เจียงหงหนิงเป็คนทำมื้อค่ำเหมือนเคย เมื่อเทียบกับตอนเที่ยงแล้ว โจ๊กตอนเย็นดูข้นกว่ามาก ขนมเปี๊ยะก็ไม่ได้บาดคอขนาดนั้น ทว่ากับข้าวยังคงไม่มีน้ำมันแม้แต่น้อย แต่เ้าหนูจอมตระหนี่ทำได้ขนาดนี้ก็ถือว่าไม่ง่ายเลย
หลินหวั่นชิวกินข้าวเสร็จก็กลับเข้าห้อง จุดตะเกียงน้ำมันอ่านนิยาย นางรู้สึกว่านิยายที่ขายไม่ออกเื่นี้สนุกมาก อ่านแค่ไม่เท่าไรก็ติดลมจนวางไม่ลง กระทั่งไก่ตัวผู้ในหมู่บ้านร้องขันถึงได้เพิ่งรู้สึกตัว
เจียงหงหนิงตื่นมาเข้าห้องน้ำกลางดึก เห็นตะเกียงในห้องหลินหวั่นชิวยังคงสว่างก็คิดในใจว่าพี่สะใภ้ลืมเป่าตะเกียงหรือไม่ แต่จะให้เขาร้องเรียกกลางดึกก็ไม่ใช่ สุดท้ายได้แต่กลับห้องด้วยใจวิตก
น้ำมันตะเกียงแพงมากนะ เขาจะนอนหลับลงได้อย่างไร!
เ้าหนูจอมตระหนี่เก็บเื่นี้ไว้ในใจ นอนพลิกตัวไปพลิกตัวมา เดี๋ยวก็ลุกขึ้นดูว่าตะเกียงห้องข้างๆ ว่าดับลงหรือยัง ผ่านไปสักพักก็ลุกขึ้นดูอีก
“หงหนิง…เ้าเป็กระไร?” เขาลุกหลายครั้งจนเจียงหงป๋อตื่นไปด้วย
“ไม่มีกระไร ก่อนนอนข้าดื่มน้ำเยอะไปหน่อย” เจียงหงหนิงรีบตอบ ไม่กล้าบอกเอ้อร์เกอว่านอนไม่หลับเพราะเสียดายน้ำมันตะเกียงในห้องพี่สะใภ้ อยากลุกไปดูอยู่เรื่อย
กระทั่งฟ้าสาง ตะเกียงในห้องหลินหวั่นชิวถึงได้ดับลง
หลินหวั่นชิวนอนจนพระอาทิตย์ขึ้นสูงจึงจะตื่น
หลังตื่นนอน นางแค่เปิดประตูก็เห็นเจียงหงหนิงวิ่งออกมาจากห้องครัว “พี่สะใภ้…น้ำร้อน ข้าจะตักน้ำมาให้ท่าน”
พูดจบก็วิ่งเข้าไปตักน้ำร้อนหนึ่งกะละมังมาให้หลินหวั่นชิว “พี่สะใภ้ล้างหน้าล้างตาก่อนเถิด ข้าจะอุ่นอาหารมาให้”
โอ้ว้าว เด็กนิสัยไม่ดีเริ่มมีไมตรีจิตบ้างแล้ว!
กระดาษหมึกพู่กันพวกนั้นใช้ได้ผลสินะ…อื้ม นั่นเป็ของที่ร้านหนังสือให้นางมาไว้ใช้คัดหนังสืออยู่แล้ว ไม่ได้เสียเงินกระไร อันที่จริงแค่มอบให้เจียงหงหนิงเพราะถือโอกาสแสดงน้ำใจกับเขา
นึกไม่ถึงว่าจะได้ผลดี
หลินหวั่นชิวล้างหน้าบ้วนปากเสร็จ เจียงหงหนิงก็มาเรียกไปกินข้าว ยังถามนางอีกว่าเที่ยงนี้อยากกินสิ่งใด
หลินหวั่นชิวตอบว่า “ข้าจะทำมื้อเที่ยงเอง” เจียงหงหนิงอยากพูดว่าเขาจะทำ แต่สุดท้ายก็ไม่พูด
“ข้ามีของจะให้พวกเ้าสองพี่น้อง” เจียงหงหนิงทำตัวดี หลินหวั่นชิวก้มหน้าเห็นรองเท้าที่มีนิ้วโผล่ออกมาของเขาแล้วเข้าห้องไปหยิบรองเท้าถุงเท้ามาให้พวกเขา
“ข้าให้ เ้าเอาไปลองใส่ดูว่าพอดีเท้าหรือไม่ หากไม่พอดีก็บอก ข้าจะได้ช่วยแก้ แต่ถ้าพอดีก็รีบเปลี่ยนเสีย โยนรองเท้าขาดๆ ที่ใส่อยู่ทิ้งไป!” นางวางแผนว่าจะให้รองเท้ากับถุงเท้าก่อน อีกสองวันค่อยให้เสื้อผ้าและเครื่องนอน มิเช่นนั้นคงหาคำอธิบายไม่ได้ นางไม่ได้มีสามเศียรหกกร จะทำของมากมายขนาดนี้ออกมาภายในเวลาสั้นๆ ได้อย่างไร
เจียงหงหนิงมองรองเท้าผ้าพื้นหนาสองคู่ในมือหลินหวั่นชิว น้ำตาคลอในเบ้า แท้จริงแล้วพี่สะใภ้ก็ไม่ได้นอนทั้งคืนเพราะเย็บรองเท้าให้พวกเขา
ความเข้าใจผิดอันงดงาม…
“เอ่อคือ…ข้าซื้อพื้นรองเท้าแบบสำเร็จรูป ร้านขายผ้าทำเสียเขาเลยไม่เอาแล้ว ข้าซื้อกลับมาลองปรับดู พวกเ้าใส่ไปก่อนเถิด ไว้ต้าเกอพวกเ้าได้เงินก้อนใหญ่ค่อยเปลี่ยนเป็แบบดีให้ เงินส่วนตัวของพี่สะใภ้เหลือไม่มากนัก”
เพื่อป้องกันไม่ให้เด็กน้อยสงสัย หลินหวั่นชิวโกหกแบบหน้าไม่แดง ใจไม่เต้นแรง พื้นรองเท้าไม่ได้เย็บง่ายๆ หากทำอย่างช้าก็ต้องใช้เวลาสองสามวันกว่าจะเสร็จ
“พี่สะใภ้ ข้าขอโทษ วันนั้นข้าผิดไปแล้ว” เจียงหงหนิงไม่ได้เอื้อมมือมารับรองเท้าอย่างที่ควรจะเป็ แต่กลับคุกเข่าคำนับศีรษะให้หลินหวั่นชิวอย่างจริงจังสามครั้ง
“พี่สะใภ้ไม่เหมือนพวกนาง พี่สะใภ้เป็คนในครอบครัว ข้าผิดไปแล้ว พี่สะใภ้ไม่ใช่สิ่งของ นำหมูป่ามาเทียบกับท่านไม่ได้” เขาจำคำพูดของหลินหวั่นชิวไว้ในใจมาโดยตลอดแต่แค่ไม่ได้เข้าใจ
พี่สะใภ้คนนี้ที่ต้าเกอใช้หมูป่าแลกมา หากตายหรือหนีไปก็คงขาดทุนเท่ากับหมูป่าหนึ่งตัว
แต่ตอนนี้เขาเข้าใจแล้ว พี่สะใภ้ที่ดีเช่นนี้…หากนางตาย เช่นนั้นก็ไม่ใช่ขาดทุนแค่หมูป่าตัวเดียว อย่างน้อยต้อง…ร้อยตัว
โชคดีที่หลินหวั่นชิวไม่รู้ว่าเจียงหงหนิงคิดอย่างไร มิเช่นนั้นคงได้ริบรองเท้าคืน
มารดามันเถิด โดนเอาไปเทียบกับหมูป่าอีกแล้ว
“เ้าลุกขึ้นเถิด” เรียบร้อย เด็กนิสัยไม่ดีช่างซื้อใจง่ายเสียจริง ตอนแรกหลินหวั่นชิวคิดว่ายังต้องลงแรงอีกมากจึงจะสำเร็จ
“รีบไปลองเร็วเข้า ถ้าพอดีข้าจะทำให้พวกเ้าอีกสองคู่” หลินหวั่นชิวดึงเจียงหงหนิงให้ลุกขึ้นแล้วดันเข้าห้อง
“เอ้อร์เกอ พี่สะใภ้ทำรองเท้ากับถุงเท้ามาให้พวกเรา”
เจียงหงหนิงวางรองเท้าถุงเท้าลงตรงหน้าเจียงหงป๋อแล้วยกมือเช็ดน้ำตา
เจียงหงป๋อมองอยู่นาน ในใจเศร้าสลด เขาลุกขึ้นเดินไม่ได้…แต่เขารับน้ำใจนี้ไว้แล้ว
“เ้ารีบลองใส่เถิด” เขาพูดกับเจียงหงหนิง
เจียงหงหนิงส่ายหน้า “ข้าจะไปตักน้ำล้างเท้าเสียก่อน” ความจริงเขาทำใจใส่ไม่ลง แต่กลัวหลินหวั่นชิวเสียใจ
“อื้ม เ้ารีบไป” เจียงหงป๋อเห็นน้องชายมีน้ำตาคลอแต่สีหน้ามีความสุขก็รู้สึกปวดใจ ความเจ็บป่วยของเขาเป็ตัวถ่วงของครอบครัวนี้โดยแท้ มิเช่นนั้นน้องชายจะลำบากถึงขั้นไม่มีรองเท้าดีๆ จะใส่หรือ?
หากเขาแข็งแรงก็คงดี หากแข็งแรงจะได้ช่วยแบ่งเบาภาระให้ครอบครัวนี้
เช่นนั้นครอบครัวจะได้ประหยัดค่ายาลง ไม่แน่ว่าอาจจะสามารถสร้างห้องมุงหลังคากระเบื้องได้สองสามห้อง
แต่เหมือนว่ายารอบนี้จะได้ผลดี เขารู้สึกว่าสองสามวันนี้ไอน้อยลง เรี่ยวแรงก็มากขึ้น
เจียงหงหนิงมีความหวังเล็กๆ ในใจ ไม่รู้เลยว่าความเปลี่ยนแปลงของร่างกายเขาจะเกิดจากหลินหวั่นชิว
“พี่สะใภ้…” หลินหวั่นชิวค้นของอยู่ในครัว ขณะที่กำลังกลุ้มใจว่าเที่ยงนี้จะกินสิ่งใด เจียงหงหนิงก็เดินเข้ามา
เขาเขินเล็กน้อย ยืนก้มหน้าอยู่หน้าประตู มือทั้งสองจับอกเสื้อแน่น เท้าย่ำอยู่กับที่ ไม่รู้ควรวางเท้าอย่างไร
มองดูเขินอายมาก
“พอดีเท้าหรือไม่? เ้าใส่แล้วดูดีมากเลย” หลินหวั่นชิวชม
“พอดี!” เจียงหงหนิงตอบ แม้จะใหญ่ไปหน่อย แต่เท้าของเขาจะยาวขึ้น ดังนั้นจึงนับว่าค่อนข้างพอดีเลย
หลินหวั่นชิวคาดไม่ถึงว่าขนาดรองเท้าที่กะด้วยสายตาจะแม่นเช่นนี้ นางรู้สึกดีใจมากเช่นกัน
“ถ้าพอดี เช่นนั้นอีกสองวันข้าจะทำอีกคู่ไว้ให้เ้าใช้เปลี่ยนซัก”
“ไม่ต้องแล้วพี่สะใภ้ ข้า…ข้ามีคู่เดียวก็เพียงพอแล้ว เวลาออกไปทำงานข้างนอกข้าจะใส่คู่เก่า” เจียงหงหนิงรีบส่ายมือปฏิเสธอย่างร้อนใจ พี่สะใภ้มีเงินเก็บส่วนตัวไม่มาก ใช้ซื้อเสบียงไปตั้งมาก เขาห้ามได้คืบจะเอาศอกเด็ดขาด
หลินหวั่นชิวทำตาเขม็งใส่เขา “ข้าเป็พี่สะใภ้เ้า ข้าพูดสิ่งใดเ้าก็ฟัง เข้าใจหรือไม่?”
“เข้าใจขอรับ!” เจียงหงหนิงรีบตอบเพราะกลัวหลินหวั่นชิวจะโมโห
หลินหวั่นชิวเข้ามายีหัวเขา “เด็กดี แค่นี้ก็จบ วันนี้อากาศดี เ้าไปปูปุยฝ้ายบนเก้าอี้เอน พวกเราจะพาเอ้อร์เกอของเ้าออกมาตากแดด ถือโอกาสให้เขาสอนอักษรเ้าด้วย”
“ขอรับ” เจียงหงหนิงได้ยินดังนั้นก็รีบไปจัดการ ตอนนี้หลินหวั่นชิวพูดสิ่งใดเขาก็ฟังหมด
เจียงหงหนิงปูเก้าอี้ให้เรียบร้อย ใส่รองเท้าคู่ใหม่ให้กับเจียงหงป๋อแบบไม่ให้อีกฝ่ายมีโอกาสได้ปฏิเสธ หลินหวั่นชิวเข้าไปช่วยประคองเช่นกัน
ไอ๊หยา…จับไปมีแต่กระดูก ราวกับไม่มีเนื้อสักนิด เสื้อที่แขวนบนร่างก็หลวมโพรก
เจียงหงป๋อหน้าแดงระเรื่อที่ถูกหลินหวั่นชิวประคอง แม้จะบอกว่าประคอง แต่เขาก็ไม่มีแรงสักนิด ต้องเอนตัวพิงหลินหวั่นชิว
เขามองไปทางอื่นอย่างอายๆ ไม่กล้ามองใบหน้าที่อยู่ใกล้ของหลินหวั่นชิว