ต้วนชิงิจับมือเชวียหนิงหรานยิ้มๆพลางมองไปที่ใบหน้าเล็กๆ ขนาดเท่าฝ่ามือประดับรอยยิ้มแห่งความจริงใจไว้บนใบหน้า
“พี่เชวีย”
เชวียหนิงหรานยิ้มออกมามองไปที่ต้วนชิงิด้วยความอิจฉา พูดเย้าว่า “ชิงิเ้าแต่งตัวได้งามมาก”
ต้วนชิงิก้มมองชุดของตัวเองแล้วจึงมองไปยังเชวียหนิงหรานยิ้มเบาๆ“พี่เชวียก็งามเหมือนกัน”
เชวียหนิงหรานโบกไม้โบกมือ “นี่เป็ชุดที่ท่านแม่จัดแจงให้”
นางพูดไปก็โน้มตัวลงมาพูดกับต้วนชิงิ “น้องชิงิ อีกครู่จะมีการทดสอบ ครั้งนี้เป็การแข่งขันแบบกลุ่ม เ้ามาอยู่กับข้ารวมเป็กลุ่มกันเถอะ”
เพิ่งพบเจอเชวียหนิงหรานเป็ครั้งแรกก็ออกโรงปกป้องต้วนชิงิจึงยิ้มตกปากรับคำ
เวลานี้คุณหนูที่ชื่อ ‘ซือหลัว’ ก็เดินเข้ามาพูดคุยกับต้วนชิงิ
ซือหลัวนั้นอายุสิบสองหน้าตางดงามสวมชุดสีม่วงอ่อน ดวงตาดูมีชีวิตชีวา คิ้วโก่งจมูกเป็สัน แก้มอวบอิ่มทว่าสีผิวของนางขาวแตกต่างจากผู้อื่น จมูกก็โด่งไม่เหมือนคนทั่วไปดวงตาก็เป็สีฟ้าน้ำทะเล ยิ่งมองท่าทางของนางที่ดูตลกเมื่ออยู่กับเชวียหนิงหรานแต่ต้วนชิงิดูออกว่านางสูงส่งและมีอำนาจไม่น้อย
ชาติที่แล้วต้วนชิงิเคยได้เห็นราชทูตจากแคว้นอื่นก็มีดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลจมูกโด่งก็เช่นนี้ดังนั้นนางจึงมั่นใจว่าซือหลัวคนนี้จะต้องมาจากตระกูลผู้ดีจากแคว้นอื่นไม่ได้เป็ลูกผู้ดีทั่วไปเป็แน่!
ซือหลัวชอบพูดคุยมากและยังพูดภาษาจีนได้คล่องแคล่วเมื่อฟังนางพูดไม่หยุดอยู่นาน ต้วนชิงิถึงได้รู้ว่าที่แท้คุณหนูทั้งหลายส่วนใหญ่ไม่รู้จักกันเหมือนซือหลัวกับเชวียหนิงหรานก็เพิ่งทำความรู้จักกันที่นี่ ตอนนี้ช่างประจวบเหมาะต้วนชิงิเข้ามาเป็สามคนพอดี
เมื่อเห็นต้วนชิงิมองไปรอบๆซ้ายทีขวาที เชวียหนิงหรานไม่แปลกใจ “ชิงิเ้ากำลังมองหาน้องสาวลูกอนุอยู่ใช่หรือไม่?”
ต้วนชิงิหยักหน้าตอบรับ “ใช่ ข้าแค่แปลกใจ ทำไมถึงไม่เห็นนาง นางไปที่ไหนแล้ว?”
ซือหลัวจึงพูดแทนคุณหนูที่ไม่ยอมบอกฐานะของตนออกมานั้นมองไปยังต้วนชิงิพร้อมยกมือป้องปากยิ้ม “เ้าอย่ามองหาเลยนางไม่ได้อยู่ที่นี่!”
ต้วนชิงิชะงักงงไปเล็กน้อย “ไม่อยู่ที่นี่หรอกหรือ?”
เชวียหนิงหรานจับมือต้วนชิงิพยักหน้ายิ้ม “นางกับเหล่าพี่สาวน้องสาวลูกอนุจะอยู่ด้วยกัน”
สิ่งนี้ทำให้ต้วนชิงิยิ่งรู้สึกแปลกเข้าไปใหญ่หรือว่างานเลี้ยงของเสิ่นกุ้ยเฟยครั้งนี้ยังมีการแบ่งแยกชนชั้นด้วย? เหล่าลูกอนุยังต้องแยกอยู่อีกที่เช่นนั้นก็เป็เหตุผลว่าทำไมต้วนอวี้หรานที่ชอบพูดชอบจามาตลอดจึงไม่อยู่ที่นี่?
ซือหลัวหัวเราะขึ้นมาอีกครั้งเมื่อเห็นต้วนชิงิยังคงสงสัยครั้งนี้คำพูดของนางแฝงไปด้วยความภูมิใจ
“ชิงิ เ้าเข้าทางประตูใหญ่ใช่ไหมล่ะ? ข้าก็เข้าประตูใหญ่เช่นกัน!”
ต้วนชิงิพยักหน้ารับอย่างค่อยๆเข้าใจ“ความหมายที่พี่สาวทั้งสองจะบอกคือคนที่เข้าประตูใหญ่ถึงจะอยู่ที่นี่ใช่หรือไม่?”
ที่แท้งานเลี้ยงในวันนี้ไม่ได้แยกบุตรสาวภรรยาเอกหรือลูกอนุแต่เป็การแยกว่าใครเข้าประตูใหญ่หรือเข้าประตูเล็กด้านข้าง! มิน่าเล่า คุณหนูที่อยู่ในนี้จึงมีแค่ไม่กี่สิบคนดูท่าแล้วสวนอีกที่จะมีคนไม่น้อยเป็แน่!
เชวียหนิงหรานพยักหน้าตอบรับเข้าไปกระซิบข้างหูแบบได้ยินเพียงสองคนกับต้วนชิงิ “ชิงิ ข้าจะบอกเ้าอย่างหนึ่ง คุณหนูที่มาที่นี่ต่างก็มีความสามารถมิเช่นนั้นจะเข้ามาที่นี่ได้อย่างไร ทว่าคนมีความสามารถรวมเ้าเข้าไปแต่ไม่รวมข้าหรอกนะ... เพราะข้าใช้เส้นของพี่ชายเข้ามา!”
เมื่อเชวียหนิงหรานพูดจบก็ไม่มีความรู้สึกว่าใช้เส้นนั้นไม่เหมาะต้วนชิงิมองไปเห็นแต่ใบหน้าที่ร่าเริงกำลังหัวเราะออกมาที่แท้ที่นี่ก็ยังมีการใช้เส้นสายอยู่หรือ?
ทันใดนั้นมีแม่นมสูงวัยเดินออกมาจากประตูฉุยฮวาด้านหลังตามมาด้วยบ่าวรับใช้ไม่กี่คนยืนอยู่หน้าประตูแม้ไม่ได้พูดอะไรแต่กลับมีพลังอำนาจบางอย่างที่ไม่ธรรมดาอยู่ในนั้นเมื่อเห็นเงาของแม่นมสูงวัยปรากฏ เหล่าคุณหนูต่างนั่งตัวตรงบรรยากาศเงียบลงในฉับพลัน
เมื่อแม่นมเห็นว่าในศาลาเงียบลงแล้วจึงเดินมาทำความเคารพที่หน้าประตูฉุยฮวาแล้วพูดอย่างน่าเกรงขาม “คุณหนูทุกท่าน บ่าวแซ่เหยียน ทุกท่านสามารถเรียกบ่าวว่าแม่นมเหยียนเชิญคุณหนูทุกท่านตามบ่าวมาเ้าค่ะ”
แม่นมเหยียนแม้จะเรียกตนว่า ‘บ่าว’ แต่ดูท่าแล้วบ่าวผู้นี้ผ่านการฝึกฝนมากด้วยประสบการณ์ ดูไม่ออกเลยแม้แต่น้อยว่าเป็บ่าวธรรมดายิ่งมองไปยังกิริยาท่าทางและใบหน้า ต่อให้เป็ฮูหยินทั่วไปก็เทียบกับนางได้ยากดังนั้นต้วนชิงิจึงมั่นใจว่าแม่นมเหยียนผู้นี้จะต้องเป็คนที่มาจากในวังและตำแหน่งจะต้องสูงเป็แน่!
แต่ว่าเสิ่นกุ้ยเฟยบอกแค่ว่าร่วมงานเลี้ยงชมบุปผาไฉนจึงส่งแม่นมเหยียนมาเล่า? ครั้นดูสายตาที่แหลมคมประดุจมีดที่ลับแล้วของแม่นม หัวใจของต้วนชิงิกลับมีความรู้สึกแปลกๆ ยากที่จะอธิบายราวกับว่าไม่ได้รีบไปร่วมงานเลี้ยงแต่เป็การไปร่วมงานแห่งความเป็ความตายอย่างไรอย่างนั้น!
หลังจากที่เชวียหนิงหรานได้แนะนำให้ต้วนชิงิรู้จักฐานะของคุณหนูทั้งหลายนางจึงพอทราบได้ว่าหลายคนมาจากตระกูลผู้ดี แต่ละคนไม่ธรรมดาฉะนั้นจะเป็งานเลี้ยงแห่งความเป็ความตายได้อย่างไรกัน?
ต้วนชิงิสะบัดหัวเพื่อเอาความคิดประหลาดเช่นนี้ออกไปแต่ความรู้สึกนั้นกลับกดอยู่ในใจไม่สามารถเอาออกไปได้ นางได้แต่กุมมือไว้แน่น ดูท่าแล้วไม่ว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้นนางคงต้องระวังให้มากขึ้น!
แม่นมเหยียนพูดจบก็เดินออกไปทำให้คุณหนูทั้งหลายมองหน้ากันไปมาได้แต่เดินตามหลังแม่นมออกไป
เมื่อเห็นต้วนชิงิกำลังงงกับสิ่งที่เกิดขึ้นเชวียหนิงหรานและซือหลัวจึงรีบลากแขนเสื้อต้วนชิงิออกมา “ชิงิ อย่ามัวเหม่ออยู่ เรารีบไปกันเถอะ”
“พี่สาวทั้งสอง อีกครู่อย่าเดินแยกกันล่ะ!” ต้วนชิงิพยักหน้าตอบรับนางจับมือเชวียหนิงหรานและซือหลัวไว้แน่น
เชวียหนิงหรานก็เหมือนจะรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างจึงพยักหน้าตอบมีเพียงสายตาของซือหลัวที่มีแต่ความตื่นเต้นเป็ที่สุดสายตานั้นเหมือนกำลังดูของเล่นที่น่าสนุกอยู่!
เวลานี้ในสวนอีกแห่งของตำหนักติ้งกั๋วกงฝู่เสิ่นกุ้ยเฟยที่สวมชุดงดงามนั่งอยู่ข้างบุรุษผู้หนึ่ง อายุราวสามสิบปีบุรุษผู้นั้นมีใบหน้าที่น่าเกรงขาม ด้วยท่าทางสูงส่งเหมือนได้ฝึกฝนมายาวนานคิ้วดกยาวพาดอยู่บนใบหน้าเรียวได้รูปขมวดคิ้วเล็กน้อยทำให้เห็นถึงดวงตาเคร่งขรึมเด็ดขาด น่าเกรงขามเมื่อเงยหน้าขึ้นมองทำให้คนหายใจไม่ทั่วท้อง ถ้ามองอย่างละเอียด สายตาคู่นั้นทำให้คนที่เห็นไม่สามารถละสายตาได้เหมือนถูกมนต์สะกด
องครักษ์ของบุรุษผู้นั้นเป็หนุ่มวัยกลางคนอายุประมาณสี่สิบกว่าท่านหนึ่งและคนของเสิ่นกุ้ยเฟยที่มีหน้าตาละม้ายกุ้ยฝูเหรินอยู่ตรงข้าม
ทั้งสี่ท่านได้แบ่งกันนั่งลงที่ละสองท่านเสิ่นกุ้ยเฟยหยิบใบชาอู้ซานที่ส่งกลิ่นหอมกระจายไปทั่วในมือวางไว้หน้าบุรุษผู้สูงส่ง ยิ้มอ่อนหวาน พูดอย่างออดอ้อน“ฝ่าา วันนี้หม่อมฉันเตรียมการแข่งขันไว้แล้วหวังว่าฝ่าาจะทรงชอบเพคะ”
เสิ่นกุ้ยเฟยได้รับความโปรดปรานในวังหลังมานานหลายปีผู้คนต่างเล่าลือถึงความงามของนางที่ทำให้ผู้พบเห็นหายใจไม่ทั่วท้องแม้วังหลังจะมีคนงามมากมาย แต่ไม่มีผู้ใดกลบความงามของนางได้ตอนนี้นางกลับมาเยี่ยมบ้าน แม้จะไม่ได้ใส่ชุดกุ้ยเฟยที่วิจิตรงดงามแต่ยังแต่งองค์ทรงเครื่องอย่างวิจิตร แน่นอนว่างามไม่น้อยกว่าปกติเช่นกัน
แม้เห็นแค่ชุดสีม่วงอ่อนกับเสื้อคลุมบางสีขาวเผยให้เห็นไหล่ทั้งสองข้างลำคอที่เรียบเนียนชัดเจน กระโปรงจีบที่พลิ้วไหวเหมือนแสงจันทร์สาดส่องยาวสามฉื่อ[1]โดยประมาณ เอวที่รัดไว้ด้วยผ้าเหมือนมีความกว้างไม่ถึงหนึ่งคืบรอยยิ้มสุขุมลุ่มลึกดูอ่อนโยนมากกว่าปกติที่จะเย็นะเืน่าเกรงขาม
…...
[1]สามฉื่อ ความหมายประมาณสามฟุต(เก้าสิบเิเ)