“ข้าไม่กล้าขอร้อง เพียงแต่มีเื่หนึ่งที่ไม่เข้าใจเ้าค่ะ!”แววเ้าเล่ห์วาบผ่านเข้ามาในดวงตาใสดังน้ำของหลิ่วจิ้ง เมื่อเห็นฮูหยินผู้เฒ่ามีสีหน้าผ่อนคลายลงและไม่มีท่าทีจะขัดขวางจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเจื้อยแจ้วว่า “ในบ้านเมืองของข้ามีสัตว์อยู่ชนิดหนึ่งมันเกิดในพุ่มไม้เตี้ย มาเติบโตบนต้นไม้สูง ยามตะครุบเหยื่อจะต้องอำพรางตัวก่อนให้เหยื่อไม่รู้ว่าตนเองกำลังมีภัยถึงชีวิต จะได้ไม่หันมาตอบโต้พวกเราเรียกมันว่าัเปลี่ยนสีแม้แต่สัตว์ก็ยังรู้ว่าหากจะสังหารศัตรูก็ต้องทำให้ตนเองไร้รูปร่างแล้วประสาอันใดกับคนเล่าเ้าคะ?”
“โอ๋? ยังมีสัตว์ที่มหัศจรรย์เช่นนี้อยู่ด้วยรึข้าได้เปิดหูเปิดตาจริงๆ!” สีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าเปลี่ยนไปทันใดคล้ายเกิดความสนใจกับัเปลี่ยนสีที่หลิ่วจิ้งเอ่ยถึง
“หากฮูหยินผู้เฒ่าชื่นชอบวันหน้าข้าจะให้ท่านทูตจับมาให้ฮูหยินผู้เฒ่าดูเล่นสักตัวเ้าค่ะ”หลิ่วจิ้งฟังความหมายในถ้อยคำของฮูหยินผู้เฒ่าออก และไม่กล้าได้คืบจะเอาศอกทำได้เพียงเอ่ยประจบไป
ฮูหยินผู้เฒ่ารู้ว่าคำพูดของหลิ่วจิ้งแฝงความนัยอยู่นางแค่นเสียงเย็น กล่าวว่า “ในเมื่อกินสัตว์มีชีวิตเป็อาหารแล้วจะยินยอมให้คนเอามาชมเล่นได้อย่างไร องค์หญิงอย่าได้ลำบากเลย!”
“สุนัข แมว ม้า วัวล้วนถูกมนุษย์ชุบเลี้ยงจนมีนิสัยเปลี่ยนไปความน่าเกรงขามของฮูหยินผู้เฒ่าหรือจะเป็เช่นคนทั่วไปเ้าคะ?”
พันวิธีหมื่นหนทางมิสู้ประจบเอาใจหลิ่วจิ้งเห็นว่าฮูหยินผู้เฒ่ามีสีหน้ายินดี จึงรีบอาศัยโอกาสนี้เอ่ยต่อว่า“ฮูหยินผู้เฒ่าเป็ผู้หลักแหลมเพียงใดแล้วจะเทียบกับสัตว์เดรัจฉานเ่าั้ได้อย่างไรเ้าคะ?”
อาหนูคิดไม่ถึงว่าหลิ่วจิ้งถึงกับเอาตนเองไปเปรียบเปรยกับสัตว์เดรัจฉานหากเป็ยามปกตินางต้องอาละวาดโวยวายตั้งนานแล้ว แต่ได้ยินนางออกมาปกป้องตนจึงต้องขืนกลืนโทสะนี้ลงคอไปเสีย
“การเปรียบเทียบของท่านนี่ไม่ได้พบเห็นได้ง่ายจริงๆ ”ฮูหยินผู้เฒ่ายิ้มเย็นมองหลิ่วจิ้งคราวหนึ่งอย่างสนอกสนใจยิ่ง
บ่าวในห้องก็ไม่รู้ว่าหลิ่วจิ้งพูดจาวกวน้าจะพูดอะไรกันแน่ต่างพากันเหงื่อท่วมแทนนาง
“สัตว์เดรัจฉานกับมนุษย์ย่อมไม่อาจนำมาเปรียบเทียบกันได้คนฉลาดเช่นอาหนู นางจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าก่อนจะสังหารคนย่อมต้องอำพรางตัว? วานนี้นางวิวาทกับนางจ้าวในสวน ทุกคนล้วนเห็นกันหมดหากบอกว่านางจงใจทำให้นางจ้าวในั่นกลับมีความเป็ได้ฮูหยินผู้เฒ่าเป็ผู้เมตตาย่อมต้องลืมตาข้างหนึ่งหลับตาข้างหนึ่งทำเป็มองไม่เห็นเื่นี้ก็จะเลิกแล้วกันไป แต่หากจะบอกว่านาง้าทำร้ายจนถึงตายก็ออกจะเกินเลยเกินไปเ้าค่ะ! เกรงแต่ว่าจะทำผิดโดยไม่ตั้งใจมากกว่ากระมังเ้าคะ!”หลิ่วจิ้งพูดทุกคำอย่างระมัดระวัง น้ำเสียงดังฉินพิณ ทุกถ้อยคำค่อยร้อยเรียงงดงามดังไข่มุก
แม้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะไม่เอ่ยปากแต่ในใจกลับรับฟังคำพูดของหลิ่วจิ้งนางไตร่ตรองว่าโดยปกติแม้อาหนูจะกำเริบเสิบสานแต่ก็ไม่เคยทำเื่ที่ผิดทำนองคลองธรรมมาก่อนใบหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าเป็ดังเมฆดำพบตะวัน จากถมึงทึงจึงค่อยๆ ผ่อนคลายลง
หลิ่วจิ้งได้ชัยจึงรีบรุกต่อ รู้อยู่ในใจว่าสามารถลด ‘โทษตาย’ ของอาหนูได้แล้วจึงโล่งใจได้เปาะหนึ่ง กล่าวอีกว่า “อาหนูตีเอียงไปถูกเป้า [1] คราวนี้ ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินดีที่ได้หลานก็นับว่าเป็เื่ดีเื่หนึ่ง แล้วจะทำให้เื่ดีกลายเป็ร้ายให้แปดเปื้อนเืคาวได้อย่างไรเ้าคะ!”
“ปากคอคมคายดีจริงนะ องค์หญิงผู้เก่งกาจ กล้ากล่าววาจาสอนสั่งผู้เฒ่าเช่นข้าให้จัดการเื่ต่างๆแล้วรึ?” สีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าหนักอึ้งลงทันใดมองไม่ออกว่ากำลังยินดีหรือเคืองโกรธ
สมกับเป็คนที่เคยผ่านลมผ่านคลื่นมาก่อนหลิ่วจิ้งรู้ดีว่าฮูหยินผู้เฒ่าก็เป็คนมีชั้นเชิงที่ไม่แสดงออกเื่วันนี้นางสามารถส่งทั้งตนและอาหนูไป์ได้โดยไม่มีซุ่มเสียงเพียงแต่ตนเองก็เป็ผู้ที่เคยผ่านความเป็ความตายมาก่อนแล้วจะถูกนางขู่จนหัวหดเช่นนี้ได้อย่างไร?
เดิมที อาหนูที่อยู่ข้างๆนึกว่าเื่นี้จะเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีแล้วจึงรู้สึกแสนยินดีจนเก็บอาการไว้ไม่อยู่แต่ยามนี้มาเห็นฮูหยินผู้เฒ่ามีสีหน้าไม่พอใจเสียแล้วจะโทษก็ต้องโทษที่องค์หญิงต้าเว่ยมากความจนเสียเื่
นอกหน้าต่าง เงาต้นไม้ทอดตัวลงมาในโถง กิ่งก้านสอดสลับ ซับซ้อนดังใจคน
“ข้ามิกล้าเ้าค่ะ เพียงแต่ข้าและฮูหยินผู้เฒ่าล้วนเป็คนสกุลหั่วจึงห่วงใยต่อเืเนื้อของสกุลหั่วเช่นกัน”
เมื่อเอ่ยถึงผู้สืบสกุล ฮูหยินผู้เฒ่าก็ใจอ่อนลงทันตา“มีใจเดียวกันมีคุณธรรมทัดเทียมกัน ท่านลองว่ามาซิ ท่านคำนึงถึงเืเนื้อเชื้อไขของสกุลหั่วเราเช่นใด?”
“ข้าเพียงรู้สึกว่าฮูหยินผู้เฒ่าควรสั่งสมบุญวาสนาเพื่อหลานให้มากเ้าค่ะอย่าได้กลายเป็ว่าเขายังไม่ทันลืมตาดูโลกก็ต้องแบกรับหนี้เืไปทั้งตัวแล้วเ้าค่ะ"”หลิ่วจิ้งพูดอย่างใจกล้าทำเอาทุกคนในห้องที่ได้ฟังพากันใจหวิวไปหมด ฮูหยินผู้เฒ่าเคยพูดว่าจะเอาชีวิตอาหนูเมื่อใดกันแต่นางกลับเอ่ยคำนั้นออกมาเสียโจ่งแจ้งชัดเจน!
เดิมทีฮูหยินผู้เฒ่าก็เป็ผู้ที่ถือศีลกินเจอยู่แล้วจึงอดคล้อยตามนางไม่ได้ “ข้าเคยพูดว่าจะเอาชีวิตอาหนูเมื่อใดกัน?”
“ฮูหยินผู้เฒ่าเ้าคะ แม้ท่านจะไม่มีเจตนาเอาชีวิตอาหนูแต่กลับทำเื่ที่สามารถเอาชีวิตนางได้ แม้ข้าจะบังอาจแต่ก็ไม่กล้าพูดจาเลอะเลือน การลงโทษตามกฎสกุลนั้นหนักหนานักต่อให้เป็บุรุษผู้หนึ่งก็ย่อมต้องถูกตีจนเนื้อหนังแตกแล้วอาหนูซึ่งเป็สตรีผู้หนึ่งจะทานรับไหวได้อย่างไรเ้าคะ? ยิ่งไปกว่านั้นยามนี้อาการร้อนอบอ้าว ทุกคนล้วนสวมเสื้อผ้าบางเบา…”
หลิ่วจิ้งบรรยายได้สมจริงความทุกข์ใจตรงเบื้องหน้าลดทอนลงประหนึ่งเป็ความอบอุ่นยามวสันตฤดู ทำให้ใจของฮูหยินผู้เฒ่าค่อยๆ อบอุ่นขึ้นมา
“ในเมื่อฮูหยินผู้เฒ่าเองก็ไม่ประสงค์จะเอาชีวิตอาหนูมิสู้ออกคำสั่งใหม่ ให้นางยึดถือเอาความผิดนี้เป็บทเรียนดีหรือไม่เ้าคะ? นับเป็การสร้างบุญกุศลให้แก่หลานที่ยังไม่ได้พบหน้าของท่านด้วยเ้าค่ะ”
“หึ ไม่ว่าจะเป็คำดี คำร้ายล้วนเป็เ้าพูดอยู่ผู้เดียวหากข้ายังคงถือสาหาความต่อไป กลับจะกลายเป็ทำการเลยเถิดไปเสียอีก เอาเถิด!ลงโทษให้กักบริเวณอาหนูอยู่ในศาลบรรพชนหนึ่งเดือน ทุกวันต้องคัดกฎสกุลเพื่อสำนึกตนหากไม่ได้รับอนุญาตจากข้าก็ห้ามผู้ใดไปพบนางเป็การส่วนตัวโดยเด็ดขาด!”
อาหนูตื่นใจนเหงื่ออาบท่วมตัวเสียตั้งนานแล้ว เวลานี้ได้ยินฮูหยินผู้เฒ่าสั่งลงโทษใหม่ตนเองไม่ต้องตายในวิกฤตครั้งใหญ่ ตัวของนางพลันเอียงเอนและเป็ลมล้มพับไป
บ่าวไพร่รีบเข้าไปประคองอาหนูให้เอนตัวลงนอนดีๆ
หลิ่วจิ้งถือโอกาสนี้ถอยออกไปด้วยกลัวว่าประเดี๋ยวฮูหยินผู้เฒ่าจะย้อนมาโทษตน
เื่ที่วันนี้ฮูหยินแก้ต่างกับฮูหยินผู้เฒ่าเพื่อปกป้องอาหนูแพร่ไปทั่วจวนแม่ทัพอย่างรวดเร็วพวกบ่าวพากันวิจารณ์เื่นี้กันออกรสออกชาติ บางก็ว่าฮูหยินมีจิตเมตตานักไม่ถือโทษเื่ที่แล้วไปแล้ว บางก็ว่าฮูหยินทำตัวฉลาด ล้อเล่นกับชีวิตคน และมีบางคนที่ชอบหาเื่ใส่ตัวเกิดผวาขึ้นมาว่าหากวันหน้าตนเองไปล่วงเกินฮูหยินเข้า ก็คงจะ...
“ฮูหยินเ้าคะ ที่อาหนูได้รับโทษในวันนี้เหตุใดท่านต้องออกหน้าเสี่ยงไปช่วยนางด้วยเ้าคะ? เห็นนางเอาแต่ยโสวางท่าอยู่ทุกวี่วันนางก็ควรจะเจอความทุกข์ยากเสียบ้างนะเ้าคะ”
อวี้จิ่นเดิมทีเป็สาวใช้ข้างกายหวงฝู่จิ้งเติบโตมาในวังหลวงั้แ่เล็ก เชี่ยวชาญการสังเกตสีหน้าน้ำเสียงเวลานี้ถูกหวงฝู่จิ้งแอบส่งมาอยู่ข้างกายหลิ่วจิ้งให้นางมาทำหน้าที่คอยจับตาดูความเคลื่อนไหวตามความถนัดของนางเื่ที่หลิ่วจิ้งทำการบุ่มบ่ามในวันนี้ความหมายในคำพูดของนางก็คือให้หลิ่วจิ้งอย่าได้คิดการณ์ใดๆ เองระวังฐานะที่แท้จริงจะเปิดเผย จนส่งผลกระทบต่อแผนการทั้งกระทบต่อตนเองด้วย
หลิ่วจิ้งฟังความหมายลึกๆ ในคำพูดของอวี้จิ่นออกนางหันมองมาเห็นว่ารอยฝ่ามือบนใบหน้าของอิ๋งเหอยังไม่จางหายไปคิดว่าอิ๋งเหอต้องถูกลงโทษเพื่อปกป้องตน จึงรู้สึกแต่ว่าติดค้างนางหลิ่วจิ้งพยักหน้า และไม่พูดจาใดๆ อีก วันนี้ตื่นตระหนกแต่ปลอดภัยกลับมากลับทำให้นางมองเห็นหลายสิ่งได้ทะลุปรุโปร่งจวนแม่ทัพหาได้มีลมสงบคลื่นราบเรียบอย่างที่มองเห็นภายนอกไม่
นางจ้าวได้สติฟื้นขึ้นมาในวันเดียวกันเมื่อรู้ว่าหลิ่วจิ้งช่วยตนเองกลับคิดว่าหลิ่วจิ้งไม่ตั้งใจจะช่วย แต่เพราะทำร้ายตนไม่สำเร็จจึงหันมาช่วยแต่เพื่อพอให้รักษาหน้าตาตนเองเอาไว้ นางจึงให้คนน้ำผ้าจิ่นทอลายที่เป็ผ้าต่วนอย่างดีไปมอบให้หลิ่วจิ้งสองพับ
ประการที่สองพวกบ่าวบอกนางว่าอาหนูเป็คนจงใจแกล้งนางทำให้นางเป็ลมหมดสติไปจนเกือบถึงแก่ชีวิต นางจึงยิ่งจงเกลียดจงชังอาหนูมากขึ้นไปอีกดังก้างปลาติดคอที่แม้จะเ็ปอยู่ในใจแต่ต้องทนกล้ำกลืน
ประการที่สามเมื่อรู้ว่าตนเองตั้งครรภ์นางยินดีกว่าที่เคยหวังเอาไว้มาก มารดาได้ดีเพราะบุตรจึงยิ่งวางอำนาจบาตรใหญ่ไม่เกรงกลัวผู้ใด หาเื่หาราวจนทำให้ทุกคนเอือมระอาเมื่อฮูหยินผู้เฒ่ารู้เข้า ด้วยเห็นแก่บุตรในท้องนางก็ได้แต่ลืมตาข้างหนึ่งหลับตาข้างหนึ่งทำเป็มองไม่เห็นและไม่ไปถือสาเอาความใดกับนาง
คืนวันนั้น อาหนูถูกส่งไปกักบริเวณที่ศาลบรรพชนด้วยความยินดีที่รอดจากวิกฤตมาได้ นางจึงไม่กล้าก่อเื่ขึ้นอีกคอยเฝ้าอยู่ในศาลบรรพชนตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด ทุกวันคัดกฎตระกูลไม่มีเื่ไม่มีเสียงตวาดของนางในจวนหลิ่วจิ้งกลับรู้สึกว่าวันคืนของนางผ่านไปอย่างสงบเงียบไม่น้อยเลย
นับจากวันนั้นมา หลิ่วจิ้งก็เห็นอิ๋งเหอเป็บ่าวคู่ใจและให้ความเมตตานางกว่าคนอื่นๆ แต่ด้วยกลัวว่าอวี้จิ่นจะอิจฉาจึงได้แต่แอบกำนัลหยกงามชิ้นหนึ่งให้นาง
_____________________________
เชิงอรรถ
[1] ตีเอียงไปถูกเป้า หมายถึงไม่ตั้งใจแต่กลับได้ผลที่ดี จับพลัดจับผลู