มากกว่าดารา
“ผมตอบตกลงคุณฉัตรไปแล้วครับ” ฉัตรเป็ผู้จัดละครที่เซ็นสัญญากับทางช่องโดยตรง ละครที่เขาจะทำนั้นไม่มีตัวพระนางมีแต่ตัวละครหลักในการดำเนินเื่ ดารินจึงเข้าไปคุยกับเขาเพื่อดูบทบาทของตัวละคร และคาแรคเตอร์ของศิลาก็เหมาะ
“บทมันดูดาร์กไปนะศิลา จะทำให้ความเป็พระเอกแสนดีของลูกถูกกลบ”
“ผมอยากแสดงบทอื่นบ้างครับ ไม่ใช่แค่บทพระเอกที่บางครั้งตัวดำเนินเื่ไม่ใช่พระเอกด้วยซ้ำอ่ะ และผมก็อยากจะรับบทที่มันดูท้าทาย”
“ใช่ค่ะคุณกนก อีกอย่างบทนี้แม้สุดท้ายจะต้องตายแต่เขาคือตัวที่ดำเนินเื่ทุกอย่าง เป็จุดเริ่มต้นของเื่นะคะ ดาคิดว่าแฟนๆ คงจะรอดูศิลาในบทบาทใหม่แน่นอน” ดารินช่วยพูดเสริมทำเอากนกหาคำมาแย้งไม่ออก
“แม่ไม่เคยขัดอะไรลูกได้เลย เอาเถอะให้สิทธิ์ในการตัดสินใจเองแล้วแม่ก็ไม่ห้ามเพียงแค่ที่เรียกมาคุยก็เพราะอยากให้คิดดีๆ เท่านั้น”
“ผมคิดดีแล้วครับ ทำไมพระเอกจะรับเล่นบทร้ายไม่ได้กัน ทำไมต้องจำแค่ภาพที่เป็พระเอก ผมไม่เข้าใจ”
“มันก็อย่างงี้แหละ น้อยคนนะที่เป็พระเอกแล้วจะรับบทร้าย ส่วนใหญ่ก็อยากเป็พระเอกกันทั้งนั้น”
“ผมแค่อยากทำอะไรที่ไม่เคยทำ” ศิลายืนยันชัดเจน
“ได้ แม่ไม่ว่าแล้วบ่ายนี้ต้องไปไหนไหม”
“ตอนบ่ายมีถ่ายรูปเตรียมโปรโมทละครค่ะ” เป็ดารินที่ตอบ
“จริงด้วย แม่ก็ลืมไป ใช้สตูเราใช่ไหม”
“ใช่ค่ะ”
“งั้นไปทานข้าวเที่ยงกับแม่นะศิ” ศิลามองแม่ก่อนจะมองดารินแล้วพูดขึ้นตรงๆ
“มีคนอื่นไปด้วยอีกไหมครับ ถ้ามีผมไม่ไป” กนกหน้าเจื่อนลงเล็กน้อยก่อนคลี่ยิ้มให้ลูกชาย
“ไม่มี แต่เดี๋ยวแม่ชวนพี่รุตไปด้วย” ในตอนแรกกนกกะว่าจะชวนนับดาวไปด้วยซะหน่อย แต่พอถูกลูกชายถามแบบนี้เขาจึงต้องเปลี่ยนความคิด เพราะเมื่อหลายวันก่อนที่กลับไปคุยกันที่บ้านศิลาพูดชัดเจนแล้วว่าไม่ได้ชอบนับดาว และตอนนี้ไม่อยากจะสานสัมพันธ์กับใคร
และยังบอกเอาไว้อีกว่าถ้าถึง 35 แล้วยังไม่มีแฟนเขาจะยอมให้แม่เป็คนหาให้ ที่พูดแบบนั้นออกไปศิลาก็ไม่มั่นใจเหมือนกันว่าตอนนั้นเื่ของเขากับปัณณวีร์จะเปิดเผยได้หรือยังหรือว่าต้องปิดไปต่อ แต่ถึงอย่างนั้นในตอนนี้ก็ทำให้แม่ของเขาไม่ต้องหาใครมาให้อีก
“ได้ครับ”
บ่ายของวันหลังจากกลับมาจากร้านอาหาร ศิลาก็รีบไปเปลี่ยนชุดและแต่งหน้าแต่งผมเพื่อจะได้ถ่ายรูปโปรโมท ปัณณวีร์และผู้กำกับมาดูด้วยตัวเอง ซึ่งพวกเขาคุยกันว่าจะไม่เอาแค่รูปคู่พระเอกนางเอกอย่างเดียว แต่มีตัวละครอื่นๆ ที่สำคัญกับเื่อยู่ด้วย
ระหว่างการถ่ายรูปปัณณวีร์กับศิลาก็แอบมองกันอยู่บ่อยครั้งแต่ก็ไม่ได้แสดงออกมากนัก มีเขาไปทักทายกันตามปกติ ทุกอย่างค่อยๆ ผ่านไปอย่างราบรื่น กว่าจะถ่ายเสร็จก็เกือบจะ 5 โมงเย็นแล้วเพราะไม่ได้ถ่ายแค่ชุดเดียว ต้องเปลี่ยนหลายชุดหลายทรงผม บทบาทในครั้งนี้ของศิลาหากเห็นภาพโปรโมทออกไปแน่นอนว่าเหล่าแฟนๆ คงต้องกรี๊ดกันอย่างหนักแน่ๆ เพราะเ้าตัวรับบทเป็พระเอกที่อายุจะเข้าสี่สิบแต่ยังคงดูดีและบุคลิกน่าเกรงขาม แฝงไปด้วยความเพลย์บอยความเซ็กซี่ของเ้าตัว
“เรียบร้อยแล้วครับ วันนี้ขอบคุณทุกคนมาก” ปัณณวีร์พูดขึ้นเมื่อภาพเซ็ทสุดท้ายเสร็จเรียบร้อยแล้ว “มะรืนเจอกันอีกทีนะครับ”
วันมะรืนนั้นเป็วันนัดฟิตติ้งชุดและทรงผม ฝ่ายคอสตูมได้เตรียมชุดที่ได้มาจากสปอนเซอร์จัดเตรียมเอาไว้แล้วเหลือแค่ให้นักแสดงไปลองและออกแบบทรงผม หรือหากชุดไหนใส่ไม่ได้ก็จะได้มีเวลาปรับแก้ก่อนจะถึงวันถ่ายจริงซึ่งก็เหลือเวลาราวๆ หนึ่งเดือน
“แล้วเจอกันครับพี่วีร์” นักแสดงคนหนึ่งที่ได้เล่นบทพระรองพูดตอบกลับมาพร้อมรอยยิ้มก่อนจะเดินออกไปจากห้อง แต่คนที่ยังอยู่หนึ่งในนั้นคือศิลาที่ทำท่าเหมือนจะแผ่รังสีความหึงหวงออกมาอีก คนอื่นอาจจะไม่รู้สึกแต่ปัณณวีร์รู้สึกได้ดี
“อ๊ะ!” ศิลาที่มองไปทางปัณณวีร์อยู่ถูกหญิงสาวคนสวยตรงหน้าเบี่ยงเบนความสนใจซะก่อน เมื่อจะเดินผ่านศิลาแต่ดันสะดุดเข้ากับสายไฟโดยไม่ตั้งใจ นับดาวใจตกลงไปอยู่ตาตุ่มเมื่อคิดว่าต้องล้มลงไปหน้าคะมำกับพื้น แถมชุดที่เธอใส่เป็กระโปรงสั้นอีกต่างหาก
แต่เหมือนจะโชคดีที่ศิลาคว้าแขนของเธอเอาไว้ได้ทันไม่ทำให้ล้มลงไป ทุกคนต่างพากันใไปตามๆ กัน ผู้จัดการส่วนตัวของน้ำหนึ่งรีบเข้ามาหาด้วยความเป็ห่วง
“เป็อะไรไหมคะน้องดาว เจ็บตรงไหนไหม”
“ไม่เป็อะไรค่ะ ขอบคุณนะคะพี่ศิลา” ประโยคหลังนับดาวหันไปบอกกับศิลา ศิลาพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะเดินไป นับดาวได้แต่มองตามแผ่นหลังกว้างของคนที่ชอบทำหน้านิ่งอยู่หน้าเดียว ปัณณวีร์มองอยู่ก็ไม่อะไรได้แต่กำชับทีมงานว่าต้องเก็บสายไฟให้ดีกว่านี้
ปัณณวีร์รู้ดีว่าศิลาเป็คนยังไง แม้หน้าจะดูนิ่งไปหน่อย ดูหยิ่งๆ แต่แท้จริงแล้วศิลาเป็คนใส่ใจ ไม่ว่ากับคนรอบข้างหรือว่าแฟนคลับ ก่อนหน้าก็เคยมีเหตุการณ์ที่แฟนคลับถูกดันจากด้านหลังมาทำให้เธอเกือบจะหน้าทิ่มพื้น ดีที่ศิลาจับเอาไว้ทัน จนแฟนคลับต่างบอกว่าเขาเป็คนความรู้สึกไว ไหนจะเคยรับของจากแฟนๆ ด้วยตัวเองเพราะรู้ว่าพวกเขาตั้งใจทำมาให้ แต่เพราะหลังๆ มานี้คนตามเยอะเกินไปเขาจึงให้บอดี้การ์ดช่วยรับแทนจะได้ไม่วุ่นวายกัน นอกจากแฟนคลับแล้วศิลาก็เคยซื้อข้าวแจกคนยากไร้ตามข้างถนนแต่ไม่ได้บอกว่าเป็ตนเอง เขาเป็คนที่ปิดทองหลังพระบ่อยมาก หากไม่รู้จักก็คงคิดแค่ว่าเขารวย เขาเป็ดาราดังและเขาก็หยิ่ง
แต่การช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกันของศิลามันทำให้คนถูกช่วยอย่างนับดาวเริ่มประทับใจในตัวของผู้ชายคนนี้ขึ้นมา จากที่เห็นแค่ว่าหล่อและมีชื่อเสียง
“ไปเปลี่ยนชุดกันเถอะค่ะ คราวหน้าเดินระวังๆ นะคะ” เจน ผู้จัดการส่วนตัวของนับดาวพาเธอออกไป
“พี่เจนคะ”
“ว่าไงคะ”
“ดาวเคยบอกพี่แล้วว่าเขาเป็คนที่น่าค้นหา” นับดาวพูดเสียงเบาระหว่างเดินเข้าห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า
“น้องดาว พี่ว่าเขาดูน่ากลัวมากกว่า” นับดาวไม่พูดอะไรต่อทำเพียงยิ้มแล้วเดินเข้าไปเปลี่ยนชุดของเธอเพื่อจะได้กลับบ้านไปพักผ่อน
ปัณณวีร์อยู่คุยกับผู้กำกับต่อสักพักก่อนจะออกจากห้องมา พอออกมาก็เจอเข้ากับน้ำหนึ่งที่เป็เพื่อนสนิทเข้าพอดี ศิลาที่จะเข้ามาหาเลยต้องรอไปก่อน ให้เพื่อนได้พูดคุยกัน แต่ทั้งสองก็เหมือนจะคุยกันยาวปัณณวีร์เดินไปพร้อมกับน้ำหนึ่งอีกทางซะแล้ว
“กลับไปรอที่ห้องเถอะพี่ว่า คงจะไปไหนกันต่อแน่ๆ” ดารินเอ่ยขึ้น
“ผมก็ว่างั้น”
“ไปเถอะ หิวรึยังพี่จะได้แวะซื้ออะไรให้” ศิลาพยักหน้ารับ ไม่ลืมที่จะบอกให้ดารินสั่งเผื่อปัณณวีร์อีกด้วย ในสายตาของดารินศิลาเป็คนที่ใส่ใจคนอื่นแต่ยิ่งเป็คนที่สำคัญยิ่งใส่ใจมากกว่า
ศิลากลับมาถึงเพนท์เฮ้าส์สุดหรูก่อนเกือบ 2 ชั่วโมงปัณณวีร์ถึงตามมา เมื่อมาถึงก็เข้าไปอาบน้ำให้สบายตัวก่อนจะจัดการอาหารที่เ้าของห้องซื้อไว้ให้ซะเกลี้ยงด้วยความหิว ตามด้วยผลไม้ปิดท้าย ก่อนจะมานั่งเอนตัวเหยียดขากับโซฟานุ่ม
“เหนื่อยไหมครับ” ศิลาเดินออกมาจากห้องเมื่ออาบน้ำเสร็จ ใส่เพียงกางเกงขาวยาวตัวบางไม่ได้ใส่เสื้อออกมาด้วย
“เหนื่อย แล้วทำไมไม่ใส่เสื้ออ่ะ” ปัณณวีร์มองคนที่สูงกว่า หุ่นดีกว่าทั้งที่อายุน้อยกว่าเขาเดินมานั่งที่ปลายเท้า
“วันนี้อากาศมันร้อน” ศิลาตอบกลับหน้าดื้อๆ จนปัณณวีร์อยากจะตีเข้าให้จริงๆ
“เปิดแอร์เย็นขนาดนี้ยังร้อนอีกหรอ” ช่างเป็ข้ออ้างที่ไม่ค่อยสมเหตุสมผลเอาซะเลย ศิลาทำเพียงยิ้มมุมปากเล็กน้อยแล้วจับขาทั้งสองข้างของคนพี่มาวางไว้บนหน้าขาตัวเอง
“ท ... ทำอะไรน่ะศิ” ปัณณวีร์จะดึงขากลับแต่ถูกศิลาจับเอาไว้แน่น
“ผมอยากนวดให้พี่ วันนี้ทั้งบ่ายเห็นยืนและเดินไปเดินมาตลอดไม่ค่อยได้นั่งเลย” ไม่พูดเปล่า ศิลาเริ่มบีบนวดขาของคนพี่ไม่แรงนักและก็ไม่เบาเกินไปทำให้เ้าของขารู้สึกสบายไปด้วย
ปัณณวีร์มองการกระทำของอีกฝ่ายแล้วยิ้มออกมา ใครจะคิดว่าศิลาจะใส่ใจและมองตัวเขาอยู่ตลอดแบบนั้น เพราะแบบนี้ เพราะศิลาเป็คนแบบนี้เลยทำให้ปัณณวีร์ตกหลุมรักได้ไม่ยากเลย และก็คงมีอีกหลายคนที่ตกหลุมรักผู้ชายคนนี้ อย่างเช่นแฟนคลับของเขา
“ขอบคุณนะ” ปัณณวีร์เอ่ยขึ้น นับวันศิลาก็ยิ่งทำให้เขารักมากขึ้นแบบนี้
“สำหรับเราสองคน” ศิลาเงยหน้ามามองดวงตากลมราวลูกกวางที่มองมาอยู่ “ไม่จำเป็ต้องพูดคำนี้หรอกครับ ในหลายๆ เื่พี่ก็ทำให้ผม”
ปัณณวีร์ทำหน้าซาบซึ้งเหมือนจะร้องไห้ในขณะที่มือใหญ่ก็บีบขาให้อยู่ ศิลาเห็นใบหน้าหวานเหมือนเด็กเลยแซว “อย่าทำหน้าเหมือนจะร้องไห้สิครับ ผมจะอดใจไม่ไหวนะเวลาเห็นพี่น้ำตาคลอน่ะ”
“อดใจไม่ไหวอะไร?”
“อยากรังแกให้ร้องหนักกว่าเดิม” ปัณณวีร์กัดริมฝีปากตัวเองอย่างประหม่าเมื่อเห็นสายตาราวเสืออยากจะกินเหยื่อของศิลาแต่ก็ทำเป็ใจดีสู้เสือไปก่อน
“หมกมุ่น! คิดแต่เื่นี้รึไง บีบขาไปเลยนะ”
“เพราะเป็พี่ผมเลยคิดแต่เื่นี้ นี่ผมอ่อยขนาดนี้ไม่สนใจหน่อยหรอ” ศิลายกขาเรียวขึ้นมาก่อนจะก้มลงไปจูบเบาๆ ในขณะที่จูบสายตาก็มองมายังปัณณวีร์อยู่ เล่นเอาคนพี่หน้าเห่อร้อนด้วยความเขิน
“ศิ ไอ้เด็กอี้อ่อย” ในละครเื่เก่าๆ ที่ศิลาเคยแสดงมานั้นบางเื่ที่เ้าตัวรับบทเป็พระเอกขี้อ่อย ปัณณวีร์อยากจะบอกว่านั่นเป็เพียงหนึ่งในสามส่วนของตัวจริง เจอแค่ในละครแฟนคลับก็กรี๊ดแทบคอแตก ติดเทรนด์ทวิตไปเป็วันๆ แล้ว
ไม่อยากนึกว่าถ้าได้เห็นความขี้อ่อยเต็มส่วนอย่างตอนนี้จะเป็ยังไง
“ขนาดอ่อยแล้วพี่ยังไม่สนใจ ถ้าอย่างนั้นผมไม่เสียเวลาแล้ว” พูดจบศิลาก็ลุกขึ้นแล้วแทรกตัวเข้ามาอยู่ตรงกลางหว่างขาของปัณณวีร์ในทันที ยิ่งเห็นสีหน้าใของคนพี่ยิ่งทำให้เ้าตัวชอบใจ
“ดะ เดี๋ยวๆ ใจเย็นนะ คือพี่เพิ่งกินข้าวอิ่มไป ยังจุกอยู่เลย” มือเล็กดันหน้าอกที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อแน่นๆ ไว้ไม่ให้คน้าก้มลงมาถึงตัว ส่วนศิลาก็ทำเพียงยิ้ม ยิ้มของดาราหนุ่มที่ไม่ค่อยได้แสดงให้ใครเห็นบ่อยๆ
“ก็จุกอย่างอื่นเพิ่มอีกหน่อยไม่เป็อะไรหรอก” ปัณณวีร์แทบอยากดีดปากเข้าให้จริงๆ ดูคำพูดคำจาเล่นเอาเขาไปไม่ถูก มือสองข้างถูกรวบเข้าไว้ด้วยกันอย่างง่ายดายก่อนจะถูกกดไว้เหนือศีรษะ ทำให้ตอนนี้ไม่มีอะไรมาดันศิลาไว้แล้ว
“ศิ อื้อออ ศิลาไอ้เด็กหื่น!” ปัณณวีร์หลบยังไงก็หลบไม่พ้นถูกป้อนจูบให้เพียงไม่นานก็แทบระทวยไปกับเขาหมด ถูกเ้าของห้องจับพลิกตามใจ สุดท้ายก็ยอมให้อีกฝ่ายเมื่อถูกเล้าโลมและปลุกปั่นความ้า
“รอยอะไรหรอคะพี่วีร์” ชาทักขึ้นเพราะพอเข้าใกล้ปัณณวีร์จึงได้เห็นรอยแดงจางๆ ที่ลำคอ ปัณณวีร์ยกมือขึ้นมาจับเล็กน้อยเหมือนไม่รู้ว่ามันมีรอย
“รอยอะไรอ่ะ”
“มันแดงๆ อ่ะ พี่เกาหรอคะ”
“อ่อ อาจจะใช่แหละ มันคันๆ นิดหน่อย” ปัณณวีร์แทบอยากจะหยิกอีกคนให้เนื้อเขียวเมื่อตื่นขึ้นมาตอนเช้าเขาก็เห็นว่าที่คอนั้นมีรอยแดงๆ อยู่ แน่นอนว่าจะเป็ใครไปไม่ได้ที่เป็เ้าของรอยนี้ ดีที่เอารองพื้นกลบไว้ได้ทำให้เห็นว่ามันเป็รอยจางๆ
“เดี๋ยวชาเอายามาให้ทานะคะ อย่าไปเกาค่ะ”
“ขอบใจนะ แล้วทุกคนมากันครบยัง” วันนี้เป็วันนัดฟิตติ้งซึ่งใช้ออฟฟิศของปัณณวีร์เพราะเสื้อผ้าถูกเก็บไว้ที่นี่
“ใกล้แล้วละค่ะ แต่ศิลายังไม่มานะคะ ผู้จัดการส่วนตัวโทรมาแจ้งว่าจะเข้าไปช้าหน่อยเพราะงานทางเขายังไม่เสร็จ”
“งั้นก็บอกผู้จัดการเขาว่าให้มาเป็รอบบ่ายก็ได้ไม่ต้องรีบ เพราะยังไงมาถึงก็ต้องได้รออยู่ดี”
“ได้ค่ะ” ชารับคำก่อนจะออกไปโทรบอกดาริน ปัณณวีร์ใจดีงั้นหรอ ไม่ใช่เลย เขาแค่ไม่อยากให้ศิลามาพร้อมกับนับดาวแค่นั้นและก็ไม่อยากให้ศิลารีบด้วย เมื่อชาไปแล้วปัณณวีร์ก็รีบเอาคอนซีลเลอร์ที่ติดมาด้วยนั้นมาทาตรงรอยดูดที่ศิลาทำไว้ทันที ให้มันดูจางไปอีก เพราะหากเป็เพียงรอยเกา รอยแดงของมันไม่ได้จะอยู่นานเท่ารอยดูด
หลังจากวันฟิตติ้งเสื้อผ้าหน้าผมเสร็จก็มีการเวิร์คช็อปในบทสำคัญๆ บทที่ต้องเข้าถึงอารมณ์ ซึ่งในตอนนี้นอกจากจะมีผู้กำกับมาช่วยแล้วยังได้จ้างครูสอนแอคติ้งมาด้วย สำหรับศิลานั้นเขาผ่านงานแสดงมาเยอะและเขาก็เรียนการแสดงอยู่สม่ำเสมอจึงไม่ยากมากนักในการแสดงออกมา บิ้วอารมณ์ตัวเองได้ง่ายกว่าหากเทียบกับนับดาวที่เล่นเื่นี้เป็เื่แรก แม้ว่าก่อนหน้าจะเคยเรียนการแสดงมาแต่การเรียนกับการแสดงออกมาจริงตอนถ่ายทำมันไม่เหมือนกัน
คนเราเวลาที่เริ่มถ่ายจริง เวลาที่เห็นกล้องหลายตัวและมีคนคอยมองอยู่นั้นมันยากมากที่จะทำให้ตัวเองร้องไห้ออกมาจริงๆ หรือแม้แต่การแสดงความโกรธ ดังนั้นนับดาวจึงได้การบ้านหนักกว่าศิลา แต่ดีที่เธอไม่เกี่ยงไม่โอ้อวดว่าตัวเองทำได้ แต่กลับยอมที่จะฝึกฝน ทำให้ปัณณวีร์เห็นว่าเด็กคนนี้จริงๆ ก็มีความมุ่งมั่นอยู่เหมือนกันเพียงแต่ในบางครั้งอาจจะมั่นใจในตัวเองเกินไป
“ครูว่าตรงนี้นับดาวต้องไปอ่านบทเพิ่มหน่อย อ่านให้เข้าใจเลยว่าตัวละครเขาคิดอะไรอยู่ ทำไมต้องเสียใจขนาดนี้”
“ยังดูเสียใจไม่พอหรอคะ” นับดาวเอ่ยถามด้วยความสงสัย แต่ก็ไม่แปลกที่เธอจะถามแบบนั้น ปัณณวีร์จึงเป็คนพูดขึ้น
“มันพอนะ แต่ว่าแสดงออกผิดจากบทไปหน่อย ในบทคือเขาไม่ได้ร้องไห้ฟูมฟายเสียงดัง เขาร้องไห้เบาแต่ดูเจ็บจากข้างใจริงๆ”
“ใช่ มันจะทำให้น่าสงสารมากกว่าการร้องไห้ฟูมฟายออกมามากกว่า นับดาวลองซ้อมตรงนี้อีกหน่อย” ครูสอนการแสดงพูดเสริม
“ได้ค่ะ”
“ผมไม่เข้าใจตรงนี้ครับว่าต้องแสดงออกมากแค่ไหน พี่วีร์ช่วยมาดูหน่อยสิครับ” ศิลาที่นั่งถัดไปไม่ไกลพูดขึ้น ปัณณวีร็ทำหน้าปกติแล้วเดินไปหา
“ตรงไหน”
“ตรงนี้ครับ” ศิลายื่นบทที่เขาต้องแสดงความรักผ่านสายตาโดยไม่ใช่คำพูดให้กับนางเอก ปัณณวีร์มองแล้วก่อนจะก้มลงไปเหมือนกับว่าพูดอธิบายแต่เขากลับพูดเพียงไม่กี่คำว่า
“เดี๋ยวกลับไปสอนที่ห้อง” พูดแค่นั้นก็ยืดตัวตรงแล้วตบไหล่ศิลาเบาๆ “ลองทำตามนี้ดูนะ”
พูดจบปัณณวีร์ก็เดินไปดูคนอื่นๆ ที่คุณครูได้ให้ไปนั่งอ่านก่อนจะมานั่งรวมกันแล้วอธิบายให้แต่ละคน คนรอบๆ ที่มองมาก็เห็นเพียงปัณณวีร์สนิทกับศิลาเพราะเป็น้องชายเพื่อนก็เท่านั้น ไม่ได้ดูเป็อย่างอื่นเลยเพราะทั้งคู่วางตัวดีมากและแเีสุดๆ
การเวิร์คช็อปวันแรกผ่านไป แค่วันแรกทุกคนก็ทำได้ดีจริงๆ เรียนรู้กันได้เร็วเพียงแต่ต้องฝึกกันอีกเยอะหน่อย ศิลามีถ่ายละครวันสุดท้ายคิวกลางคืนวันนี้จึงไม่ได้กลับคอนโดกับปัณณวีร์ ปัณณวีร์มาถึงคอนโด จอดรถได้ไม่นานเพื่อนสนิทอย่างน้ำหนึ่งก็โทรมาบอกว่าตอนนี้ถึงคอนโดปัณณวีร์แล้ว ซื้อของกินมาเยอะเลยเพราะจะมากินข้าวเย็นด้วยกัน ปัณณวีร์นึกดีใจที่วันนี้ศิลามีงาน
“ฉันได้เล่นประกบคู่กับศิลาด้วยนะแก”
“พระนางหรอ” ปัณณวีร์รู้เื่นี้แล้วเพราะเมื่อวานศิลาเล่าให้ฟัง แต่ก็แกล้งทำเป็ไม่รู้เพราะเดี๋ยวน้ำหนึ่งจะสงสัยเอา
“ไม่ใช่ เื่นี้ไม่มีคู่พระเอกนางเอกหรอก มีแต่ตัวหลักในการดำเนินเื่ ซึ่งก็คือฉันกับศิลา แต่จะว่าไปเขารับงานติดกันจังอ่ะ คิดว่าเปิดกองเื่นี้คงจะเดือนกรกฎา ไม่ก็สิงหา แต่เื่ของแกก็น่าจะยังถ่ายอยู่นะ” พอน้ำหนึ่งพูดแบบนี้แล้วปัณณวีร์ก็ได้นึกตาม
“ทำงานเหมือนบ้านเป็หนี้เลย” น้ำหนึ่งพูดแซวติดตลก เพราะขนาดเธอบ้านไม่ได้รวยเท่าศิลาเธอยังรับงานน้อยกว่าอีกคนอยู่เลย
“ก็จริง” เื่นี้ปัณณวีร์เห็นด้วย ทำงานเยอะศิลาก็ไม่ค่อยใช้เงินซื้อของอะไรอยู่ดี
ติ๊ด
ปัณณวีร์กับน้ำหนึ่งหันไปมองที่ประตูพร้อมกันเมื่อได้ยินเสียงเหมือนใครกดรหัสเข้าห้อง น้ำหนึ่งนั้นไม่เท่าไหร่ แต่ปัณณวีร์เบิกตากว้างทันทีเพราะคนที่รู้รหัสเข้าห้องของเขานอกจากตัวเขาแล้วก็เป็ศิลา
แต่ไหนว่ามีถ่ายละคร ทำไมถึงได้มาได้ล่ะ
“หื้ออ ใครมาหรอ”
“เอ่อ...” ปัณณวีร์อ้ำๆ อึ้งๆ เพราะไม่รู้ว่าจะบอกยังไงดี จึงรีบลุกเพื่อจะไปปิดประตูไว้
“ไอ้วีร์ โจรหรอวะ” คนเป็เพื่อนพูดขึ้นด้วยความกังวล พูดจบไม่ทันไรประตูก็ถูกเปิดเข้ามาก่อน ก่อนที่ปัณณวีร์จะไปถึง
ศิลาเดินเข้ามาด้วยความเคยชิน พลันเห็นปัณณวีร์ยืนทำหน้าเหมือนจะร้องไห้อยู่ และข้างในห้องยังมีอีกคนที่ศิลาคุ้นหน้าคุ้นตาดี นั้นก็ทำให้ศิลารู้แล้วว่าทำไมคนพี่ถึงได้มีสีหน้าแบบนี้
“ศิลา??” น้ำหนึ่งมองอย่างงงๆ และมีคำถามมากมายในหัวเลยว่าตอนนี้ศิลามาทำไม ยิ่งกว่านั้นคือเปิดประตูเข้ามาได้ยังไง
ศิลามองหน้าปัณณวีร์อย่างนึกขอโทษ เพราะวันนี้ผู้กำกับเกิดอุบัติเหตุจึงต้องยกกอง เขากลับมาเพื่อจะเซอร์ไพรส์คนพี่ที่ห้องเลยไม่ได้บอกปัณณวีร์ ปัณณวีร์เองก็ไม่ได้บอกเขาว่าวันนี้น้ำหนึ่งจะมาหา
จึงได้เจอกันแบบนี้....
“วีร์ อะไรยังไงเนี่ย ทำไมศิลากดรหัสเข้าห้องแกได้”
TBC.