สีหน้าของซุนปอดูเคร่งขรึมขึ้น เกือบจะะเิโทสะ แต่เพราะรู้ว่าอยู่ต่อหน้าเถารั่วเซียง เขาจะต้องแสดงให้เธอเห็นเพียงความเป็สุภาพบุรุษของเขาเท่านั้น เขาจึงแกล้งทำเหมือนไม่โกรธพลางกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้น แสดงว่าเธอ้าชวนอาจารย์เถาไปทานข้าวสินะ?”
“ไม่ใช่ครับ! อาจารย์เถาชวนผมไปทานข้าวต่างหาก!” ฉินหลางแก้ไขคำพูดของซุนปอให้ถูกต้อง จากนั้นจึงมองหน้าเถารั่วเซียง “ใช่ไหมครับ อาจารย์เถา?”
“ใช่ค่ะ มันเป็อย่างนั้นจริงๆ” เถารั่วเซียงพูดด้วยรอยยิ้ม “อาจารย์ซุนอาจจะยังไม่รู้ว่าฉันเป็น้าสาวของฉินหลาง แม่เขาฝากให้ฉันดูแล วันนี้เขาเพิ่งย้ายมายังไม่ค่อยรู้อะไร ฉันจึงเตรียมจะพาเขาออกไปทานอาหารสักมื้อ”
“อาจารย์เถาครับ ถ้าอย่างงั้นเื่ที่ผมจะชวนคุณไปทานข้าววันนี้ก็ต้องแห้วอีกสิครับ?” ซุนปอพูดด้วยความไม่สบอารมณ์ เขาไม่คิดว่าเดทที่เขาตั้งใจเตรียมเอาไว้ จะต้องพังเพราะเด็กนักเรียนใหม่คนหนึ่ง
ฉินหลางพูดในใจนายไม่กินแห้วแล้วจะกินน้ำชารึไง ยังคิดจะจีบเถารั่วเซียง ชาติหน้า อีกสองชาติข้างหน้ายังไม่มีทางเลย
“เอาอย่างนี้ไหมคะ คืนนี้ฉันชวนฉินหลางไปทานข้าวนอกโรงเรียน ถ้าอาจารย์ซุนไม่รังเกียจ ไปด้วยกันก็ได้ ถือเป็การขอบคุณในคำชวนของคุณ” ขณะฉินหลางแอบดีใจอยู่นั้น ทว่าเถารั่วเซียงกลับทำร้ายจิตใจเขา
ฉินหลางเข้าใจอย่างรวดเร็วว่าเพราะเหตุใดเถารั่วเซียงถึงได้ทำอย่างนั้น ในฐานะที่เป็อาจารย์สาว ทานข้าวกับนักเรียนสองต่อสอง อาจกลายเป็เหตุผลที่คนอื่นใช้โจมตีเธอได้ แต่การให้ซุนปอไปด้วย ก็ไม่ต้องเป็ห่วงปัญหาพวกนี้ไปโดยปริยาย อีกอย่าง ฉินหลางคิดว่า เถารั่วเซียงคง้าใช้การทานข้าวมื้อนี้ ทำให้ซุนปอเลิกล้มความตั้งใจที่จะจีบเธอ แต่ถึงเธอไม่ได้คิดแบบนั้น ฉินหลางก็จะช่วยเธอทำให้จงได้
เพียงแต่ฉินหลางคิดไม่ถึงว่า เถารั่วเซียงจะทำแบบนี้ แท้ที่จริงแล้ว้าทำให้ทั้งคู่เลิกล้มความตั้งใจ เถารั่วเซียงไม่ได้มีความประทับใจในตัวซุนปอ และในเวลาเดียวกัน เธอก็ไม่้าให้เธอกับฉินหลางเกิดความสัมพันธ์อื่นที่มากกว่าความสัมพันธ์ระหว่างครูกับนักเรียน
“อาจารย์เถาชวนผมทานข้าว ผมรีบจนรอไม่ไหวเลยด้วยซ้ำ” ซุนปอยิ้มร่า “แต่ว่าค่าอาหารผมจะเป็คนจ่ายนะครับ”
“โหย อาจารย์ซุนทำไมต้องรีบพูดเื่ค่าอาหารด้วย ครูไม่ต้องเป็ห่วง ผมจะไม่แย่งครูเช็กบิลแน่นอนครับ” ฉินหลางพูดขึ้น พลางยกมือที่กำลังประคองดอกไม้ขึ้น “ไปด้วยกันเถอะครับ พวกเราจะได้ไม่ต้องรอจนดอกไม้ร่วงโรยไปก่อน”
เถารั่วเซียงยิ้มมุมปาก พลางลุกเดินไปด้านนอก ซุนปอรีบเร่งตามออกไป หลังจากเดินออกจากตึก ซุนปอหันไปพูดกับเถารั่วเซียง “รั่วเซียง รอก่อนนะ เดี๋ยวผมไปเอารถมารับ”
ซุนปอดาวน์รถฮอนด้าแอคคอร์ดมาหนึ่งคัน ในบรรดาอาจารย์ของโรงเรียนชีจง การมีรถยนต์ส่วนตัวระดับกลางถือเป็เื่ที่โก้เก๋มาก ฉะนั้นซุนปอจึงอยากจะโชว์รถของเขากับเถารั่วเซียง เพื่อเป็การยืนยันว่าเขาเป็ผู้ชายที่มีความสามารถ
ใครจะคิดฉินหลางเขาช่างเป็ “ตัวหายนะ” พอได้ยินซุนปอบอกว่าจะไปเอารถ ก็รีบพูดขึ้น “อาจารย์ซุนครับ ผมว่าไม่ต้องไปเอารถหรอก—ผมหมายความว่ามันอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียน ไม่จำเป็ต้องใช้รถก็ได้ครับ”
ซุนปอพูดในใจ บิดาจะไปเอารถมารับคนสวยอย่างเถารั่วเซียง ไม่ได้จะเอามารับแกสักหน่อย ยังจะมาพูดพร่ำทำเพลงอีก แกคิดว่าตัวเองเป็ใครงั้นเหรอ บิดาซื้อรถคันนี้ก็เพื่อจีบสาว ถ้าต่อไปเถารั่วเซียงนั่งรถคันนี้เป็ประจำ นั่นก็ถือว่าคุ้มค่ากับการซื้อ ดังนั้น ซุนปอจึงพูดด้วยความไม่ค่อยสบอารมณ์ว่า “ฉินน้อย เธอพูดแบบนี้หมายความว่าอย่างไร อากาศร้อนขนาดนี้ เธอจะให้อาจารย์เถาเดินไปเหม็นเหงื่อไป…ไม่ใช่ หอมเหงื่อไป เอาเป็ว่า ถ้าเธอจะเดินก็เดินไปคนเดียวแล้วกัน!”
“อาจารย์ซุน คุณอย่าโมโหสิครับ” ฉินหลางอธิบายด้วยรอยยิ้ม “ผมก็แค่พูดไปเพราะเป็ห่วงความปลอดภัยของอาจารย์เถา”
“ฉันขับรถเก่งอยู่นะ เธอไม่จำเป็ต้องเป็ห่วง !” ฮึ ซุนปอพูดขึ้น
“ไม่เกี่ยวกับการขับรถของคุณหรอกครับ—ผมพูดตรงๆ เลยนะครับ รถของอาจารย์เป็รถฮอนด้าแอคคอร์ดใช่ไหมครับ”
“ใช่ เธอรู้ได้ยังไง?” ซุนปอถามกลับ
ฉินหลางพูดในใจ ฉันจะไม่รู้ได้ยังไง จ้าวกันตั้งฉายาให้อาจารย์ประจำชั้นอย่างคุณว่า “พี่แอคคอร์ด” ด้วยซ้ำ ได้ยินว่าซุนปอเคยยกตัวอย่างในคลาสวิชาภาษาอังกฤษถึง 2 รอบ ด้วยประโยคที่ว่า “ฉันมีรถแอคคอร์ดอยู่ 1 คัน” ทำให้ทุกคนในชีจงรู้กันหมด แต่ฉินหลางไม่ได้บอกสาเหตุนั้นกับซุนปอ พูดเพียง “อาจารย์ซุนครับ คุณเป็ถึงอาจารย์ ควรจะติดตามข่าวสารบ้านเมืองมากกว่าผมถึงจะถูก ตอนนี้คนจีนกำลังแอนตี้สินค้าที่มาจากญี่ปุ่น ครูไม่เพียงจะไม่แอนตี้สินค้าญี่ปุ่นแล้ว ยังซื้อรถญี่ปุ่นมาขับอีก ครูขับออกไปแล้วโดนคนทุบก็แล้วไป แต่อย่าทำให้อาจารย์เถาต้องใไปด้วย”
“เธอพูดเื่อะไร! ทุบรถอะไร! ก็มีแต่เยาวชนที่ไม่มีวุฒิภาวะเท่านั้นแหละที่จะพูดแบบนี้!” ซุนปอพูดด้วยประโยคสั่งสอน “ญี่ปุ่นมีสิ่งดีที่เราควรศึกษาตั้งเยอะ อย่างเช่น อืม…แอคคอร์ดก็มีสมรรถนะของรถยนต์ดีมาก…”
ซุนปอโกรธจนแทบสำลัก เกือบหลุดปากพูดคำว่า “**” ออกมา
แต่ซุนปอคิดไม่ถึงว่า เถารั่วซียงจะยืนอยู่ข้างเดียวกันกับกลุ่มเยาวชนไม่มีวุฒิภาวะ เธอพูดขึ้นเบาๆ “อาจารย์ซุนคะ ถ้าคุณไม่รังเกียจเราเดินไปกันดีกว่าค่ะ เพราะมันก็ไม่ได้ไกลเท่าไร”
กล้ามเนื้อบนใบหน้าของซุนปอกระตุกสองครั้ง เขาพยายามกดเก็บความรู้สึกที่อยากจะกระโจนไปหักคอของฉินหลาง พยักหน้าเบาๆ “ก็ดีครับ ถือเป็การเดินเล่นแล้วกัน ออกกำลังกายก่อนนิดนึง จะได้อยากอาหารมากขึ้น”
เดินเล่นก่อนทานอาหาร ไม่ได้ทำให้ซุนปออยากอาหารมากขึ้น แต่มันกลับทำให้ปริมาณอาหารของเขาเพิ่มมากขึ้น เพราะความโมโหที่เกิดจากฉินหลาง!
ตอนแรกเด็กกะโหลกกะลาอย่างฉินหลางไม่เคยอยู่ในสายตาซุนปอเลย นั่นเพราะเขาดูถูกความสามารถในการทำลายล้างของฉินหลาง แต่ตอนนี้ ฉินหลาง ซุนปอและเถารั่วเซียงเดินเล่นในโรงเรียนพร้อมกันสามคน ฉินหลางประคองดอกไม้สดไว้ในมือ ยืนอยู่ข้างซ้ายมือของเถารั่วเซียง กระฉับกระเฉง กระปรี้กระเปร่า ยิ้มทักทายนักเรียนที่เดินผ่านไปมา รู้สึกเหมือนเขาต่างหากที่เป็ตัวเอกในค่ำคืนนี้
ผิดกับซุนปอ ที่เหมือนมีรอยดำที่กลางหน้าผาก ถึงแม้จะอยู่ในชุดสูทสุดเนี้ยบ แต่เหมือนเดินสวนกับโชคชะตา ดูไม่ดีเอาซะเลย
ซุนปอเป็อย่างนี้เพราะฉินหลางแท้ๆ ทั้งที่เขามองว่าอาหารมื้อนี้เป็โอกาสที่จะได้เดทกับเธอครั้งแรก ไม่เพียงพิถีพิถันในการแต่งตัวแล้ว ยังเตรียมการล่วงหน้าไว้หลายอย่าง เช่น จะไปทานอาหารกันที่ร้านไหน เลือกตำแหน่งที่นั่งตรงไหน พอถึงเวลาใช้ความมีอารมณ์ขัน เล่าเื่ตลกเพื่อตีสนิทเธอ ใครจะคิดอยู่ๆ ก็มีฉินหลางผุดขึ้นมากลางทาง ทำให้ทุกสิ่งที่ซุนปอได้เตรียมการไว้นั้นต้องศูนย์เปล่า ยังทำให้เขาเต็มไปด้วยโมโหแต่ต้องเก็บกดไว้อีก
ถ้าไม่เพราะต้องคำนึงถึงภาพลักษณ์ความเป็อาจารย์ล่ะก็ ซุนปอคงจะหักคอฉินหลางด้วยความโมโหไปแล้ว
แต่ไม่ว่าตอนนี้ซุนปอจะมีความคิดที่ชั่วร้ายมากแค่ไหน ก็ไม่ได้เกิดผลกระทบต่อฉินหลางเลยแม้แต่นิดเดียว ตอนนี้เขากำลังแอบสะใจ “ฉันถือดอกไม้สดอยู่ในมือ มีสาวงามอยู่ข้างกาย แถมยังไม่ต้องจ่ายค่าอาหารเองอีกต่างหาก ชีวิตแบบนี้ ช่างราบรื่นจริงๆ!”
“เอ๋ เหมือนว่าอาจารย์ซุนจะอารมณ์ไม่ดีรึเปล่าครับ? ทำไมถึงไม่พูดไม่จาเดินเงียบมาตลอดทางเลย?”
เพิ่งเดินออกจากประตูโรงเรียน จู่ๆ ฉินหลางก็ถามขึ้น นี่มันเสมือนการโรยเกลือบนาแของซุนปอชัดๆ
มุมปากของซุนปอกระตุกหลายครั้ง พูดในใจ เด็กนี่แกพูดตลอดทางเลย มีโอกาสให้บิดาพูดรึไง ทว่าเขายังพยายามฉีกรอยยิ้มออกมาได้เล็กน้อย “ฉันกำลังคิดอยู่ว่า เดี๋ยวเราจะไปอาหารกันที่ไหน”
“ไม่ต้องยุ่งยากขนาดนั้นหรอก” ฉินหลางพูดขึ้น “ความจริงแล้วไปทานอาหารที่ไหนไม่สำคัญ ที่สำคัญคือไปทานกับใครมากกว่า ทานข้าวกับอาจารย์เถา ต่อให้ทานร้านข้างทางก็ยังอร่อยเลย”
“พอได้ละ ฉินหลางปากเธอนี่หวานปานน้ำผึ้งเลยนะ” เถารั่วเซียงยิ้มหวานพลางยื่นมือชี้ออกไปข้างหน้าเยื้องๆ “ร้านนั้น ‘ร้านอาหารรักเผ็ด’ แล้วกันนะ ได้ยินว่าอาหารที่นี่อร่อย แถมยังเผ็ดได้รสชาติด้วย”
เถารั่วเซียงเสนอ แน่นอนว่าฉินหลางและซุนปอต่างก็ไม่ขัดข้อง
ซุนปอชิงเดินเข้าไปในร้านก่อน เดินไปบอกกับพนักงานหน้าเคาน์เตอร์ “ขอโต๊ะในห้องส่วนตัวหน่อยครับ!”
“โต๊ะในห้องส่วนตัว?” พนักงานหน้าเคาน์เตอร์ที่กำลังเคี้ยวหมากฝรั่งในปากพร้อมกับมองซุนปอด้วยความเคลือบแคลงใจ ถามด้วยน้ำเสียงสอดรู้ “นี่ พี่ชาย ร้านเราเป็ร้านหน้าโรงเรียน ไม่ใช่โรงแรมหรูติดดาวหรือร้านอาหารไฮโซ ถ้าคุณ้าห้องส่วนตัวจริงๆ ฉันใช้ฉากกั้นให้ก็ได้ล่ะ”
พนักงานหน้าเคาน์เตอร์พูดอย่างนี้ แต่ในใจกลับดูถูกซุนปอ “พวกชอบอวดรวย! ถ้าอยากแสร้งทำตัวเป็ไฮโซก็ไปที่ภัตตาคารหรือโรงแรมห้าดาวสิฟ่ะ!”
“ช่างเถอะ แค่ทานข้าวมื้อเดียวเอง ไม่ต้องเป็ห้องส่วนตัวหรอก” เถารั่วเซียงเองก็คิดว่าไม่จำเป็ ในเมื่อเป็ร้านอาหารที่อยู่ใกล้โรงเรียน ก็ไม่ได้พิถีพิถันเื่พวกนั้นเป็ธรรมดาอยู่แล้ว
“นั่นสิครับ อาจารย์ซุนอ้อนแอ้นมากเลยครับ ลองเป็แบบอาจารย์เถาบ้าง ลองััรสชาติที่เหมือนกับคนทั่วไปหน่อยสิ” ฉินหลางพูดด้วยรอยยิ้ม
ได้ยินคำว่า “อ้อนแอ้น” เถารั่วเซียงหันไปเขม่นตาฉินหลาง เพราะเถารั่วเซียงรู้ว่าเขากำลังพูดเป็นัยที่แฝงคำด่าซุนปอ เพราะ 10 ประโยคยอดฮิตที่เป็ประโยคทองที่คนนิยมใช้ในโซเชียล มีคำหนึ่งที่พูดว่า “คนสารเลวมักจะอ้อนแอ้น!”
เห็นแววตาของเถารั่วเซียง ฉินหลางรู้ทันทีว่าเธอฟังออก จึงรีบหัวเราะกลบเกลื่อน “ผมว่าที่นั่งตรงโน้นไม่เลว ผมรีบไปจองโต๊ะก่อนนะ”