ไป๋เซี่ยเหอรุดมาที่เรือนโซ่วอันของไป๋เหล่าฮูหยิน
ห้องโถงหลักของเรือนโซ่วอันดูโอ่อ่าตระการตา เครื่องประดับทุกชิ้นล้วนหายาก กลิ่นหอมของไม้จันทน์โชยออกมาจากกระถางธูปดินเผาสามขารูปปากสัตว์ร้ายที่อยู่ตรงมุมห้อง
ไป๋เซี่ยเหอยืนอยู่กลางห้องโถง นางพยักหน้าเล็กน้อย ยืนตัวตรงอย่างสง่างามและสูงส่ง
ไป๋เหล่าฮูหยินนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวหลัก นางสวมชุดคลุมกระโปรงยาวสีน้ำเงินเข้มลายเมฆมงคลและดอกไม้ แววตาเฉลียวฉลาดคู่หนึ่งตรึงอยู่บนร่างของไป๋เซี่ยเหอ
“ข้าได้ยินว่าเ้าได้รับาเ็?”
จู่ๆ ก็ได้รับความห่วงใยจากไป๋เหล่าฮูหยิน ไป๋เซี่ยเหอไม่ได้ประหลาดใจนัก ทว่าในใจเกิดความระแวดระวังขึ้น
ทั่วทั้งจวนนี้ ผู้ที่ห่วงใยนางอย่างแท้จริงนอกจากฝูเอ๋อร์แล้ว ก็มีเพียงเซี่ยถิงเท่านั้น
เมื่อไป๋เหล่าฮูหยินถามถึงอาการาเ็ของนางอย่างกะทันหัน ไม่รู้เหตุใดถึงได้เกิดความคิดบางอย่างภายในใจของไป๋เซี่ยเหอ
“เ้าค่ะ”
ตอบสั้นๆ ทว่าได้ใจความ
ไป๋เหล่าฮูหยินหาว ดวงตาแดงก่ำ ดูเหมือนสภาพจิตใจย่ำแย่ ทว่ากำลังฝืนตัวเองอยู่
“แต่ข้าได้ยินว่าเซ่อเจิ้งอ๋องทิ้งเ้าที่าเ็เอาไว้ไม่เหลียวแล แต่กลับโอบกอดอันหนิงจวิ้นจู่ มีเื่เช่นนี้เกิดขึ้นจริงหรือไม่?”
ท่าทีของไป๋เซี่ยเหอยังคงสงบนิ่ง แววตาสีหมึกลุ่มลึกราวกับทะเลอันเย็นเยียบ
“เ้าค่ะ”
‘เพล้ง!’
ถ้วยกระเบื้องถูกปาจนแตกกระจายเป็เสี่ยงๆ ที่แทบเท้าของไป๋เซี่ยเหอ
น่าเสียดาย
“เหตุใดเ้าถึงได้ไร้ค่าปานนี้? แม้แต่หัวใจของบุรุษผู้หนึ่งยังกุมไว้ไม่ได้ สกุลไป๋เลี้ยงดูเ้ามานานปี ช่างสิ้นเปลืองเวลา สิ้นเปลืองแรงใจเสียจริง!”
ไป๋เหล่าฮูหยินพูดอย่างเร่งรีบจนหายใจไม่ทัน อดไม่ได้ที่จะไอโขลกๆ ราวกับจะขย้อนสิ่งที่อยู่ด้านในออกมา นางคิดจะเอื้อมมือไปหยิบถ้วยมาดื่มน้ำ
ทว่ากลับพบว่าถ้วยได้แตกอยู่แทบเท้าของไป๋เซี่ยเหอเสียแล้ว
ไป๋เหล่าฮูหยินไอจนหน้าแดง ราวกับจะเป็ลมหงายหลังไปได้ทุกเมื่อ
ไม่กี่อึดใจต่อมา
ถ้วยใบหนึ่งถูกวางลงตรงหน้า ไป๋เหล่าฮูหยินรีบยกขึ้นดื่ม อาการจึงค่อยทุเลาลง
เสียงไอเงียบลงตามไปด้วย จากนั้นน้ำเสียงอันเ็าก็ดังขึ้นที่ข้างหูทันที
“ไป๋เหล่าฮูหยินอายุมากแล้ว กังวลกับเื่ของผู้เยาว์ให้น้อยหน่อยจะดีกว่า โกรธง่ายเกินจะอายุสั้นนะเ้าคะ”
ไป๋เหล่าฮูหยินตัวสั่นเทิ้ม ถ้วยในมือแทบร่วงลงพื้นอีกครา “เ้ามันเดรัจฉานไร้มโนธรรม นึกไม่ถึงว่าจะแช่งข้า!”
“มโนธรรมหรือ?”
ใบหน้าของไป๋เซี่ยเหอฉาบด้วยน้ำค้างแข็ง นางเหลือบมองไป๋เหล่าฮูหยินด้วยแววตาเย็นเยียบ จากนั้นก็นั่งลงด้วยท่าทีสงบนิ่ง
“ในเมื่อไป๋เหล่าฮูหยิน้าพูดเื่มโนธรรมกับข้า เช่นนั้นข้าก็อดถามสักประโยคไม่ได้”
“เมื่อปีนั้นยามที่ข้าหิว ทำได้เพียงขุดหญ้ากิน รองน้ำฝนดื่ม มโนธรรมของพวกท่านอยู่ที่ใด?”
“เมื่อปีนั้นยามที่ข้าถูกคนในจวนข่มเหงทารุณ มโนธรรมของพวกท่านอยู่ที่ใด?”
“เมื่อปีนั้นที่าแของข้าอักเสบ ไข้สูงกลางดึก ฝูเอ๋อร์คุกเข่าโขกศีรษะทั้งคืนพวกท่านก็ไม่เต็มใจตามหมอมาตรวจให้ข้า ในตอนนั้นมโนธรรมของพวกท่านอยู่ที่ใด?”
“สิ้นเปลืองเวลาและแรงใจอย่างนั้นหรือ? เวลาและแรงใจของพวกท่านเคยอยู่บนร่างกายของข้าอย่างไรเล่า!”
นางเชิดศีรษะและยืดหน้าอกขึ้นขณะเอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำ ราวกับเสียงค้อนที่โยนลงบนพื้นอย่างหนักหน่วง
สีหน้าของไป๋เหล่าฮูหยินแดงซ่าน ความอับอายแปรเปลี่ยนเป็โทสะ “เหิมเกริม เหิมเกริมจริงๆ นึกไม่ถึงว่าเ้าจะกล้าพูดกับย่าของตนเองเช่นนี้!”
ไป๋เซี่ยเหอมองนางอย่างเ็า ไม่เอ่ยสิ่งใดต่อ ทำเพียงมองอีกฝ่ายราวกับมองดูเื่ตลกก็ไม่ปาน
ผ่านไปสักพัก ไป๋เหล่าฮูหยินก็สงบสติอารมณ์ จากนั้นก็เอ่ยราวกับทำใจได้แล้ว “เอาเถิด ในเมื่อเ้าไม่มีความสามารถที่จะคว้าหัวใจของเซ่อเจิ้งอ๋อง เช่นนั้นก็ให้เขาขับไล่เ้าออกมา ในจวนของเราไม่ใช่เ้าคนเดียวที่ไม่ได้ออกเรือน”
เฮอะ
ที่แท้ก็มีความคิดเช่นนี้นี่เอง
ความเฉยเมยและห่างเหินในแววตาของไป๋เซี่ยเหอเพิ่มขึ้นกว่าเดิม จวนสกุลไป๋เหมือนคนในครอบครัวที่ไหนกัน
เป็เพียงปลิงดูดเืฝูงหนึ่งเท่านั้น!
ชวนให้ขยะแขยงและรังเกียจจริงๆ
“สมรสพระราชทานของข้า ฝ่าาทรงมีราชโองการด้วยพระองค์เอง หากไป๋เหล่าฮูหยินไม่พอใจ เชิญไปทูลกับฝ่าาด้วยตนเองจะดีกว่า ข้าไม่สามารถตัดสินใจเื่นี้ได้”
แม้ว่านางจะไม่้าเป็ชายาเซ่อเจิ้งอ๋อง ทว่าก็ไม่ถึงคราวที่ต้องให้ผู้อื่นมาบงการ
สายตาของไป๋เซี่ยเหอเหลือบไปมองฉากกันลมไม้หลีสลักคำมงคลขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านหลัง
มองเห็นชายกระโปรงพลิ้วไหวแลบออกมาจากฉากกันลมดังกล่าว หากไม่สังเกตก็ยากที่จะมองเห็น
ไป๋เซี่ยเหอเดินกลับเรือนสุ่ยฉิงที่อยู่ไกลออกไป ทว่าเป็เพราะนางรีบเดิน จึงย่นระยะเวลาเดินยามปกติลงครึ่งหนึ่ง
ไป๋เซี่ยเหอแผ่ความดุร้ายออกมาทั่วสรรพางค์กาย ราวกับเปลี่ยนเป็คนละคน
“คุณ...คุณหนูเ้าคะ!”
ฝูเอ๋อร์แทบจะต้องวิ่งเหยาะๆ ถึงจะตามฝีเท้าของไป๋เซี่ยเหอทัน
“พูดมา!”
ท่าทางดูดุร้ายอย่างยิ่ง
ฝูเอ๋อร์ลูบหัวใจที่เต้นโครมคราม ระงับความใ
“ท่านไม่ต้องนำถ้อยคำของไป๋เหล่าฮูหยินมาใส่ใจนะเ้าคะ แม้ว่าบ่าวจะไม่ได้ตามท่านไป แต่ก็ได้ยินมาว่าเมื่อท่านอ๋องเห็นคุณหนูตกหน้าผา ก็ะโตามลงไปโดยไม่คิดเลยเ้าค่ะ”
ฝีเท้าของไป๋เซี่ยเหอหยุดชะงักไปชั่วครู่
“คุณหนูลองคิดดูสิเ้าคะ ท่านอ๋องที่สูงศักดิ์และมีอนาคตรุ่งโรจน์ หากไม่ใช่เพราะมีใจให้คุณหนู จะะโหน้าผาลงไปได้อย่างไรเ้าคะ?”
ไป๋เซี่ยเหอหันไปมองฝูเอ๋อร์ด้วยรอยยิ้ม “ฝูเอ๋อร์ ่นี้เ้าว่างเกินไปหรือไม่?”
ฝูเอ๋อร์หัวเราะแหะๆ ก่อนจะชิ่งหนีไป
ฝีเท้าของไป๋เซี่ยเหอช้าลงอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว
หากเป็ฮั่วเยี่ยนไหว นางไม่เกิดความรู้สึกต่อต้านภายในใจเหมือนผู้อื่น
กระทั่งนางรู้สึกว่าเขาเป็คนประเภทเดียวกันด้วยซ้ำ
มิฉะนั้นนางจะยกแผ่นหลังให้เขาอย่างง่ายดายได้อย่างไร?
ทว่าคมดาบนั้นได้ทำลายความรู้สึกที่เพิ่งก่อตัวของนางอย่างรวดเร็ว
สิ่งที่นางรังเกียจไม่ใช่การที่เขาทำให้นางผิดหวัง ยังมีการหลอกลวงของเขาอีกด้วย
เขาเคยบอกว่า เขาแตกต่างจากบุรุษที่มีสามภรรยาสี่อนุเ่าั้
ทว่าความจริงน่ะหรือ?
ระหว่างที่หมั้นหมายกับนาง ก็ทอดทิ้งนางเพื่อปกป้องสตรีอื่น
ยามที่นางได้รับาเ็ เขาโอบกอดสตรีอีกนางไว้ในอ้อมแขน
นี่มันแตกต่างจากบุรุษอื่นอย่างไร?
เดิมทีนางก็ไม่ใช่คนในยุคนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ยอมรับสามภรรยาสี่อนุไม่ได้
นางที่ทะนงตนปานนั้น ย่อมไม่ให้ค่ากับการใช้ชีวิตอย่างมีกลอุบาย แก่งแย่งความโปรดปรานกับสตรีนางอื่น
ส่วนเื่ความรู้สึก...
ยอมขาดแคลนเสียดีกว่ามีของด้อยคุณภาพ!
หากไม่ได้เป็ผู้เดียวที่ นางไม่เอาเลยจะดีกว่า!
เมื่อความเชื่อใจพังทลาย ก็ยากที่จะสร้างขึ้นอีก ยากเสียยิ่งกว่ายาก!
ยามราตรี
จันทร์เสี้ยวสีเงินถูกปกคลุมด้วยชั้นผ้าโปร่งสีขาว แสงจันทร์จางๆ มีหมอกเลือนราง ราวกับความฝันหรือภาพมายา
“เื่ที่ให้เ้าไปถามเมื่อบ่ายเรียบร้อยหรือยัง?”
น้ำเสียงอันแ่เบานั้นเย็นเยียบเสียยิ่งกว่าแสงจันทร์
ไป๋เซี่ยเหอนอนคว่ำอยู่บนเตียง เรือนผมสีดำแผ่สยายบนหมอน อาภรณ์ร่นไปที่หลังเอว
แผ่นหลังดูขาวสะอาดไร้ที่ติ ทว่ากลับมีรอยแผลเป็จากกระดูกสะบักยาวไปถึงเอว
แม้ว่าาแจะสมานได้ห้าถึงหกส่วนแล้ว ทว่ารอยแผลเป็กลับยิ่งดูน่าสะพรึงกลัว
“คุณหนูรู้สึกอย่างไรบ้าง? าแของท่านหายเร็วผิดปกติอยู่นะเ้าคะ”
าแที่ลึกจนเห็นกระดูกเช่นนี้ เพิ่งผ่านไปไม่เท่าไรก็สมานไปกว่าครึ่งแล้ว
ไป๋เซี่ยเหอใจเต้นโครมคราม นางรู้ดีว่าเป็เพราะตนเองมีตัวตนของจิ้งจอกหิมะ จึงทำให้าแหายเร็ว
เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าจะถูกฝูเอ๋อร์ค้นพบเข้า
“เ้าไม่อยากให้าแของข้าหายเร็วหรือ?”
ฝูเอ๋อร์ส่ายหน้าราวกับเขย่าปัวลั่งกู่[1] “จะเป็ไปได้อย่างไรเ้าคะ? บ่าวกลับหวังให้าแนี้อยู่บนตัวบ่าวมากกว่า บ่าวไม่อยากให้คุณหนูทุกข์ทรมานเช่นนี้เ้าค่ะ”
ฝูเอ๋อร์ใส่ยาอย่างเบามือ แม้ว่าหมอหลวงฉินจะบอกว่านี่คือยาขี้ผึ้งที่ทำให้รอยแผลจางลงได้ ทว่าไม่อาจทำให้เป็เหมือนเดิมอย่างสมบูรณ์
น้ำตาอุ่นๆ หยดหนึ่งหยดลงบนแผ่นหลัง ทั้งร้อนทั้งคัน
ไป๋เซี่ยเหอลอบถอนหายใจ ฝูเอ๋อร์ของนางขี้แยจริงๆ เลย
“ฝูเอ๋อร์ อย่าให้น้ำมูกหยดลงบนหลังข้านะ”
“คิก”
ฝูเอ๋อร์ทนไม่ไหว น้ำตายังคลอหน่วย แทบจะพ่นน้ำลายออกมา
ใบหน้าของนางแดงก่ำทันที ทั้งอับอายทั้งโมโห “คุณหนูน่ารังเกียจจริงๆ บ่าวไม่ได้น้ำมูกไหลนะเ้าคะ!”
------------------------
[1] ปัวลั่งกู่ หมายถึง เครื่องดนตรีหรือของเล่นพื้นบ้านชนิดหนึ่ง