ทรงผมของเสิ่นกุ้ยเฟยเกล้าผมมัดเป็สองวงดูสุขุม้าเสียบปิ่นจินปู้เหยาประดับอัญมณีเจ็ดสี ขับความงามออกมายิ่งขึ้นไข่มุกใหญ่เล็กขาวราวกับแสงกะพริบของหมู่ดาวดวงตาเรียวคู่นั้นสดใสเปล่งประกายทว่ามีความลึกลับซ่อนเร้นจนยากที่จะอ่านออก คิ้วโก่งเรียวโค้งไหวเหมือนต้นหลิวยามต้องลม จมูกเล็กได้รูปปากกระจับสีแดงระเรื่อคล้ายผลอิงถาว[1] ใบหน้าช่างงดงามไร้ที่ติและดึงดูดผู้คนที่ได้พบชวนให้หลงใหล ผิวพรรณขาวผุดผ่องนวลเรียบเนียนอมชมพูระเรื่อ
แม้ว่าเสิ่นกุ้ยเฟยอายุไม่น้อยแล้วแต่ท่าทางในตอนนี้เหมือนหญิงสาวเยาว์วัยรูปโฉมสวยงามหยาดเยิ้ม
ฮ่องเต้วัยกลางคนรับใบชาจากเสิ่นกุ้ยเฟยมือของนางเมื่ออยู่ในมือของฝ่าากลับยิ่งดูงามมากขึ้นฝ่าามองไปยังเสิ่นกุ้ยเฟยตรัสเสียงเบา “เ้าอยากจะล้อเล่นกับพวกนางนั้นไม่เป็ไรแต่ต้องรู้หนักรู้เบา เพราะในนี้มีองค์หญิงซือหลัวจากแคว้นอื่นอยู่ด้วยหากนางเป็อะไรไปจนขัดเคืองใจกันย่อมไม่เป็ผลดี!”
เสิ่นกุ้ยเฟยได้ยินเช่นนั้นจึงยิ้มเจื่อน “ฝ่าาทรงวางพระทัยเพคะ หม่อมฉันให้คนคอยแอบดูอยู่องค์หญิงซือหลัวจะไม่เป็ไรแม้แต่น้อย”
องค์หญิงซือหลัวคนนี้ได้ยินว่ามาจากแคว้นอื่นเพื่อนำมาบรรณาการแด่ฮ่องเต้แม้ตอนนี้อายุยังเยาว์วัยจึงยังไม่ได้เข้าวังอย่างเป็ทางการ เสิ่นกุ้ยเฟยจะต้องกลับไปเยี่ยมบ้านจึงเชิญคุณหนูทั้งหลายเข้าร่วมองค์หญิงซือหลัวเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ร้องอยากจะเข้าร่วมแน่นอนว่าไม่ให้เปิดเผยฐานะของนาง เสิ่นกุ้ยเฟยคันปากอยากจะพูดเต็มประดาแต่ก็ทำอะไรไม่ได้
องค์หญิงซือหลัวที่ปกติสร้างเื่ในวังทั้งวันแต่ฝ่าาก็ไม่ได้ถือสา ไม่ถึงกลับไม่ชอบ... หรือฝ่าาจะเริ่มชอบนางขึ้นมา? ดูท่าแล้วนางไม่สามารถมองข้ามองค์หญิงซือหลัวได้อีกต่อไป!
เสิ่นกุ้ยเฟยได้แต่กัดฟันข่มไว้ในใจไม่สามารถแสดงออกมาได้นางจึงพูดอย่างจริงจัง “หากฝ่าาทรงเป็ห่วงองค์หญิงซือหลัวเช่นนั้นหม่อมฉันจะให้คนไปเชิญนางออกมาทอดพระเนตรร่วมกับฝ่าาดีหรือไม่เพคะ?”
ฮ่องเต้ส่ายหน้าเล็กน้อย “ซือหลัวอายุยังน้อย บางทีอาจจะสร้างเื่วุ่นวายไปบ้าง ช่างเถอะในเมื่อนางอยากเข้าร่วมก็ปล่อยนางไป เ้าเพียงให้คนคอยดูห่างๆอย่าให้นางได้รับาเ็ก็พอ”
เสิ่นกุ้ยเฟยได้ฟังแล้วจึงรีบตอบรับทันทีแต่ลับหลังนางบีบมือจนแน่น จดจำชื่อ ‘ซือหลัว’ได้ขึ้นใจ!
ซือหลัว! เ้าไม่ใช่คนที่ข้าอยากจัดการ แต่ว่าเ้าไม่ควรมาแย่งหัวใจของฮ่องเต้ไปจากข้าในวังแห่งนี้ไม่มีใครที่ได้ใจฝ่าาไปแล้วอายุยืนยาวสักคนและหนึ่งในนั้นก็รวมเ้าด้วย!
ฮ่องเต้และกุ้ยเฟยสนทนากันไปในฐานะสามีภรรยาตระกูลเสิ่นแห่งติ้งกั๋วกงอีกสองคนไม่มีสิทธิ์ร่วมหัวเราะหรือตอบฝ่าา
เสิ่นกุ้ยเฟยเงยหน้าขึ้นก็พบสายตาของฮ่องเต้เหยียนอวี้เต๋อที่ครุ่นคิดบางสิ่งในใจเสิ่นกุ้ยเฟยร้อนรน รีบเอ่ย “ฝ่าา ได้เวลาแล้วเพคะ!”
ที่ด้านนอกประตูองครักษ์หนุ่ม ‘คังซู่’ ลุกขึ้นโค้งคำนับทำความเคารพฮ่องเต้พลางกล่าวรายงาน “ฝ่าา กุ้ยเฟยทุกอย่างเตรียมพร้อมเรียบร้อยแล้ว เชิญเสด็จได้พ่ะย่ะค่ะ!”
ฮ่องเต้เหยียนอวี้เต๋อพยักหน้าจากนั้นเดินผ่านเสิ่นกุ้ยเฟยไปนางได้แต่ถอนหายใจยาวแล้วเดินตามหลังไป พูดได้ว่าความคิดของฮ่องเต้นั้นล้ำลึกแม้นางจะปรนนิบัติพระองค์มาสิบกว่าปีแต่ก็ยังไม่อาจคาดเดาพระทัยและความคิดของฮ่องเต้ได้
เมื่อเห็นฮ่องเต้เหยียนอวี้เต๋อกับเสิ่นกุ้ยเฟยออกมาจากประตูสามีภรรยาตระกูลเสิ่นส่งสายตาให้กันเดินตามหลังไปตอนนี้อคติที่ฮ่องเต้มีต่อตระกูลโจวนับวันก็ยิ่งมากขึ้นรวมทั้งไทเฮาที่ยังดูแลวังหลังทั้งหมดทำให้ฮ่องเต้เกิดความเบื่อหน่ายดูท่าแล้วอีกไม่นานพระองค์คงจัดการกับตระกูลโจวเป็แน่
อีกทั้ง่นี้ฮ่องเต้เสด็จมาที่ตำหนักติ้งกั๋วกงบ่อยครั้งนั่นเป็การส่งสัญญาณอะไรบางอย่างหรือไม่? เช่นนั้นเขาจะต้องหาเวลากำชับบุตรสาวให้ปรนนิบัติให้ดีอย่าให้เกิดข้อผิดพลาดขึ้นมาเป็อันขาด
แต่ละคนต่างมีความคิดที่แตกต่างไปเพื่อจะเดินไปข้างหน้าวันนี้เสิ่นกุ้ยเฟยเชิญฮ่องเต้มาทอดพระเนตรการแข่งขันในขณะเดียวกันก็เป็แผนการหนึ่งแต่สิ่งที่แฝงอยู่นั้นเกรงว่าจะมีเพียงคนที่จัดขึ้นและคนที่ดูอยู่เท่านั้นที่รู้อยู่แก่ใจ
ต้วนชิงิและคุณหนูทั้งหลายไม่รู้ว่าถูกแม่นมเหยียนพาเดินมานานเท่าไรแล้ว จนมาถึงลานโดดเดี่ยวแห่งหนึ่งนางััได้ว่าที่นี่ค่อนข้างที่จะห่างไกลมากภายในลานแห่งนี้มีเพียงห้องที่ถูกปิดไว้อย่างแ่าเพียงห้องเดียวที่เหลือล้วนว่างเปล่า
แม่นมเหยียนมองไปยังคุณหนูทั้งหลายที่สายตาอิดโรยเริ่มเหนื่อยจนเดินไม่ไหว นางเดินไปที่หน้าประตูอย่างเงียบๆดูว่าคุณหนูสิบกว่าคนเข้าที่ที่จัดไว้ นางสั่งให้บ่าวที่เหลือไปยืนอยู่ด้านนอกเมื่อนับคนจนครบจึงโค้งคำนับก่อนจะหายวับไปทันที
เหล่าคุณหนูผู้สูงศักดิ์ที่ปกติแล้วจะอยู่ในสถานที่ดีๆมีรถม้าและเกี้ยวคอยรับส่งจะสามารถทนความลำบากได้อย่างไร? ตอนนี้เมื่อเห็นห้องที่สามารถพักได้ มีเก้าอี้ให้นั่งจึงไม่สนใจอะไรต่างเข้าไปแย่งกันนั่ง ไม่อยากขยับตัวไปไหนอีก
ต้วนชิงิเดินเข้าไปในห้องมองไปรอบๆไม่ส่งเสียงใด เห็นแค่ห้องที่ว่างเปล่า นอกจากจะมีเก้าอี้เพียงไม่กี่ตัวและโต๊ะอีกหนึ่งตัว ฝั่งตรงข้ามประตูหลักมีแท่นบูชาเ้าแม่กวนอิมนอกจากนั้นก็ว่างเปล่าไม่มีอะไรอีก
ต้วนชิงิที่มือหนึ่งจับเชวียหนิงหรานอีกมือจับซือหลัว นางไม่ได้สนใจแย่งเก้าอี้หรือแย่งที่นั่งกันเหมือนคุณหนูคนอื่นๆเมื่อเดินเข้าไปในห้อง แม้นางรู้สึกเหนื่อยแต่ยังคงจับมือเชวียหนิงหรานและซือหลัวที่เหนื่อยจนพูดไม่ออกไม่ยอมปล่อย
ซือหลัวถามอย่างไม่เข้าใจเมื่อเห็นคุณหนูเ่าั้แย่งเก้าอี้กัน “ชิงิ ทำไมเ้าไม่ให้พวกเรานั่งเก้าอี้ล่ะ”
เชวียหนิงหรานก็มองไปยังต้วนชิงิด้วยสงสัยว่าทำไมจึงลากพวกนางไปยังมุมห้อง
ต้วนชิงิกระซิบเบาๆ “พี่สาวทั้งสอง พวกเรายืนอยู่มุมห้องเวลาเกิดความโกลาหลจะได้ไม่แยกจากกันหรือโดนใครเหยียบเอา”
เชวียหนิงหรานได้ฟังก็ขมวดคิ้วราวกับไม่เชื่อคำพูดของนางส่วนซือหลัวก็อยากจะพูดออกไป ‘พวกนางกล้าทำอย่างนั้นกับข้าหรือ?’
“ซือหลัว ตอนนี้พวกเราจะต้องพึ่งตัวเอง เ้าเก็บแรงเอาไว้เถอะ!” ต้วนชิงิเตือนสติ
ซือหลัวมองยังต้วนชิงิด้วยความเศร้าแล้วก้มหน้าลง
คุณหนูเหล่านี้ต่างสูงศักดิ์ถ้าจะต้อนรับแขกจริง เกรงว่าไม่น่าจะเป็แบบนี้? ดูท่าแล้วคงจะเป็ที่ทำการทดสอบแต่ว่าสิ่งที่ซือหลัวคาดไม่ถึงคือ จะใช้ห้องที่แคบและสกปรกเช่นนี้จะมาทดสอบพวกนางได้อย่างไร?
แม่นมเหยียนจ้องมองคุณหนูสูงศักดิ์ทั้งหลายที่เหน็ดเหนื่อยและหยุดนิ่งลงครู่หนึ่งที่แท้ยังมีสายตาอื่นที่จ้องมองไปยังกลุ่มต้วนชิงิที่จับมือกันไว้แน่นนางจึงมองอีกครู่แล้วหันหลังกลับออกไป!
พอแม่นมเดินจากไปประตูก็ปิดลงทันที! ยิ่งทำให้นางไม่เข้าใจ
ห้องนี้มีขนาดใหญ่มากแต่หน้าต่างทุกบานถูกปิดตายเมื่อประตูปิดลงแสงภายในห้องก็หายวับมีแต่ความมืดมิด!
และหน้าต่างที่พึ่งแปะกระดาษใหม่ทำให้ช่องแสงสุดท้ายถูกปิดลง
ภายในห้องจึงเต็มไปด้วยความมืดมิดเดิมทีมีคุณหนูที่นอนแผ่อยู่ที่พื้น บัดนี้กลับถูกความมืดมิดปกคลุมจนรู้สึกเกิดความหวาดกลัวที่ไม่สามารถบรรยายได้ออกมา
ในความมืดมิดมีคนร้องขึ้นมาด้วยความใเหมือนมีอะไรปีนขึ้นมาบนขานาง จากนั้นมันก็ปีนสูงขึ้นเรื่อยๆจนไม่รู้ว่าไปเหยียบขาใครเข้าจึงเกิดความโกลาหลขึ้น
เชวียหนิงหรานกลัวขึ้นมาเล็กน้อยนางจึงจับมือต้วนชิงิแน่น “ชิงิไม่ต้องกลัวจับมือไว้แน่นๆ จะไม่มีเื่อะไรเกิดขึ้น!”
ทางด้านซือหลัวก็จับข้อมือของต้วนชิงิกระซิบเสียงเบา “ชิงิไม่ต้องกลัวพวกนางไม่กล้ามาทำอะไรพวกเรา”
…..
[1]อิงถาว คือ เชอร์รี่