ด้วยคำพูดนี้ อวี๋มู่ก็ไม่รู้ว่าจะต่ออย่างไร
ต่อหน้าเฟิงอวี้ หากเขามีเจตนาจะต่อต้านเพียงเล็กน้อย ก็จะถูกอีกฝ่ายจับได้
เ้าปีศาจร้ายนี่แยกออกได้อย่างชัดเจนว่าเขากำลังพูดโกหกอยู่หรือไม่
นี่มันช่างน่ากลัวจริงๆ
เขาคิดอยู่เช่นนี้ พลางมองไปทางนักบวชน้อยที่รูปโฉมงดงาม ก่อนจะพบว่าในที่สุดบนศีรษะของเขาก็มีหัวใจความประทับใจดวงน้อยๆ โผล่ขึ้นมา ค่อยๆ สว่างจนถึงครึ่งดวง จากนั้นก็ไม่ขยับอีก
?
ทำไมถึงเพิ่มล่ะ?
แม้จะรู้สึกสงสัยอยู่ในใจ แต่ปากก็รีบเอ่ยแก้ตัว
“ใต้เท้าเฟิงอวี้ ข้าจะกล้าโกหก…”
หากแต่ยังพูดไม่ทันจบ ทันใดนั้น เฟิงอวี้ก็คว้าหมับเข้าที่คอเสื้อของเขา แล้วจูบหนึ่งครั้ง จนริมฝีปากล่างรู้สึกเจ็บ เพราะถูกเขี้ยวแหลมคมงับ
นักบวชน้อยยิ้มตาหยีก่อนจะปล่อยเขาออกมา แล้วเอ่ย “ต่อไป หากเ้ากล้าพูดโกหกอีก ข้าก็จะปิดปากเ้าด้วยวิธีนี้ จนกว่าเ้าจะไม่กล้าพูดเท็จอีก”
“…”
อวี๋มู่แทบจะเป็บ้าอยู่แล้ว
เขาพยายามข่มอารมณ์ของตัวเอง เพื่อให้ตัวเขาเองไม่ต้องกล่าวถึงสิบแปดชั่วโคตรของเฟิงอวี้
เขาย้ำกับตัวเองเสมอว่าคนผู้นี้ไม่ปกติ คนผู้นี้คือโรคจิต เป็ไบโพลาร์ เราต้องไหลตามน้ำ ไหลตามน้ำถึงจะได้
ในที่สุดพอสงบอารมณ์ได้ เขาก็ยิ้มให้กับเฟิงอวี้ “ได้ขอรับ ใต้เท้าเฟิงอวี้”
เฟิงอวี้พยักหน้าพอใจ เขามองออกไปนอกหน้าต่าง เอ่ยข้อเสนอออกมาอย่างเป็ธรรมชาติ “ค่ำคืนนี้ยังอีกยาวนาน พวกเรามาร่วมรักกันอีกสักครั้งเถอะนะ”
อวี๋มู่ที่เพิ่งสงบอารมณ์ได้เมื่อครู่ถึงกับะเิอีกครั้ง
*
เมื่อปรนนิบัติเฟิงอวี้เสร็จ อวี๋มู่ก็ลากสังขารอันเหี่ยวเฉาของตัวเองลงไป ครั้งนี้เขาขี้คร้านจะล้างมือแล้ว ระบบพูดถูก ถึงอย่างไรเขาก็เป็ิญญา การทำแบบนี้ก็มีแต่ผลดีกับเขา ขอเพียงจัดการกับอุปสรรคในใจได้ เขาก็สามารถยิ้มเผชิญหน้ากับมันต่อได้
ครั้งนี้ ิญญาที่เดินสวนกันกับเขา ก็รู้สึกราวกับเห็นผีอย่างไรอย่างนั้น…อา ไม่สิ เดิมทีเขาก็เป็ผีอยู่แล้ว ต้องเรียกว่าใถึงขั้นหวาดผวาจะดีกว่า
สายตาของพวกเขากับสายตาของอวี๋มู่ แต่กระนั้นก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะเดินเข้าไปพูดคุยกับอวี๋มู่
อวี๋มู่ปรายตามองพวกเขาที่ทำท่าเหมือนกับกำลังดูหนังผี พลางนึกถึงิญญาน่าเกลียดตาขาวโพลน และคำพูดที่เฟิงอวี้บอกว่าขี้เหร่ก็ควรถูกกินเสีย
เขาปาดเหงื่อแทนิญญาพวกนั้นเงียบๆ
เขากลับไปถึงชั้นสาม ก็พบว่าภูตผีน้อยสามตัวยังคงเล่นโยนศีรษะกันอยู่ เมื่อเห็นว่าเขากลับมาแล้ว ก็หยุดเล่น แล้วเข้ามาล้อมถามเขา “เอ๋ พี่ชายิญญาพิศวาส เ้าได้ดีกับเ้าอสูรฟ้านั่นแล้วจริงหรือ? ถึงมีชีวิตรอดกลับมาได้ทั้งสองคืน! ”
ภูตผีน้อยอีกตัวดึงสติเขา “ซานซาน พวกเราตายไปแล้ว! ”
“อ้า ใช่ๆๆ เขาไม่เพียงไม่ได้กินเ้า! ยังปล่อยเ้ากลับมาอีก! ” ภูตผีน้อยที่ชื่อซานซานทำท่าอ้อนวอนใคร่รู้ “เ้าทำได้อย่างไรกัน? ”
“ข้าบอกว่าข้าชื่นชมเขา” อวี๋มู่นั่งลงบนพื้น ภูตผีน้อยสามตัวก็นั่งเรียงกันเป็แถว ช่างน่ารักเสียจริง
“จากนั้นล่ะ จากนั้นเป็อย่างไร? ”
“จากนั้น…” อวี๋มู่ยังคงกล่าวเช่นเดิม “เขาก็ปล่อยข้า”
ภูตผีน้อยสามตัวนิ่งเงียบไปชั่วครู่ แล้วเอ่ยออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน “...เ้าโกหก! ”
พวกเขาเอ่ย “พี่ชายิญญาพิศวาส สองวันมานี้ ที่ท่านลงมาจากข้างบน ร่างิญญาของท่านก็เริ่มดูชัดขึ้น พลังก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้นมา คิดว่าคงดูดซับปราณิญญา精元[1]ของอสูรฟ้ามาละสิ ถึงได้ผลลัพธ์แบบนี้ เหตุใดยังไม่รีบพูดความจริงอีก นี่พวกเ้าไปถึงขั้นไหนแล้ว? ”
“…??? ”
อวี๋มู่นิ่งอึ้งไป เ้าเด็กพวกนี้กำลังพูดเื่สกปรกอะไรกันเนี่ย?
ปราณิญญา? พวกเขารู้ได้อย่างไรว่าเขาดูดซับปราณิญญา?
ที่สำคัญคือพวกเขารู้เื่ปราณิญญาพวกนี้ได้อย่างไร???
เด็กยุคโบราณเขาแก่แดดกันขนาดนี้เชียวหรือ?
เขาตอบแบบขอไปที “พวกเ้ายังเป็เด็ก…ไม่ควรฟังเื่ราวพวกนี้…”
“เด็ก? ” ภูตผีน้อยหัวเราะ “ฮ่าๆๆๆ พี่ิญญาพิศวาส พวกข้าตายมาหลายสิบปีแล้ว แต่เ้ากลับบอกว่าพวกข้าเป็เด็ก! ”
“…”
อวี๋มู่กุมหน้าผาก
เขาคิดผิดไป พวกนี้เป็ิญญาที่ตายมาแล้วไม่รู้กี่ปี เขาต่างหากที่เป็ “เด็ก”...
เื่ราวมาจนถึงขั้นนี้แล้ว อวี๋มุ่จึงได้แต่ยอมรับความจริง เพราะเขารู้ว่าแม้จะไม่พูดความจริง เ้าสามตัวนี้ก็คงเดาได้ถูกต้องหรือไม่ก็ใกล้เคียงอยู่ดี
*
แต่เขาไม่คิดว่าพอตัวเองพูดเื่นี้ออกไป ไม่ถึงหนึ่งวัน ิญญาทั่วทั้งเจดีย์เจิ้นเยาก็รู้เื่ที่เขามีความสัมพันธ์กับเฟิงอวี้แล้ว
เพียงแค่พริบตา พวกเขาก็นับถืออวี๋มู่ดุจแม่น้ำไหลผ่านไม่ขาดสาย แล้วริเริ่มวางแผนเข้าใกล้อสูรฟ้า ยกตัวอย่างเช่น เปลี่ยนเสื้อผ้าตัวเองให้เป็สีแดง ไม่ว่าชายหรือหญิงก็เริ่มใส่ใจรูปลักษณ์ของตัวเอง ตัวที่พลังแข็งแกร่งและใจกล้าถึงขั้นแปลงร่างเป็อวี๋มู่แล้วขึ้นไปชั้นสิบแปดยามค่ำคืน
แล้วจากนั้น…จากนั้นก็ไม่มีจากนั้นอีก
ก็คือไม่น่ารอด
อวี๋มู่เป็ผู้โชคดีที่ได้เห็นภาพตอนเฟิงอวี้กำลังกินิญญาเ่าั้ จนกลางดึกนั้นกลับไป เขาถึงกับฝันร้าย
นั่นไม่ต่างอะไรจากการกินคน เพราะอย่างไร ิญญาก็มีรูปลักษณ์เหมือนคน เฟิงอวี้อ้าปากเผยเขี้ยวแหลมคม พอประกบก็กัดแขนของอีกฝ่ายจนฉีกขาด แม้จะไม่มีเื แต่ภาพนั้นก็น่าขนลุกขนพองทีเดียว
อีกอย่าง เขายังแกล้งหันมามองอวี๋มู่ แล้วพูดกับเขา “นี่ อวี๋มู่ พวกเขาแปลงร่างเป็เ้าด้วย เฮ้อ! เช่นนี้แล้ว ข้ากินพวกเขาก็เหมือนกินเ้าอยู่สินะ ใช่ไหม?”
“...” อวี๋มู่รู้สึกกดดันในใจอย่างหนัก
เขาถึงกับเริ่มตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับการเพิ่มคะแนนความประทับใจของเฟิงอวี้ในอนาคต
ท่าทีที่มีต่อหมอนี่ก็ระแวดระวังมากขึ้น
เฟิงอวี้บอกให้เขาไปทิศตะวันตก เขาก็ไม่กล้าไปตะวันออก บอกให้เขานั่ง เขาก็ไม่กล้ายืน
แต่เฟิงอวี้ก็ยังไม่ชอบใจ อีกอย่างหัวใจที่เพิ่มมาครึ่งดวงตอนนี้ก็ลดลงไปเล็กน้อยอย่างน่าแปลกใจ
จนถึงตอนนี้ อวี๋มู่ก็ตกสู่สภาวะหยุดชะงักที่สุดั้แ่มีมา
ตอนกลางวัน หัวใจสามดวงของหย่งอวี้ก็ไม่ขยับเขยื้อน ตอนกลางคืนความประทับใจของเฟิงอวี้กลับลดลง
หยุดนิ่งไม่มีความก้าวหน้าแบบนี้อยู่สามเดือน ในที่สุดความประทับใจของเฟิงอวี้ก็…ลดลงเหลือศูนย์
หมดเกลี้ยงของจริง
อวี๋มู่มองดูหัวใจสีแดงเล็กๆ ที่กำลังลดลงจนถึงขีดสุดท้ายอย่างเต็มตาตัวเอง แต่เด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างหน้าเขากลับนั่งฟังเขาเล่าเื่ 《ไซอิ๋ว》[2]อย่างได้อรรถรส
สถานการณ์นี้ช่างน่าแปลกประหลาด
หากดูแค่เบื้องหน้า อวี๋มู่แทบดูไม่ออกว่าเฟิงอวี้เกลียดเขา แต่คะแนนความประทับใจกำลังบอกเขาว่า เฟิงอวี้นั้นกำลังรักษาระยะห่างออกจากเขาอย่างชัดเจน
ตอนนี้พวกเขาเหมือนคนแปลกหน้าที่ไม่มีความสัมพันธ์ใดต่อกัน
หลังจากที่เขาเล่าตอนปีศาจกระดูกขาวจนจบ จึงหยุดลง ต่อจากนั้นเขาก็ต้องทำ “ภารกิจหลัก” เื่อย่างว่าให้เฟิงอวี้ต่อ
เขายื่นมือไปหาเฟิงอวี้ แต่จู่ๆ ก็ถูกเด็กหนุ่มคว้าหมับไว้
“อวี๋มู่ เ้าเป็ปีศาจกระดูกขาวปลอมตัวมาหรือเปล่า?” เขาหัวเราะ เผยให้เห็นลักยิ้มตื้นๆ สองข้าง “คิดหาวิธีหลอกลวงข้า ให้ข้าเชื่อว่าเ้าทำดีกับข้าด้วยความจริงใจ สุดท้ายขณะที่ข้าชะล่าใจก็กินข้าเสีย”
อวี๋มู่นิ่งอึ้ง ด้วยเข้าใจความหมายของเขา
เฟิงอวี้เป็อสูรฟ้าสองขั้วและเป็ของบำรุงล้ำค่าสำหรับิญญา หากเฟิงอวี้กินเขาได้ เขาที่เป็ิญญาก็กินเฟิงอวี้ได้เหมือนกัน
หากว่าเขาทำสำเร็จ สิ่งที่ได้นั้นมีมากกว่าการที่เฟิงอวี้กินเขาเสียอีก
ในขณะที่เขากำลังคิดว่าจะพูดต่อว่าอย่างไรดี ก็เห็นเฟิงอวี้ถอดชุดสีเทาของตัวเองออก เปลือยกายท่อนบน เผยให้เห็นรอยประทับอักษร [3] 卐 เครื่องหมายสวัสติกะสีทองบนอก จากนั้นก็ทาบมือของเขาเข้าไป
ความเ็ปส่งตรงเข้าฝ่ามือ จนอวี๋มู่สั่นสะท้านไปทั่วร่าง เจ็บจนคิ้วผูกเป็ปม
เฟิงอวี้เห็นอย่างนั้น รีบวางมือเขาลงทันที แต่ยังกุมไว้ในมือตัวเอง แล้วเอ่ยต่อ
“อวี๋มู่ รอยประทับนี้เป็รอยปิดผนึกที่พวกลาหัวโล้นสิบสองคนนั่นทำไว้ สิบสามปีมานี้ มันทรมานฉันทุกคืน แต่จากพลังที่เพิ่มขึ้น ผนึกนี้เริ่มไม่น่ากลัวเท่าไร ข้าสังหรณ์ใจว่าสองปีจากนี้ ข้าจะสามารถทลายผนึกนี้ แล้วร่างนี้ไว้ได้อย่างสมบูรณ์”
เขากำมืออวี๋มู่ให้เข้าใกล้ใบหน้าของตัวเอง รอยยิ้มดูมีเสน่ห์ยิ่งกว่าเดิม ั์ตาดำค่อยๆ เปลี่ยนเป็สีแดง แล้วถามขึ้น “เ้ารู้หรือไม่ว่านี่หมายความว่าอย่างไร?”
อวี๋มู่ส่ายศีรษะ
เขาเอ่ย “นี่หมายความว่าอีกสองปีหย่งอวี้จะต้องตาย จากนั้นข้าจะยืนต่อหน้าผู้คนบนโลกแทนเขา ท่ามกลางสายตาหวาดกลัวเ่าั้ ข้าจะฆ่าพวกเขาเสีย”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ อวี๋มู่ก็รู้สึกเย็นวาบในใจ เขาค่อยๆ ขมวดคิ้ว มองไปที่เฟิงอวี้ กลับเห็นอีกฝ่ายจดจ้องเขาทุกท่วงท่า พร้อมกับแรงบีบที่มือเขาเพิ่มมากขึ้น
นักบวชน้อยที่ใบหน้าสวยใกล้เคียงกับปีศาจค่อยๆ เอียงหัว เอ่ยถามเขาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “หากในตอนนี้ ข้าบอกความลับเื่นี้กับเ้าไป เ้าจะไปบอกหย่งอวี้หรือไม่? ”
--------------------------------------------------------------------------------------------------
คำอธิบายเพิ่มเติม
[1] ปราณิญญา 精元
精 จิง แปลว่า น้ำอสุจิ น้ำกาม (คำนี้มีความหมายหลากหลาย แต่ในที่นี้ ผู้เขียนใช้ในความหมายนี้) 元 หยวน แปลว่า ปัจจัย มูลฐานสำคัญ ความหมายรวมในเื่คือ ของเหลวหรือสสารสำคัญที่หลั่งจากร่างกายของอสูรฟ้า สามารถทำให้เหล่าิญญาที่ได้ััสสารสำคัญนี้ มีพลังเพิ่มและแข็งแกร่งยิ่งขึ้น
[2] ไซอิ๋ว
ไซอิ๋วเป็เื่ราวของการเดินทางไปยังชมพูทวีป (อินเดีย) เพื่ออัญเชิญคัมภีร์พระพุทธศาสนาของหลวงจีนชื่อ พระถังซัมจั๋ง (อ้างอิงจากผู้มีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์ มีนามว่าพระเสวียนจั้ง 玄奘大師) โดยมีสัตว์ 3 ตัวเป็เพื่อนร่วมทาง คือ เห้งเจีย (ปีศาจลิง) ตือโป๊ยก่าย (ปีศาจหมู) และซัวเจ๋ง (ปีศาจปลา) ซึ่งระหว่างการเดินทางต้องพบกับการขัดขวางของเหล่าปีศาจมากมาย ด้วยเนื้อหาที่เป็การผจญภัย และมีสัตว์เป็ตัวเอก ทำให้ไซอิ๋วได้รับความนิยมจากหมู่เยาวชนมากที่สุดในวรรณกรรมเอกทั้ง 4 เื่ เป็หนึ่งในสี่สุดยอดวรรณกรรมจีนร่วมกับสามก๊ก(三國演義) ความฝันในหอแดง (紅樓夢) และซ้องกั๋ง (水滸傳) โดยการ์ตูนญี่ปุ่นเื่ ดราก้อนบอล ก็เป็หนึ่งในงานที่ได้รับอิทธิพลจากไซอิ๋วเช่นกัน
[3] 卐 ในพจนานุกรมจีนให้เสียงอ่านตัวอักษรนี้ว่า "ว่าน" มีความหมายว่า "หมื่น"
卐 = 萬 อ้างว่าเป็รูปตัวอักษรของ"ภาษาสันสกฤต" เรียกว่า เครื่องหมายสวัสติกะ เป็สัญลักษณ์ของความเป็มงคลในพระพุทธศาสนามาจากภาษาสันสกฤตและหมายถึงการรวบรวมคุณธรรมที่เป็มงคล กำหนดให้ 卐 ในพระพุทธศาสนาเป็เครื่องหมายแทนหัวใจของพระพุทธเ้า